บุตรอสูรบรรพกาล – บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 440 เจ้าลัทธิ

ตอนที่ 440

เจ้าลัทธิ

“เจ้าไม่เป็นไรนะ”ชิงชิวพูดพลางมองมาทางไป๋หลินด้วยท่าทีเป็นห่วง แม้ด้านหลังจะเกิดเรื่องประหลาดน่าตกใจเพียงไร หรือความสัมพันธ์ของมันทั้งสองกำลังมีสิ่งใดลำบากใจอยู่ก็ไม่ทำให้ชิงชิวยามนี้เลิกคิดเป็นห่วงไป๋หลินไปได้แต่อย่างไร

“ข้าไม่เป็นไร”ไป๋หลินตอบพลางมองชิงชิวที่อยู่ตรงหน้านิ่ง ตัวนางเองก็ไม่ทราบว่าเฝ้าฝันถึงภาพเหตุการณ์เช่นนี้มากี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ยามนี้ไป๋หลินแอบคิดว่าอยากให้เวลาตรงหน้าช้าลงกว่านี้เสียหน่อยจริงๆ

“พวกเจ้า…สนใจปัญหาตรงหน้านี้ก่อนได้หรือไม่”หยงเวยพูดพลางเดินออกมาจากปีกของไป๋ไป่ ยามนี้มันไม่เหลือพลังอะไรอีกแล้ว เรียกได้ว่าแทบไม่ต่างจากมนุษย์ธรรมดาเลย

“ท่านลุง ท่านไม่เป็นอะไรนะเจ้าคะ”ไป๋หลินหน้าแดงเล็กน้อยพลางหันไปหาหยงเวย เมื่อครู่มันเองก็โดนโจมตีเข้าเช่นกัน แต่เพราะไป๋ไป่ช่วยเอาไว้เลยไม่มีอาการบาดเจ็บอะไร เพียงแต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่าคือโครงกระดูกของเจ้าลัทธิมารฟ้าที่อยู่ตรงหน้าต่างหาก

“นี่มันอะไรกัน”ชิงชิวพูดพลางมองโครงกระดูกที่ยามนี้มีของเหลวหนืดๆเหมือนโลหะที่โดนความร้อนจนละลายกำลังปกคลุมร่างของโครงกระดูกเอาไว้ และของเหลวพวกนี้ก็คือของเหลวที่ละลายออกมาหลังจากเผาอาวุธมารทั้ง 7 นั่นเอง

“เป็นพลังที่ยอดเยี่ยมจริงๆ”อยู่ๆโครงกระดูกที่มีโลหะเหลวปกคลุมร่างเอาไว้ก็พูดออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ของเหลวที่เกิดจากอาวุธมารก่อตัวเป็นร่างเนื้อของโครงกระดูกจนมีสภาพไม่ต่างจากมนุษย์คนหนึ่งเลย

“เจ้าเป็นใคร”หยงเวยถามพลางมองไปที่ชายตรงหน้า ยามนี้แม้แต่สีผิวก็ยังเป็นสีผิวของมนุษย์แถมยังสวมมเสื้อผ้าเสียเรียบร้อย เรียกได้ว่าไม่มีใครคาดคิดแน่ๆว่าชายตรงหน้าจะเคยเป็นโครงกระดูกมาก่อน

“ยินดีที่ได้รู้จัก ข้ามีนามว่าจางหลง พวกท่านคงจะเป็นผู้ถือครองอาวุธมารสินะ”จางหลงว่าพลางมองไปรอบๆ ยามนี้ใบหน้าของมันยิ้มแย้มราวกับกำลังยินดีไม่มีผิด

“ต้องขอบใจพวกท่านจริงๆที่ทำให้ความฝันของข้าเป็นจริง”จางหลงว่าพลางปล่อยพลังมารออกมารอบๆจนบรรยากาศที่แต่เดิมเย็นเฉียบอยู่แล้วยิ่งรู้สึกหนาวสั่นเข้าไปอีก

“…..”ไป๋หลินและหยงเวยเสียพลังมารไปแล้วเลยไม่สามารถใช้พลังมารตรวจสอบได้ว่าอีกฝ่ายมีพลังระดับใด ทำให้ไป๋หลินไม่มีทางเลือกต้องใช้ดวงตาสีม่วงเพื่อตรวจสอบพลังของอีกฝ่าย ซึ่งผลที่ได้ก็ทำเอานางใจหายวาบทันที

ตูม!! อยู่ๆจางหลงก็เรียกเอากระบี่ของอัตตาออกมาแล้วฟันไปรอบๆถ้ำครั้งหนึ่ง พริบตานั้นถ้ำที่พวกไป๋หลินอยู่ถูกฟันเป็นวงกว้างก่อนจะมีรากไม้สีดำสนิทงอกออกมาดันยอดเขาทั้งยอดทิ้งลงไป ทำให้เหนือหัวของพวกไป๋หลินเหลือเพียงท้องฟ้าว่างเปล่าเท่านั้น

“ท้องฟ้านี่ช่างสดใสจริงๆ”จางหลงว่าพลางเก็บกระบี่ของอัตตากลับไป เพียงแต่มันไม่ได้เปิดใช้มิติอย่างที่คนปกติทำกัน แต่มันกลับหลอมเอากระบี่ของอัตตากลับเข้าไปในร่างกายราวกับร่างทั้งหมดของมันคืออาวุธมารไม่มีผิด

“ไป๋หลิน….ระดับพลังของมันอยู่ระดับไหน”หยงเวยถามพลางมองภาพตรงหน้าด้วยท่าทีตกตะลึง รากไม้ดำที่อัตตาใช้นั้นเป็นท่าที่กินพลังงานมากทีเดียว แม้แต่หยงเวยที่อยู่ระดับเจ้าสวรรค์ขั้นที่ 10 มาก่อนยังไม่สามารถเรียกรากไม้ดำออกมาได้มากมายโดยไม่เหนื่อยได้เลย

“เจ้าสวรรค์ขั้นที่ 10”ไป๋หลินตอบพลางเพ่งมองไปทางจางหลงที่กำลังเพลิดเพลินกับสภาพอากาศภายนอก

“เป็นไปไม่ได้ เจ้าสวรรค์ขั้นที่ 10 ไม่น่าจะมีพลังระดับนี้”หยงเวยว่าพลางมองไปที่รากไม้รอบๆ จางหลงเรียกพวกมันออกมาราวกับเป็นเรื่องง่ายๆไม่มีผิด

“มันเหมือน..มีเจ้าสวรรค์ขั้นที่ 10 อยู่ในร่างของมัน 7 คนมากกว่าเจ้าค่ะ”ไป๋หลินตอบออกมาตามตรง

“ถูกแล้ว”จางหลงเหมือนจะได้ยินสิ่งที่ไป๋หลินพูด มันจึงหันกลับมาพลางยิ้มให้นางด้วยท่าทียินดี

“พลังของข้าเกิดจากการสะสมพลังของมารแต่ละยุคสมัยมารวมกันเป็นของข้าเพียงคนเดียว ยามนี้ต่อให้เป็นระดับเหนือกว่าเทียนเซียนขั้นที่ 10 ก็ไม่สามารถต่อต้านข้าได้”จางหลงยิ้มออกมาด้วยใบหน้ามีความสุข ตัวมันนั้นวางแผนเช่นนี้มาเนิ่นนานตั้งแต่มันเข้าถึงขีดจำกัดของพลังระดับเจ้าสวรรค์ขั้นที่ 10 แล้ว มันเหมือนการเดินทางมาจนสุดทางแล้วนั่นเอง แต่แล้วหลังจากครุ่นคิดอยู่นาน มันจึงมีความคิดที่จะเอาพลังระดับเจ้าสวรรค์ขั้นที่ 10 ของหลายๆคนมารวมกันในร่างเดียวเพื่อสร้างความแข็งแกร่งที่แท้จริง เพียงแต่ผู้มีพรสวรรค์พอจะก้าวเข้าถึงระดับเจ้าสวรรค์ขั้นที่ 10 ไม่ได้หากันได้ง่ายๆ และมันยังต้องการพลังระดับนั้นพร้อมๆกันหลายคนอีกด้วย มันจึงปล่อยอาวุธมารออกไปให้คนในยุทธภพฝึกฝน พร้อมๆกับปล่อยให้เหล่าอาวุธมารรวบรวมพลังมารให้มากที่สุด เพื่อที่มันจะได้ดูดซับพลังมารจากอาวุธมารทั้ง 7 มาเป็นของมันแต่เพียงผู้เดียว

“บางทีข้าก็ถอดใจไปแล้ว นึกว่าจะไม่มีใครอยากทำลายอาวุธมารเสียอีก”จางหลงว่าพลางหัวเราะออกมา การส่งคืนพลังมารให้กับร่างของจางหลงผู้ทำพิธีนั้นจำเป็นต้องนำอาวุธมารกลับมาหลอมในเตาหลอมโลกันตร์อีกครั้ง แต่เวลาผ่านไปเป็นพันปีกลับไม่มีมารตนไหนทำสำเร็จเลย

“เพราะฉะนั้น พวกเจ้าถึงเป็นผู้มีพระคุณของข้า”จางหลงยิ้มพลางมองมาทางพวกไป๋หลินนิ่ง หากไม่มีพวกไป๋หลิน หากไม่มีพวกนางมันคงไม่ได้พลังกลับคืนมาเป็นแน่

“เอาล่ะ เพื่อตอบแทนพวกเจ้า ข้าจะให้พวกเจ้าเป็นขุนนางในอาณาจักรของข้าก็แล้วกัน”จางหลงพูดพลางยิ้มกว้างออกมา เพียงแต่สิ่งที่มันพูดออกมานั้นกลับทำให้ไป๋หลินดูไม่ชอบใจเสียเท่าไหร่

“อาณาจักรมากมายต่างมีผู้ถือครองอยู่แล้ว เกรงว่าจะไม่มีที่ว่างให้กับเจ้า”ไป๋หลินพูดด้วยท่าทีจริงจังอย่างมาก เพราะใบหน้ายามนี้ของจางหลงช่างเหมือนใบหน้าของชินอี้ตอนกำลังจะยึดอาณาจักรอื่นๆไม่มีผิด

“ไม่เห็นยาก ข้าก็แค่ยึดมาเสียก็สิ้นเรื่อง”จางหลงตอบด้วยท่าทีสบายๆ ราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

“แล้วถ้าเจ้ายึดได้แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับคนในอาณาจักรนั้น”หยงเวยถามพลางกำหมัดแน่น

“ก็เปลี่ยนให้เป็นมารให้หมดนะสิ”ได้ยินเช่นนั้นหยงเวยก็พุ่งเข้าไปโจมตีจางหลงทันที อย่ามาล้อเล่นน่า เปลี่ยนทุกคนเป็นมารงั้นหรือ คิดว่าเด็กๆที่มันเลี้ยงดูมา ทุกคนต้องเจอกับอะไรบ้างหลังจากโดนยัดเยียดวิชามารให้

เปรี้ยง!! หมัดของหยงเวยไม่กระเทือนร่างของจางหลงเลยแม้แต่น้อย ตัวมันยามนี้ไร้พลัง แถมยังพิการแขนไปข้างหนึ่งอีกต่างหาก

“ทำไมกันล่ะ มันฟังดูไม่ดีหรืออย่างไร อาณาจักรที่มีแต่มารปกครอง พวกเจ้าก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรือว่าพลังของเหล่ามารยอดเยี่ยมแค่ไหน”จางหลงว่าพลางมองมาทางไป๋หลิน ไม่ทราบมันมีพรสวรรค์เรื่องปากเสียหรืออย่างไรไม่ทราบจึงได้เลือกคำพูดได้เหมาะเจาะกับคนเพียงนี้

ตูม!! คราวนี้เป็นไป๋หลินเองที่พุ่งเข้าไปโจมตี แถมยังใช้ฝ่ามือเพลิงผลาญคล้อยสำนึกเข้าโจมตีอีกต่างหาก น่าเสียดาย แม้ไป๋หลินจะมีพลังวิญญาณระดับเจ้าสวรรค์ขั้นที่ 5 และพลังอสูรระดับบรรพกาลขั้นที่ 5 แต่กำลังของนางกลับเทียบพลังมารของจางหลงไม่ได้เลย แม้จะใช้พลังทั้งหมดที่มีโจมตีเข้าไปก็ไร้ผล ฝ่ามือเพลิงผลาญคล้อยสำนึกที่สามารถเป่าภูเขาทั้งลูกหายไปได้กลับหยุดค้างอยู่ที่อกของจางหลงเหมือนฝ่ามือของไป๋หลินไร้ซึ่งเรียวแรงไม่มีผิด

“พวกเจ้า ช่างโง่เขลานัก”จางหลงว่าพลางเรียกเอากระบี่ของอัตตาออกมาในมือข้างหนึ่งและเอาดาบมรกตออกมาถือในมืออีกข้างหนึ่ง

ตูม!! ทั้งหยงเวยทั้งไป๋หลินโดนโจมตีเข้าพร้อมกัน เพียงแต่ความเร็วของจางหลงนั้นไม่ได้มากมายอะไร เหมือนเพียงจะลงมือเพื่อขู่เท่านั้น ทำให้ไป๋หลินสามารถหลบออกมาได้ ส่วนหยงเวยเองก็โดนไป๋ไป่ช่วยออกมาได้เช่นกัน

“แกไม่เห็นหรือยังไงว่าพลังมารมันส่งผลเสียมากแค่ไหน”ไป๋หลินว่าพลางเร่งพลังของตนขึ้นมา ตัวนางเป็นผู้มีพลังสูงที่สุดในที่แห่งนี้แล้วหากนางไม่สู้แล้วใครจะสู้ได้เล่า นางทราบผลร้ายของพลังมารดีอยู่แล้ว ไม่มีทางปล่อยจางหลงออกไปเปลี่ยนคนภายนอกให้เป็นมารแน่ๆ

“ผลเสีย? ข้าไม่เห็นว่าจะมีผลเสียตรงไหน”จางหลงตอบพลางยิ้มออกมา ดาบมรกตในมือของมันส่องแสงสีเขียววาบออกมา ก่อนจะเรียกเอาเหล่าทหารมรกตให้ออกมาจากพื้นตรงเข้าโจมตีไป๋หลินกับชิงชิวทันที

“พี่ไป๋ไป่ พาท่านลุงหนีไปก่อน”ไป๋หลินว่าพลางเรียกเอากระบี่ออกมาโจมตีใส่ทหารมรกตจนแตกกระจายไปตัวหนึ่ง ส่วนไป๋ไป่นั้นได้ยินไป๋หลินพูดเช่นนั้นก็รีบใช้หางรัดร่างของหยงเวยแล้วบินขึ้นฟ้าไปทันที

เปรี้ยง!! มีดของชิงชิวกรีดร่างของทหารมรกตเข้าอย่างจัง พลังธาตุวายุที่แฝงมากับมีดกรีดเอาเนื้อหินขาดออกจากกันอย่างสวยงามเลยทีเดียว

ตูม!! ฝ่ามือของไป๋หลินกวาดเอาทหารมรกตหายไปหลายตัว ก่อนที่นางจะพุ่งตรงเข้าไปหาจางหลงในทันที

วืด….รากไม้สีดำพุ่งขึ้นมารัดร่างของไป๋หลินเอาไว้ แน่นอนว่านางไม่ยอมโดนจับง่ายๆเป็นแน่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางโดนรากไม้แบบนี้เข้าโจมตีเสียหน่อย

เคร๊ง!! ทันทีที่ไป๋หลินหลบรากไม้ เสาน้ำแข็งขนาดใหญ่ก็ปรากฏเบื้องหน้าไป๋หลินเสียก่อน

เปรี้ยง!! ไป๋หลินทำลายเสาน้ำแข็งก่อนจะกระโดดไปข้างหน้าเพื่อหนีจากรากไม้ ขณะเดียวกันก็บุกเข้าหาจางหลงที่ยืนอยู่ตรงหน้าไปด้วย

เปรี้ยงๆๆๆๆๆๆๆ ไป๋หลินใช้ฝ่ามือประกานอัสนีปัดใบมีดบินของริษยาออกไปจนหมด ก่อนจะใช้ฝ่ามืออัสนีข้ามฟ้าเพื่อประชิดตัวจางหลงจนสำเร็จ

ตูม!!! ฝ่ามือเพลิงผลาญคล้อยสำนึกของไป๋หลินกระแทกเข้าใส่ร่างของจางหลงเข้าอย่างจัง น่าเสียดายนางไม่มีเวลารวมรวมพลังไม่อย่างนั้นคงสามารถใช้ฝ่ามือเพลิงพิฆาตโจมตีได้บ้าง

ฟุบ……ขณะที่ฝ่ามือเพลิงผลาญคล้อยสำนึกของไป๋หลินกำลังผลักร่างของจางหลง ชิงชิวก็โผล่เข้ามาจากทางด้านหลังอย่างพอดิบพอดี ตัวมันแม้ไม่ได้เจอไป๋หลินมานานก็ทราบจังหวะการต่อสู้ของนางดี เพียงแต่….

ฟุบๆๆๆๆๆ ทั้งดาบสั้นและมีดในมือชิงชิวปาดไปทั่วร่างของจางหลง แต่เกราะมรกตของโทสะก็ถูกสร้างขึ้นมาป้องกันเอาไว้ แม้จะกรีดได้เลือดมานิดหน่อย แต่ด้วยพลังของเกียจคร้านก็ทำให้บาดแผลหายไปในพริบตา

“หึหึ ต่อให้เป็นเจ้าสวรรค์ขั้นที่ 10 ก็ยังรับมือข้าไม่ได้ พวกเจ้าเป็นใคร”จางหลงพูดพลางยกดาบมรกตขึ้น ในตอนที่ไป๋หลินเข้ามาโจมตีก็โดนรากไม้ดำมัดขาเอาไว้แล้ว จะตัดมันทิ้งก็ใช้เวลามากเกินไปเกรงว่าจะหนีไม่ทัน ไป๋หลินจึงตัดสินใจรวบรวมพลังหมายจะสวนการโจมตีครั้งนี้เสีย

“ไป๋หลิน”ชิงชิวเห็นไป๋หลินจะโดนโจมตีมันก็ไม่คิดมากพุ่งเข้าไปขวางระหว่างกลาง ดาบและมีดสั้นในมือของมันตีวงหมุนควงใส่ดาบมรกตเต็มแรง เพียงแต่ความแข็งแกร่งของดาบมรกตนั้นเป็นที่รู้กันว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าอาวุธวิเศษอื่นใด ทำให้มีดและดาบสั้นของชิงชิวแตกกระจายทันทีที่เข้าปะทะ

ตูม!! ไป๋หลินปล่อยฝ่ามือเพลิงผลาญคล้อยสำนึกใส่ดาบมรกตที่ยังคงกดเข้ามาหาพวกตน หากหยุดไม่ได้ทั้งชิงชิวทั้งตนเองคงโดนฟันขาดเป็นสองท่อนแน่ๆ

“พี่ชิงชิว ทำไมพี่ถึงรีบออกมานักล่ะ”อยู่ๆที่ด้านข้างของทั้ง 3 คนกลับปรากฏร่างของไป๋จูล่งขึ้นมาเสียอย่างนั้น ในขณะที่ไป๋หลินกำลังใช้ฝ่ามือเพลิงผลาญคล้อยสำนึกดันดาบมรกตเอาไว้ เจ้าน้องชายกลับเดินเข้ามาหน้าตาเฉยก่อนจะ…

“พี่ชาย อย่าเอาของมีคมมาเล่นแบบนี้สิขอรับ”จูล่งว่าพลางเอามือจับไปที่ดาบมรกตก่อนจะผลักดาบมรกตออกหน้าตาเฉย

“….ท่านพี่? ทำไมท่านมาอยู่กับพี่ชิงชิวล่ะขอรับ”จูล่งพูดพลางมองไปทางชิงชิวกับไป๋หลินที่ไม่ทราบว่ากำลังเล่นอะไรกันอยู่ ตัวมันไม่คิดเลยว่าจะได้พบพี่สาวอีกครั้งไวขนาดนี้

บุตรอสูรบรรพกาล

บุตรอสูรบรรพกาล

Status: Ongoing
บุตรอสูรบรรพกาล ไป๋จูเหวิน เด็กหนุ่มผู้ถูกเลี้ยงดูโดย อสูรแมงมุม ที่มีอายุมายาวนานนับหมื่นๆปี มันดูแลเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ที่ไม่ทราบมาจากที่ใดดั่งบุตรของตนเอง แต่เด็กมนุษย์เพียงคนเดียวไม่อาจอยู่ในแดนอสูรที่มีแต่อสูรได้ มันจึงเดินทางมายังแดนมนุษย์อีกครั้ง ระดับของอสูร -ทองแดง -เงิน -ทอง -หยก -หยกขาว -ตำนาน -มายา -บรรพกาล ระดับของมนุษย์ (มีเพิ่มภายหลัง) -มนุษย์ -ก่อกำเนิด -ผลึกวิญญาณ -หลอมรวมปฐพี -หลอมรวมนภา -หลอมรวมวิญญาณ -ชำระกล้ามเนื้อ -ชำระกระดูก -ชำระเส้นเอ็น -ชำระวิญญาณ -ก่อกำเนิดพลังเซียน -เหรินเซียน -ตี้เซียน -เสินเซียน -เทียนเซียน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset