บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 380 ความเกี่ยวข้องกับเหอเจี่ยนสุย / ตอนที่ 381 สนใจใคร่รู้

ตอนที่ 380 ความเกี่ยวข้องกับเหอเจี่ยนสุย

 

 

เซียงฉือกำลังคิดจะลุกขึ้นแสดงความขอบคุณ แต่หรงจิงสะบัดมือแล้วเดินหมากต่อ เขาเอ่ยขึ้นเลียบๆ เคียงๆ ว่า

 

 

“เหอเจี่ยนสุยเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า จึงได้ช่วยเหลือเจ้าเช่นนี้”

 

 

เซียงฉือหวั่นใจ หากนางบอกเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเหอเจี่ยนสุยออกไป พวกนางจะต้องประสบกับอะไรบ้าง ถ้านางบอกไปแล้วก็จะลงเอยได้สองทางคือหรงจิงยินยอมปล่อยนางออกจากวัง หรือไม่ก็หาโอกาสฆ่าเหอเจี่ยนสุย เพื่อให้นางตัดใจได้เด็ดขาด

 

 

ความเป็นไปได้แรกที่ว่าจะยอมปล่อยนางออกจากวังนั้น หากดูจากปฏิกิริยาของหรงจิงเมื่อครู่แล้วย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ ความต้องการครอบครองควบคุมของชายผู้นี้แรงกล้ามาก เซียงฉือไม่มีความมั่นใจขนาดนั้น ดังนั้นนางจึงไม่กล้าพูด ไม่อาจบอกถึงความสัมพันธ์ของพวกนางออกมาได้

 

 

แต่หากไม่บอกแล้วถูกตรวจสอบออกมาเล่า เพราะบ้านสกุลอวิ๋นกับบ้านสกุลเหอมีความใกล้ชิดผูกพันกันมาตลอด นางจะอธิบายอย่างไร

 

 

เซียงฉือลังเลไม่อาจตัดสินใจได้ หรงจิงหยุดมือที่กำลังจะวางตัวหมากแล้วมองท่าทางก้มหน้าของนาง

 

 

เขากระแอมขึ้นมา

 

 

“เขาเป็นอะไรกับเจ้า คู่หมั้นหรือ”

 

 

พอนางได้ยินคำว่าคู่หมั้นสองคำนั้นก็ลนลานเงยหน้าขึ้น มองดูหรงจิงด้วยแววตาหวั่นเกรงอย่างยิ่ง เมื่อมองอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็รีบส่ายศีรษะ

 

 

“ทูลฝ่าบาท ไม่ใช่เพคะ”

 

 

นางจะบอกอย่างไร เหอเจี่ยนสุยเป็นคนให้ความสำคัญกับความรักความสัมพันธ์ ครั้งนั้นแม้ครอบครัวนางจะถูกจองจำ เขาก็ไม่ได้ถอนหมั้นนาง แต่ตั้งแต่นางกลายเป็นนักโทษแล้ว ชีวิตตลอดจนร่างกายนางนับตั้งแต่วันที่เข้าวังก็เป็นของฮ่องเต้ไปแล้ว

 

 

นางไม่ได้เป็นตัวของตัวเองอีกต่อไป ทั้งย่อมไม่ได้เป็นว่าที่ภรรยาของเหอเจี่ยนสุยอีกแล้วด้วย

 

 

แต่นางพูดคำพูดนั้นออกไปอย่างง่ายดาย นางอยากตบหน้าตนเองนัก เพื่อต้องการรักษาชีวิตเช่นนั้นหรือ

 

 

เซียงฉือพูดไม่ออก เมื่อครู่แม้นางลนลานแต่ก็ยังเห็นแววตาหรงจิงที่เปี่ยมความไม่พอใจ ทั้งถือสาอย่างยิ่งกับจิตสังหารอันน่าหวั่นเกรง

 

 

นางหวาดกลัวจนส่ายศีรษะทันที

 

 

หรงจิงมองดูนาง เขาไม่เชื่อคำพูดของนางนัก เพราะกิริยาของนางเมื่อครู่ดูแปลกประหลาดเกินไป

 

 

เขาขมวดคิ้วหรี่ตา มองดูเซียงฉือราวจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ถามขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

 

 

“เจ้าบอกว่าไม่ใช่ ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าเกี่ยวข้องกันอย่างไร เหตุใดเขาถึงได้ช่วยเจ้าขนาดนี้”

 

 

คราวนี้เซียงฉือไม่ก้มหน้าแล้ว นางยิ้มแล้วตอบกลับไป

 

 

“บ้านสกุลอวิ๋นกับบ้านสกุลเหอคบหากันมาหลายชั่วคนแล้วเพคะ ท่านปู่กับท่านปู่บ้านสกุลเหอเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน ทั้งสองครอบครัวคบหากันสนิทสนมยิ่ง คงเป็นเพราะท่านพ่อไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งพาใครจึงได้ไปขอร้องยังบ้านสกุลเหอ เหวินเซวียน…”

 

 

ขณะนั้นเซียงฉือเพราะความลนลานจึงเผลอเรียกชื่อทางการของเหอเจี่ยนสุยออกมาว่าเหวินเซวียน แต่ขณะถัดมาเมื่อรู้สึกตัวจึงรีบแก้คำพูด

 

 

“พี่เหวินเซวียนเคยกราบเป็นศิษย์ของท่านปู่หม่อมฉัน ดังนั้นจึงคิดจะทำเพื่อท่านปู่ให้เต็มที่กระมังเพคะ”

 

 

เซียงฉือไม่ได้พูดปด สมัยก่อนครั้งเหวินเซวียนอยู่ในหลานโจวได้กราบท่านปู่เป็นอาจารย์ ศึกษาคัมภีร์โดยเฉพาะ หากมิใช่เช่นนั้นเขาก็คงไม่ได้เป็นหนุ่มน้อยอัจฉริยะแห่งหลานโจวตั้งแต่อายุยังน้อย

 

 

เซียงฉือเปลี่ยนคำเรียกแต่หรงจิงฟังทัน แววตาเขาค่อยๆ หรี่ลง มองดูเซียงฉือริมฝีปากผุดยิ้มที่เหมือนไม่ใช่รอยยิ้มขึ้น

 

 

เซียงฉือกัดริมฝีปาก พูดว่า

 

 

“ท่านปู่มักชมเชยพี่เหวินเซวียนเสมอว่าเป็นสุภาพบุรุษเจ้าบทเจ้ากลอน และเคยคิดจะยกหม่อมฉันให้เป็นภรรยาของพี่เหวินเซวียน แต่พอหม่อมฉันเพิ่งปักปิ่นทั้งครอบครัวก็ถูกจองจำเสียแล้ว ดังนั้นคำพูดนั้นจึงเป็นเพียงคำพูดเล่นไปเพคะ”

 

 

เซียงฉือไม่กล้าปิดบังหรงจิงอีก เพราะท่าทางของหรงจิงทำให้นางหวาดหวั่น

 

 

เมื่อตอบไปเช่นนั้นแล้ว ดูเหมือนหรงจิงจะพอเชื่ออยู่บ้าง

 

 

เขารู้ว่าเหอเจี่ยนสุยคนนี้คงจะมีความสัมพันธ์อะไรกับนางอยู่บ้าง มิเช่นนั้นนางคงไม่ลุกลี้ลุกลนเช่นนี้

 

 

 

 

ตอนที่ 381 สนใจใคร่รู้

 

 

ความสนใจใคร่รู้ของหรงจิงไม่ได้ด้อยไปกว่าการควบคุมตนเองของเขา เพียงเซียงฉือลังเลเล็กน้อย ไฟใคร่รู้ของหรงจิงก็ลุกโชน

 

 

เมื่อเป็นถึงฮ่องเต้ ความช่างสงสัยของเขาสามารถกระทั่งทำให้แมวตายได้

 

 

หรงจิงอยากจะดึงมือเซียงฉืออย่างยิ่งแล้วพูดกับนางด้วยความจริงใจว่า

 

 

“เล่าเรื่องระหว่างพวกเจ้าออกมา เมื่อเล่าจบแล้วข้าจะช่วยดูให้ว่าเขาเป็นผู้ชายที่ดีหรือไม่” แต่หรงจิงไม่ได้พูดออกมา ส่วนเซียงฉือก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดต่อหรือไม่

 

 

เซียงฉือเห็นสีหน้าหรงจิงก็ยิ่งลนลานไม่กล้าพูดอีก

 

 

นางหวาดกลัวแววตาเช่นนี้ของเขา เพราะแววตาของเขาแฝงความตำหนิและความต้องการเอาชนะ ยามมองดูเซียงฉือ ทำให้นางขาดความมั่นใจ

 

 

“ฝ่าบาท เรื่องจะออกเรือนกับเขานั้นเป็นเพียงความเต็มใจของท่านปู่ฝ่ายเดียว พี่เหวินเซวียนเป็นถึงบัณฑิตอัจฉริยะของหลานโจวตั้งแต่เป็นหนุ่มน้อย มีความรู้ความทรงจำดียิ่ง ทุกคนต่างบอกว่าเขาเป็นเทพดาวเหวินฉวี่[1]จุติลงมาเกิด ส่วนหม่อมฉันเป็นเพียงหญิงสามัญ ท่านปู่จึงได้แต่เพียงวาดหวังอันงดงามไว้เท่านั้น…”

 

 

เซียงฉือพูดเช่นนี้ทำให้หรงจิงหัวเราะออกมา นางเอ่ยว่าตัวเองเสียจนไม่เหลือราคาค่างวด เซียงฉือในสมัยนั้นเป็นถึงหลานสาวของเจ้าเมืองหลานโจว หรงจิงย่อมรู้ถึงกิตติศัพท์ความรู้ของนางดี แต่นางเพียรว่าตนเองเสียจนไร้ค่าเช่นนี้

 

 

ช่างน่าขัน แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้อีก

 

 

หรงจิงวางหมากลงตัวหนึ่งแล้วมองดูเกมหมาก จากนั้นหัวเราะขึ้นมา

 

 

“พรุ่งนี้จะให้เหอเจี่ยนสุยมาเดินหมากแทนเจ้า หากเขาชนะข้าก็จะมอบหมากชุดนี้แก่เจ้า”

 

 

อารมณ์ของหรงจิงจัดว่ายังดีอยู่ เขาลุกออกจากข้างหน้าต่าง แต่เซียงฉือไม่เข้าใจเจตนาของเขา เหอเจี่ยนสุยจะสามารถมาเดินหมากกับฮ่องเต้ได้อย่างไร

 

 

หรงจิงเดินไปถึงหน้าโต๊ะแล้วตะโกนเรียก

 

 

“เด็กๆ!”

 

 

กงกงเสี่ยวลี่จื่อผลุบจากด้านนอกประตูเข้ามาในห้องแล้วค้อมกายขานตอบ หรงจิงพูดอย่างเป็นงานการว่า

 

 

“ไปเรียกตัวหัวหน้าสำนักศึกษามา พรุ่งนี้เช้าหลังเลิกประชุมเช้าแล้วให้เข้ามายังตำหนักเจิ้งหยาง”

 

 

เซียงฉืออยู่ข้างๆ ได้ยินคำพูดนี้แล้วใจก็เต้นระส่ำราวจะกระโดดออกมาได้ พรุ่งนี้เหอเจี่ยนสุยจะเข้าวัง จะเข้าวังแล้ว นางจะได้พบกับเขา สามารถเห็นเขา…ในสมองเซียงฉือมีเพียงเรื่องนี้ คำพูดอื่นๆ จึงฟังไม่เข้าหู

 

 

หรงจิงพูดจบและเสี่ยวลี่จื่อรับคำสั่งหมุนกายออกไปเพื่อสั่งการแล้ว เมื่อเขากลับไปนั่งยังที่เดิมและเงยหน้าขึ้นอย่างไม่ตั้งใจก็เห็นท่าทางยินดีปรีดาเต็มเปี่ยมของเซียงฉือ

 

 

ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาไม่ชอบเซียงฉือในลักษณะนี้ อีกทั้งไม่ชอบเหอเจี่ยนสุยคนนั้นด้วย

 

 

เหอเจี่ยนสุย หรงจิงบรรจุชื่อนี้ลงในสมองคิดทบทวน แล้วก็นึกขึ้นได้ทันใดว่าหรงเฉิงเยี่ยเคยพูดถึงคนคนนี้กับเขา บอกว่าเขาชำนาญทั้งบุ๋นและบู๊ เป็นคนที่หาได้ยาก แต่ตอนนั้นเหอเจี่ยนสุยเพิ่งจะอายุสิบแปดปี เพิ่งย่างเข้าวัยหนุ่ม

 

 

ถึงหรงจิงจะได้ยินเรื่องราวของเขาแล้วแต่เห็นว่าเขายังอายุน้อยเกินกว่าจะใช้งานสำคัญได้จึงให้เขาไปรับผิดชอบด้านการสอน ไปอยู่ในสำนักศึกษาคิดไม่ถึงว่าภายในไม่กี่ปีนี้เขากลายเป็นหัวหน้าของสำนักศึกษาไปแล้ว

 

 

หรงจิงค่อยๆ ลืมเลือนตัวตนของเขาไปแล้ว แต่วันนี้กลับคิดถึงคนคนนี้ขึ้นมา ทำให้รู้สึกสนใจในมหาบัณฑิตอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงแต่เยาว์วัยทั้งที่ยังไม่ได้เข้าสู่แวดวงสังคมอย่างแท้จริง

 

 

หรงจิงมองดูอีกครั้ง เซียงฉือยังคงเหม่อลอยอยู่ จึงกระแอมขึ้นแรงๆ

 

 

“ฝนหมึก”

 

 

พอได้ยินเสียงหรงจิงเตือนสติ เซียงฉือก็กลับสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว ตอนนี้นางไม่สนใจแล้วว่าหรงจิงจะพอใจหรือไม่ ก้มหน้าก้มตาฝนหมึกยิ้มไม่หุบ

 

 

หรงจิงเห็นนางแบบนั้นยิ่งรู้สึกยากจะทนทานจึงยิ่งใส่ใจกับหัวหน้าสำนักศึกษาคนนี้

 

 

พรุ่งนี้ได้พบกับเขาจึงจะรู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร

 

 

 

 

[1]  ดาวเหวินฉวี่  (文曲星) ดาวเหวินฉวี่เป็นดาวดวงหนึ่งในกลุ่มดาวหมีใหญ่ (เป๋ยโต่ว/北斗) ถือเป็นดาวมงคล ส่งผลในด้านการศึกษา ศิลปะ งานราชการ ฯลฯ อีกทั้งยังอำนวยโชคลาภ เชื่อกันว่าเทพประจำดาวนี้จุติลงมาเกิดเป็นมนุษย์หลายครั้ง (รวมถึงเปาบุ้นจิ้นด้วย) เป็นดาวที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับดาวเหวินชัง (文昌星)

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset