บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 414 องค์หญิงหรงเย่ว์ / ตอนที่ 415 คำขอของจิ้งเฟย

ตอนที่ 414 องค์หญิงหรงเย่ว์

 

 

เซียงฉือเดินเข้าไปนั่งยองๆ อยู่เบื้องหน้าหรงเย่ว์ พูดยิ้มๆ ว่า

 

 

“เหรินเซินกั่วอย่างไรเล่า อร่อยไหมเพคะ”

 

 

พอเซียงฉือถามออกไปแบบนั้น เด็กหญิงก็ยิ้มหวานแล้วออกมาจากข้างหลังจิ้งเฟย พยักหน้าอย่างดีใจหนักหนา

 

 

เมื่อเซียงฉือยื่นมือนางก็ยื่นมือน้อยๆ ของตนเข้าไป

 

 

“เหรินเซินกั่วเป็นของที่เสด็จพ่อขององค์หญิงประทานให้องค์หญิง ตามหม่อมฉันไปขอบพระทัยเสด็จพ่อนะเพคะ พระองค์ทรงรักองค์หญิงมากนะเพคะ”

 

 

เซียงฉือยิ้มแล้วหมุนตัวเตรียมพาหรงเย่ว์ไปหาฮ่องเต้ หรงเย่ว์เมื่อได้ยินว่าเหรินเซินกั่วเป็นของที่ผู้ชายด้านหลังที่มีหน้าตาดุดันคนนั้นมอบให้ ท่าทางนางก็อ่อนลง ถึงแม้ยังคงเกรงกลัว แต่ก็ยอมให้เซียงฉือจูงไปที่ข้างกายหรงจิง

 

 

เซียงฉือวางมือน้อยๆ นั้นเข้าไปในมือใหญ่ของหรงจิง

 

 

หรงเย่ว์มองดูหรงจิงอย่างน่ารัก เมื่อมองเขาแล้วก็ยิ้มออกมา

 

 

“เสด็จพ่อ”

 

 

“มีเหรินเซินกั่วอีกไหม หรงเย่ว์จะเอาอีก”

 

 

ผู้ใหญ่ในห้องพากันรื่นเริงขึ้นมา คำพูดเด็กๆ ช่างไร้เดียงสาจริงๆ 

 

 

หรงจิงยุ่งอยู่กับราชกิจเสมอมาจึงไม่ค่อยได้เข้าฝ่ายใน ตลอดมาจินกุ้ยเฟยกับซูเฟยมีความสามารถในการโปรยเสน่ห์ ส่วนโหรวผินเป็นเด็กหญิงที่เป็นเพื่อนเล่นและโตขึ้นมาพร้อมฮ่องเต้จึงได้รับความรักมาก นอกจากนี้ยังมีบรรดากุ้ยเหริน ฉังไจ้ ตาอิ้งหน้าใหม่มากมายที่รอให้เรียกถวายงาน

 

 

ตลอดมาจิ้งเฟยจะเป็นคนที่สงบเงียบน่ารักที่สุด หากว่านางไม่ออกมาให้เห็นบ้าง หรงจิงคงจะจำนางไม่ได้แล้วจริงๆ

 

 

ครั้งนี้นางมาพบหรงจิงเองเช่นนี้ ไม่รู้ว่ามีธุระอันใด

 

 

เกือบครึ่งปีแล้วที่หรงจิงไม่ได้พบหน้าบุตรสาวของตน อย่าว่าแต่เด็กๆ เลย แม้ตัวเขาเองก็แทบจะลืมหน้าตาบุตรสาวของตนไปแล้ว

 

 

ตอนนี้เมื่อได้พบจึงดีใจอย่างยิ่ง

 

 

วันนี้เซียงฉือทำผิดต่อหรงจิงโดยขัดความประสงค์ของเขาจึงต้องทำดีทางอื่นเป็นการชดเชย เพื่อที่หรงจิงจะไม่ทำโทษให้นางทูน ‘บันทึกรบ’ อีก

 

 

เมื่อเซียงฉือเห็นทั้งครอบครัวกำลังมีความสุขจึงได้ถอยออกไปนั่งในที่ของตน ให้เวลานั้นเป็นของจิ้งเฟยกับองค์หญิงหรงเย่ว์

 

 

เซียงฉือชื่นชอบจิ้งเฟยมาก นางมีหน้าตาที่แม้จะไม่ชวนตื่นตะลึง แต่กลับให้ความสบายใจยิ่ง

 

 

“เย่ว์เอ๋อร์ของข้าต้องการอะไรก็มีทั้งนั้นอย่าว่าแต่เหรินเซินกั่วเลย เด็กๆ นำเหรินเซินกั่วที่เหลืออยู่ทั้งหมดส่งไปตำหนักเฮ่อเหลียน ประทานให้กับองค์หญิงหรงเย่ว์”

 

 

หรงจิงอุ้มร่างอ่อนนุ่มของบุตรสาวด้วยความดีใจ บุตรสาวของเขาอายุหกปีอันเป็นวัยฉลาดแคล่วคล่องชวนให้คนรักใคร่ อีกทั้งยามที่เด็กหญิงยิ้มออกมายังทำให้หวานไปทั้งใจ

 

 

เมื่อเซียงฉือเห็นความสุขของคนทั้งครอบครัวนั้นแล้วก็พลอยดีใจไปกับพวกนางด้วย

 

 

เซียงฉือยังคงตรวจอ่านรายงานต่อไป ถึงนางจะเพียงเขียนคำว่าอ่านแล้ว แต่นางก็เบิกบานใจนัก

 

 

ส่วนจิ้งเฟยกับหรงจิงนั่งอยู่บนเก้าอี้พูดคุยเรื่องทั่วไป

 

 

ปกติจิ้งเฟยจะไม่ออกนอกตำหนัก ทุกวันหากไม่ใช่บูชาพระก็จะปลูกต้นไม้ใบหญ้า หรือไม่ก็อ่านตำราเป็นการฆ่าเวลา วันเวลาของนางผ่านไปอย่างงดงามไม่เหมือนใคร ชาววังต่างพูดกันว่าตำหนักเฮ่อเหลียนของซูเฟยเป็นราวกับเมืองในอุดมคติที่อยู่ภายในวังนี้

 

 

จิ้งเฟยถึงจะไม่ได้รับความโปรดปรานมากนัก แต่ว่านางมีองค์หญิงใหญ่หรงเย่ว์ ทำให้ใครก็รังแกนางไม่ได้ อีกทั้งฐานะนางยังสูงส่ง ทั้งยังมาจากตระกูลใหญ่ ตลอดมาไม่เคยก่อเรื่อง จึงไม่มีใครที่จะเข้าไปรบกวนนาง

 

 

จึงเป็นสถานที่ที่สะอาดที่สุดของวังนี้จริงๆ

 

 

จิ้งเฟยมองดูหรงจิง มองดูสีหน้าของเขา นางลูบใบหน้าด้านข้างหรงจิงอย่างอ่อนโยนรักใคร่

 

 

“ช่วงนี้ย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว อวิ๋นหยางของพวกเราอยู่ทางด้านเหนือจะแห้งแล้งสักหน่อย หม่อมฉันได้ตากเก๊กฮวยกับส้มใหม่ๆ เอาไว้เป็นชาสำหรับดื่ม จึงตั้งใจนำมาถวายฝ่าบาทส่วนหนึ่ง ฝ่าบาทจะได้ไม่ทรงไออีกเพคะ”

 

 

นางหยิบกล่องหยกขาวใบหนึ่งมาจากมือของนางกำนัลวางลงบนโต๊ะ เปิดออกเบาๆ ให้หรงจิงดู

 

 

หรงจิงผงกศีรษะแล้วพูดขึ้น

 

 

“เจ้าช่างมีน้ำใจนัก ข้าจะไม่ลืมนำมาใช้”

 

 

 

 

ตอนที่ 415 คำขอของจิ้งเฟย

 

 

จิ้งเฟยได้ยินดังนั้นก็ยิ้มหวาน นางปิดหน้าพูดขึ้นอย่างขวยเขิน

 

 

“ฝ่าบาททรงมีราชกิจยุ่งมากทุกวันจะทรงจำเรื่องเล็กน้อยนี้ได้หรือเพคะ หม่อมฉันได้สั่งซูกงกงให้เขาช่วยจดจำแทนฝ่าบาทแล้วเพคะ แต่วันนี้ที่หม่อมฉันมาเฝ้าก็เพราะมีเรื่องทูลปรึกษาเพคะ”

 

 

โดยปกติจิ้งเฟยจะไม่ขออะไรกับหรงจิงง่ายๆ นางขบริมฝีปากจึงได้พูดคำพูดเมื่อครู่ออกมาได้ หรงจิงรู้สึกประหลาดใจ จิ้งเฟยเป็นผู้ที่สงบเสงี่ยมเสมอมา ไม่รู้ว่านางต้องการขอร้องเรื่องอันใด

 

 

หรงจิงเกิดความสงสัย มองดูหรงเย่ว์ที่กำลังกินเหรินเซินกั่วในอ้อมอกเขาอย่างเอร็ดอร่อย เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าซับมุมปากให้นาง ยิ้มแล้วพูดว่า

 

 

“หว่านเอ๋อร์มีเรื่องอันใด ไหนลองพูดมา”

 

 

จิ้งเฟยกัดริมฝีปาก ในที่สุดก็พูดขึ้นว่า

 

 

“อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเกิดของหม่อมฉันแล้ว หม่อมฉันอยากพบกับท่านพ่อท่านแม่ของหม่อมฉันสักครั้งเพคะ หม่อมฉันเข้าวังมานาน ถึงจะมีจดหมายติดต่อกันและเคยพบกับท่านพ่อในวังอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ท่านแม่ป่วย หม่อมฉันจึงอยากกลับบ้านไปเยี่ยมท่านเพคะ หวังว่าฝ่าบาทจะทรงอนุญาตนะเพคะ”

 

 

จิ้งเฟยดึงมือหรงจิงไว้อย่างขอร้อง หญิงสาวเมื่อแต่งเข้ามาอยู่ในวังแล้ว ถ้าหากบิดาเป็นข้าราชการอยู่ในเมืองหลวง บางครั้งยังพอมีโอกาสพบหน้ากันบ้าง บางเวลาก็พบกันเพียงชั่วครู่ยามในวัง ดังนั้นยามพ่อแม่แก่เฒ่าจึงไม่สามารถอยู่ปรนนิบัติข้างกายทดแทนคุณได้ ทำให้เกิดความไม่สบายใจ

 

 

เพราะประเทศมีกฎหมาย บ้านมีกฎระเบียบ ถึงแม้จิ้งเฟยจะมีความกตัญญู แต่หากพระสนมจะกลับบ้านเยี่ยมญาติ หรงจิงจึงต้องคิดและรู้สึกลำบากใจ

 

 

ด้วยความสัมพันธ์แล้วสมควรให้จิ้งเฟยกลับไป แต่พอหญิงสาวเข้าวังก็กลายเป็นคนของฮ่องเต้ นอกจากฮองเฮาแล้ว สนมนางกำนัลอื่นๆ ไม่สามารถกลับบ้านเยี่ยมญาติได้ ซึ่งเป็นกฎบัญญัติ

 

 

หรงจิงเป็นคนเคร่งครัดกฎระเบียบมาตลอด แต่เมื่อเห็นว่าจิ้งเฟยเชื่อฟังด้วยดีเสมอมา ทั้งยังไม่เคยก่อเรื่องอะไร อีกทั้งยังให้กำเนิดหรงเย่ว์แก่เขา เขาจึงทนไม่ได้ที่จะทำให้นางผิดหวังท้ายที่สุดจึงพยักหน้า

 

 

“หว่านเอ๋อร์คิดถึงแม่ก็เป็นเรื่องปกติของคนเรา ข้าอนุญาตให้เจ้ากลับบ้านได้สามวัน พาองค์หญิงหรงเย่ว์ไปด้วย นี่ถือเป็นของขวัญวันเกิดที่ข้าจะให้เจ้าก็แล้วกัน”

 

 

จิ้งเฟยลุกขึ้นคารวะ นางแย้มยิ้มอย่างหวานงดงามดีใจอย่างยิ่ง หรงจิงอนุญาตแล้วจริงๆ ให้นางได้กลับบ้านสามวัน

 

 

“เป็นพระกรุณาธิคุณยิ่งเพคะ หม่อมฉันน้อมกราบสำนึกในพระกรุณาของฝ่าบาทแทนท่านพ่อท่านแม่ด้วยเพคะ”

 

 

หรงเย่ว์มองเห็นมารดาคุกเข่าลงจึงหยุดไม่กล้ากินต่อ มองดูหรงจิงแล้วพูดว่า

 

 

“เสด็จพ่อ เสด็จแม่ทำผิดหรือเพคะ ทำไมร้องไห้ด้วย”

 

 

หรงจิงพูดปลอบบุตรสาว

 

 

“เสด็จแม่เจ้าดีใจน่ะ ดีใจจนร้องไห้เลย”

 

 

จิ้งเฟยถูกหรงจิงทำท่าประคองให้ลุกขึ้นยืน นางปลอบลูกสาวว่า

 

 

“แม่ดีใจจริงๆ เย่ว์เอ๋อร์ ไหนเจ้าบอกว่าอาจารย์เหอสอนกลอนมากมายไม่ใช่หรือ ท่องสักบทให้เสด็จพ่อฟังจะได้ไหมลูก”

 

 

เด็กหญิงดีใจมาก นางเช็ดปากแล้ววิ่งไปยืนอยู่กลางตำหนักฉินเจิ้ง ส่งเสียงกระแอมไอเบาๆ ขึ้นสองครั้งแล้วเริ่มท่องบทกลอนออกมา อีกทั้งยังคลอนศีรษะไปมา ทำให้ผมแกละสองข้างที่เกล้าไว้โยกไหวไปด้วย ดูน่ารักหนักหนา

 

 

เซียงฉือก็เดินไปข้างหลังนางเพื่อฟังและมองดูด้วยความประหลาดใจ หรงจิงเห็นหรงเย่ว์ฉลาดเฉลียวจึงทดสอบด้วยการถามความหมายของกลอนบางประโยคซึ่งเด็กหญิงก็ตอบได้อย่างมีเหตุมีผล หรงจิงพลอยยินดีไปด้วย เมื่อเขาเห็นเซียงฉือยืนอยู่อย่างชื่นชมจึงเรียกนาง

 

 

“เซียงฉือมานี่”

 

 

เซียงฉือได้ยินหรงจิงเรียกขานจึงรีบเข้าไปเบื้องหน้าเขา ประสานสองมือยื่นออกเบื้องหน้า

 

 

หรงจิงกล่าวว่า

 

 

“จิ้งเฟยจะออกนอกวัง ข้าจะส่งเจ้าร่วมเดินทางไปด้วย ประการแรกให้เจ้าดูแลจิ้งเฟยกับองค์หญิงแทนข้า ประการที่สองเป็นตัวแทนข้าในการฉลองวันเกิดให้จิ้งเฟย เจ้าจะทำได้หรือไม่”

 

 

พอหรงจิงพูดเช่นนี้เซียงฉือก็ยิ้ม เพราะนางสามารถออกจากวังได้แล้ว

 

 

เซียงฉือหัวเราะออกมาทันที ตอบรับอย่างปลอดโปร่งว่า

 

 

“หม่อมฉันสามารถทำได้เพคะ ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย”

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset