บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 450 ขีดเส้นตาย / ตอนที่ 451 คิดแผนสืบคดี

ตอนที่ 450 ขีดเส้นตาย  

 

 

สิ่งที่หรงจิงผ่อนปรนให้นั้นจินกุ้ยเฟยไม่รู้ถนอมรักษา นางมักวางอำนาจบาตรใหญ่ ถือตัวว่าเป็นคนโปรด ซึ่งเหล่านี้หรงจิงสามารถมองผ่านไปได้ แต่นางจะต้องไม่ล้ำไปแตะเส้นขีดจำกัดของเขา  

 

 

น้องสาวของเขา ธิดาของเขา ล้วนเป็นสายเลือดของราชวงศ์ เป็นสตรีที่สูงศักดิ์ที่สุด  

 

 

หากเป็นนางจริงๆ เช่นนั้นแสดงว่านางไม่เห็นราชวงศ์อยู่ในสายตาเลย ทั้งยังมองไม่เห็นเขาและการปกครองของเขาอีกด้วย หรงจิงหรี่ตา เขาไม่วิตกในข้อสงสัยหากแต่หวั่นเกรงว่านี่จะเป็นความจริง ไม่ว่าจะเป็นเจตนาดึงดูดความสนใจผู้คนของเซียงฉือหรือไม่ก็ตาม  

 

 

หากไม่ใช่นางแล้ว นางควรจะสามารถพิสูจน์ได้  

 

 

กระบี่เดียวทะลวงใจของเซียงฉือนี้พุ่งแทงได้อย่างอำมหิตและแม่นยำ จินกุ้ยเฟยพ่นลมหายใจเย็นออกจมูก หวังหมัวหมัวต้องชิงพูดตัดหน้าขึ้นก่อน เพราะรู้ว่าแม้ยามนี้จินกุ้ยเฟยจะดูสงบอยู่ แต่หากให้นางพูด ไม่แน่ว่าจะพูดอะไรออกมาบ้าง  

 

 

“ฝ่าบาท พระองค์ทรงทราบอุปนิสัยของกุ้ยเฟยแล้วนี่เพคะว่าพระนางถึงจะปากแข็งแต่พระทัยอ่อน จะทรงผลักองค์หญิงหมิงอวี้ลงสระน้ำไปได้อย่างไรเพคะ ทั้งกุ้ยเฟยและองค์หญิงหมิงอวี้ต่างไม่มีความแค้นเคืองกันมาก่อน เหตุใดต้องทำร้ายองค์หญิงถึงชีวิตด้วยเพคะ”  

 

 

หวังหมัวหมัวเดินออกไปเบื้องหน้าแล้วคุกเข่าลง  

 

 

“ฝ่าบาท กุ้ยเฟยเพิ่งได้รับพระราชโองการจากพระองค์จึงสามารถออกนอกประตูตำหนักอวี้หยวนมาได้ กล่าวได้ว่าพระนางยังไม่รู้จักกับองค์หญิงหมิงอวี้เลย หากทั้งสองพระองค์ทรงพบกันก็เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ผ่านกันไป ถึงกุ้ยเฟยจะทรงพระทัยร้อน แต่ก็ยังไม่เคยทรงทำอะไรผิดทำนองคลองธรรมนะเพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันขอเอาชีวิตตัวเองเป็นประกัน เรื่ององค์หญิงตกน้ำจะต้องไม่เกี่ยวข้องกับกุ้ยเฟยของหม่อมฉันอย่างแน่นอนเพคะ”  

 

 

เซียงฉือคุกเข่าอยู่บนพื้น ร่างนางค้อมต่ำมาก ตลอดมานางจะไม่รุกรานใครหากไม่ใช่เพราะถูกรุกรานก่อน ในเมื่อนางกับจินกุ้ยเฟยเป็นเสมือนน้ำกับไฟที่ไม่ลงกันแล้ว ก็ย่อมจะไม่ยอมให้นางได้อยู่อย่างสงบสุข  

 

 

ถึงแม้วันนี้จะยังไม่สามารถโค่นนางลงได้ แต่ขอเพียงทำให้นางอยู่ในสถานะลำบากเช่นนี้ก็เป็นดอกผลที่นางได้ทวงคืนมา  

 

 

เซียงฉือคุกเข่าฟังคำพูดของหวังหมัวหมัวแล้วก็หัวเราะ  

 

 

“เหอะๆ ฝ่าบาท หม่อมฉันก็คิดว่ากุ้ยเฟยไม่ได้ทรงสั่งใครให้ไปทำเรื่องนี้เพคะ แต่เพราะกุ้ยเฟยเสด็จเข้าไปในภูเขาจำลองก่อน ดังนั้นภายในภูเขาจำลองจึงมีผู้สูงศักดิ์อยู่สองพระองค์คือองค์หญิงหมิงอวี้และกุ้ยเฟยเพคะ”  

 

 

“หม่อมฉันเพียงทูลเตือนกุ้ยเฟยขอให้ทรงใส่พระทัยระวัง หรือกุ้ยเฟยควรจะทรงใคร่ครวญดูว่าทรงทำให้ใครขุ่นเคืองหรือไม่ ตอนนี้องค์หญิงหมิงอวี้ยังไม่ทรงฟื้นคืนสติ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการจับตัวนักฆ่าให้ได้กับปกป้องผู้ทรงศักดิ์ทั้งสองพระองค์ให้ดีมิใช่หรือเพคะ”  

 

 

ถึงซูเฟยจะไม่เข้าใจเซียงฉือที่ช่วยพูดให้กุ้ยเฟยเช่นนั้น แต่สวี่อี้นั้นเห็นด้วยอย่างยิ่ง  

 

 

หากเพียงอาศัยการคาดเดาโดยปราศจากหลักฐาน ได้แต่เพียงทำให้คนเกิดความสงสัยแต่ไม่สามารถกำหนดโทษได้ และครั้งนี้นางไม่มีทางจะสั่นคลอนรากฐานกุ้ยเฟยได้เลย มิสู้แสดงความใจกว้างออกมาต่อหน้าฮ่องเต้ สร้างภาพลักษณ์ของการมีความคิดอ่านรอบคอบ  

 

 

หากเป็นเช่นนี้ ต่อไปภายหน้าเมื่อเซียงฉือพูดอะไรต่อหน้าฮ่องเต้ก็จะยิ่งได้รับความเชื่อถือ เพราะเห็นนางเป็นคนไม่ลำเอียง  

 

 

หรงจิงก็พยักหน้า มองเซียงฉือด้วยสายตาชื่นชม ส่วนใบหน้าชราของหวังหมัวหมัวนั้นแดงเรื่อขึ้น  

 

 

เซียงฉือลุกขึ้น นางเดินไปด้านหลังหรงจิงพูดเสียงค่อนข้างเบาว่า  

 

 

“การที่หม่อมฉันคาดเดาเรื่อยเปื่อยเพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของฝ่าบาทเพคะ ในเมื่อมีนักฆ่าอยู่ในวังย่อมเป็นภัยร้ายที่แฝงอยู่ ฝ่าบาทอย่าได้ทรงลงโทษที่หม่อมฉันพูดมากเลยนะเพคะ”  

 

 

คำพูดของเซียงฉือทำให้หรงจิงยื่นมือไปแตะแผ่นหยกลายมังกรบนตัว สีหน้าเคร่งครัด  

 

 

“เอาล่ะ หยุดพูดเรื่องนี้ไว้ชั่วคราว ในเมื่อเกิดมีนักฆ่าขึ้นในวัง องค์หญิงหมิงอวี้ก็ได้รับบาดเจ็บ ฉู่อวิ๋นเซียว สวี่อี้ อวิ๋นเซียงฉือ ข้าขอสั่งให้พวกเจ้าทั้งสามคนร่วมมือกัน ให้หาตัวคนร้ายออกมาให้ได้ภายในสิบวัน หาไม่แล้วข้าจะไม่ให้อภัยอย่างเด็ดขาด”  

 

 

พอหรงจิงพูดจบ คนที่ถูกขานชื่อทั้งสามรีบออกมาจากลุ่มคนแล้วคุกเข่าต่อเบื้องหน้าหรงจิงตอบรับคำสั่ง  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 451 คิดแผนสืบคดี  

 

 

เมื่อหรงจิงพูดจบก็เกิดเสียงคุยกันเบาๆ ในห้องโถง ในที่สุดซูเฟยจึงได้ลุกขึ้นมาสอบถามแทนคนอื่นๆ  

 

 

“ฝ่าบาท หลังจากนี้อีกเจ็ดวันก็จะเป็นวันคัดเลือกสาวงามแล้ว ในวังยังไม่สามารถหาตัวนักฆ่าได้ หากมีคนนอกเข้ามาอีก เกรงว่าจะไม่เป็นผลดีกับการสืบสวนของพวกใต้เท้าสวี่นะเพคะ หรือว่า…”  

 

 

ความจริงซูเฟยตั้งใจจะขอให้หรงจิงขยายเวลาออกไปอีกหลายวันเป็นการแสดงน้ำใจต่อพวกสวี่อี้ แต่กลับกลายเป็นว่าลักไก่ไม่ได้แล้วยังต้องสูญข้าวไปอีกกำมือหนึ่ง เมื่อหรงจิงได้ฟังแล้วพูดขึ้นว่า  

 

 

“หลังจากนี้อีกเจ็ดวันเป็นวันคัดเลือกสาวงาม ก่อนวันคัดเลือกจะต้องสะสางเรื่องนี้ให้เรียบร้อยเสียก่อน เจ็ดวัน ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าเจ็ดวันเท่านั้น แน่นอนว่าทั้งกำลังคนสิ่งของจำเป็นต้องใช้ต่างๆ พวกเจ้าเรียกนำไปใช้ได้ สถานที่ใดๆ พวกเจ้าก็เข้าตรวจสอบได้ ข้าขอเพียงแค่อย่างเดียว เรื่องนี้จะต้องตรวจสอบให้รู้แจ้งแจ่มชัดให้จงได้ เข้าใจไหม”  

 

 

เซียงฉือสะท้านในใจ เวลาเจ็ดวันนั้นน้อยเกินไป แต่ว่านางไม่อาจโต้แย้งได้ ดังนั้นจึงสบตากับสวี่อี้แล้วตอบรับเสียงทุ้ม  

 

 

“หม่อมฉันทั้งหลายน้อมรับพระบัญชา และจะทำงานอย่างเต็มสติกำลังถวายแด่ฝ่าบาทเพคะ”  

 

 

หรงจิงสะบัดมือ เขารู้สึกปวดศีรษะ เรื่องนี้หากมอบหมายให้สวี่อี้หรือฉู่อวิ๋นเซียวถือเป็นเรื่องปกติ แต่หรงจิงจำเพาะเลือกพวกเขาทั้งสอง แม้จะเป็นความตั้งใจให้เกิดความร่วมมือกันของหนึ่งบุ๋นหนึ่งบู๊ก็ตาม อีกทั้งยังเพิ่มอวิ๋นเซียงฉือเข้าไปอีกคนหนึ่ง ยิ่งเป็นที่น่าสงสัยของผู้คน  

 

 

หรงจิงเสด็จออกไปแล้ว ซูเฟยมองเซียงฉือด้วยสายตาขอโทษแล้วจากไปเช่นกัน  ส่วนจินกุ้ยเฟยก็ตามหรงจิงออกไปด้วยสายตาอึมครึมเคียดแต้น จิ้งเฟยผงกศีรษะให้กับทุกคนแล้วอุ้มหรงเย่ว์ที่ร้องไห้จนเหนื่อยออกนอกประตูกองโอสถไป  

 

 

ชั่วเวลาเพียงครู่เดียว โถงด้านหน้าที่อึกทึกของกองโอสถจึงเหลือเพียงสวี่อี้ ฉู่อวิ๋นเซียวและเซียงฉือเพียงสามคน  

 

 

สวี่อี้เลือกนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ฉู่อวิ๋นเซียวเดินไปเดินมาอยู่ในโถง เซียงฉือยังคงยืนอยู่ ในใจนางคิดไปสารพัด  

 

 

“ตอนนี้ควรจะทำอะไร”  

 

 

“เรื่องราวซับซ้อน ร่องรอยสารพัน ถึงแม้พวกเราจะบอกว่ามีเบาะแสมากมายแต่ดูเหมือนจะใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย เวลาเพียงเจ็ดวันเท่านั้นจะปิดคดีอย่างไรได้ พวกเราไม่รู้แม้กระทั่งว่ามันเป็นชายหรือหญิง สูงต่ำอ้วนผอมอย่างไรเลยด้วยซ้ำ”  

 

 

ฉู่อวิ๋นเซียวโอดครวญอย่างท้อใจ เขามีรูปร่างสูงใหญ่ เมื่อเดินเตร่อยู่ในห้องโถงที่ไม่กว้างขวางมากนี้แล้วทำให้เบียดเสียดอย่างยิ่ง เซียงฉือยังคงยืนอยู่ ได้ยินคำบ่นของเขาแล้วแต่ก็ยังคงเงียบขรึมอยู่เช่นเดียวกับสวี่อี้  

 

 

ผ่านไปเป็นเวลานาน สวี่อี้จึงได้พูดขึ้นก่อน  

 

 

“ใต้เท้าฉู่ หยุดเดินไปเดินมาเถิดมันช่วยแก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้เลย มิสู้นั่งลงสงบสติอารมณ์สักครู่ แล้วพวกเรามาปรึกษาวางแผนกันจะดีกว่า”  

 

 

สวี่อี้พูดขึ้นเช่นนั้น ฉู่อวิ๋นเซียวก็ไม่ใช่พวกทึ่มทื่อจึงพ่นลมออกจมูกอย่างหงุดหงิดแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ไม้หนาน ส่วนเซียงฉือยังคงยืนอยู่ด้วยดวงตาสงบ  

 

 

สวี่อี้ถอนใจแล้วพูดขึ้นอีกว่า  

 

 

“เซียงฉือ เจ้าคิดว่าอย่างไร”  

 

 

เซียงฉือก้มหน้าลงคลุมผ้าคลุมบนร่างตนเองเบาๆ เมื่อขยับชายกระโปรงแล้วจึงเงยหน้าขึ้น  

 

 

“ที่นี่เหมาะจะพูดคุยกันหรือ พวกเราไปกองคดีกันก่อนดีกว่า ใต้เท้าสวี่เหลือคนไว้ดูแลองค์หญิงหมิงอวี้ที่นี่สักคน เมื่อองค์หญิงฟื้นขึ้นมา พวกเราก็จะได้รับข่าวก่อนใครอื่นมิใช่หรือ”  

 

 

เซียงฉือเพียงพูดจบสวี่อี้ก็ยิ้ม นางมองฉู่อวิ๋นเซียวอย่างกระอักกระอ่วน เพิ่งจะให้ใต้เท้าฉู่นั่งลงก้นไม่ทันร้อนก็จะให้ลุกเสียแล้ว เซียงฉือไม่ทันคิดถึงความกระอักกระอ่วนของคนทั้งสอง นางเดินเข้าไปห้องด้านใน มองดูโหรวผินนั่งเฝ้าอยู่หน้าเตียงองค์หญิงหมิงอวี้จากระยะห่างออกไปไม่มาก  

 

 

ตอนนี้หมิงอวี้จะต้องอยู่ในช่วงทุกข์ทรมานเป็นแน่ แต่เพื่อจะหาตัวคนที่ทำร้ายนางให้ได้ นางจำเป็นต้องไปจากที่นี่ กองโอสถมีผู้คนมากปากมาก อีกทั้งยังสายตาของผู้คนอีกตั้งเท่าไร พวกนางจะปรึกษาวางแผนอยู่ในที่นี้ได้อย่างไร  

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset