บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 452 ความช่วยเหลือจากโหรวผิน / ตอนที่ 453 แผนการของโหรวผิน

ตอนที่ 452 ความช่วยเหลือจากโหรวผิน  

 

 

โหรวผินเหมือนสัมผัสกับสายตาของเซียงฉือที่ด้านหลังได้จึงหมุนกายกลับไป พอเห็นเซียงฉือเข้าก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปหา  

 

 

“เซียงฉือเป็นห่วงองค์หญิงอยู่หรือ”  

 

 

อวิ๋นเซียงฉือพยักหน้าแล้วประสานมือซ้อนอยู่ด้านหน้าหน้าอก นางก้มศีรษะคารวะโหรวผินแล้วพูดขึ้นว่า  

 

 

“เป็นพระกรุณาที่โหรวผินประทานความช่วยเหลือเพคะ หม่อมฉันซาบซึ้งในพระกรุณาเป็นอย่างยิ่งเพคะ”  

 

 

อวิ๋นเซียงฉือรู้ว่าโหรวผินเหมาะสมจะดูแลหมิงอวี้ที่สุด เพราะในบรรดาพระชายาทั้งหมดนั้นโหรวผินเข้ากันได้ดีที่สุดกับหมิงอวี้ และนางยังเป็นชายาที่หรงจิงไว้วางใจที่สุดอีกด้วย  

 

 

โหรวผินได้รับคำขอบคุณจากนางเช่นนั้นก็เลิกคิ้วแต่ไม่โต้แย้ง เพียงยิ้มน้อยๆ แล้วประคองแขนนาง  

 

 

“ข้าเคยบอกไว้แล้วว่า ขอเพียงฝ่าบาททรงโปรดข้าล้วนชื่นชอบ เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้ากับเรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ซึ่งก็เพียงช่วยแบ่งเบาราชภาระของฝ่าบาทเท่านั้น”  

 

 

เซียงฉือพยักหน้าไม่ได้พูดอะไรมาก แต่คำขอบคุณของนางไม่ใช่เพราะโหรวผินช่วยดูแลหมิงอวี้แต่ด้วยเหตุผลอื่น  

 

 

“หม่อมฉันทราบว่าโหรวผินเชิญเสด็จซูเฟยมาที่นี่จึงได้ช่วยหม่อมฉันไว้ได้เพคะ โหรวผินทรงปราดเปรื่องมีพระทัยดีงามฝ่าบาทจึงได้ทรงไว้วางพระทัย แต่หม่อมฉันอยากทราบว่าเรื่องที่องค์หญิงตกน้ำในครั้งนี้ โหรวผินจะทรงมีเบาะแสอะไรให้หม่อมฉันหรือไม่เพคะ”  

 

 

โหรวผินได้ยินดังนั้นก็หันกายกลับไปยิ้ม สายตาผุดความระอา  

 

 

“ใต้เท้าอวิ๋นตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้นเสียแล้ว คิดจะผลักข้าเข้าไปให้สังคมวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงเช่นเดียวกับจินกุ้ยเฟยกระมัง”  

 

 

“ข้าไม่ใช่จินกุ้ยเฟยที่เป็นดั่งไม้ใหญ่รากลึก ได้แต่เพียงอาศัยมิตรไมตรีที่มีมาในอดีตกับฝ่าบาท อดทนผ่านวันเวลาอยู่ในวังนี้มาโดยไม่ต้องการจะหาภัยใส่ตัว และข้าก็อยากจะเตือนใต้เท้าอวิ๋นว่าเรื่องบางเรื่องไม่รู้เสียเลยยังจะดีกว่า”  

 

 

“ราชา เวียงวัง ความลับ เป็นดั่งวงจรที่อำพรางให้กันและกันจึงจะสามารถดำรงอยู่ได้ ข้าเข้ามาอยู่ในวังตั้งแต่เด็ก พบเห็นเรื่องเหล่านี้ในวังมามาก หวังว่าใต้เท้าจะไม่หาความทุกข์ร้อนใส่ตัว”  

 

 

เซียงฉือฟังแล้วก็พยักหน้าน้อยๆ นางยื่นมือไปลูบคลำกำไลหยกขาวบนมือ ไม่โต้แย้งอะไร  

 

 

“ฝ่าบาททรงเชื่อพระทัยโหรวผินที่สุดนะเพคะ การที่ทรงมอบองค์หญิงหมิงอวี้อยู่ในการดูแลของพระองค์เป็นการเหมาะสมที่สุดแล้ว แต่หม่อมฉันหวังว่าโหรวผินจะไม่ตรัสกับองค์หญิงหมิงอวี้เช่นนี้ เพราะองค์หญิงยังทรงพระเยาว์ ไม่ได้เติบโตขึ้นมาในวังตั้งแต่เล็ก พระองค์บริสุทธิ์ผุดผ่อง หม่อมฉันไม่ปรารถนาให้องค์หญิงต้องเผชิญกับเรื่องราวต่างๆ มากเกินไปเพคะ”  

 

 

“เรื่องไม่ดีชั่วร้ายต่างๆ ให้หม่อมฉันเป็นผู้รับไว้ก็เพียงพอแล้วเพคะ ส่วนเรื่องที่โหรวผินทรงตักเตือน หม่อมฉันได้แต่เพียงสำนึกในพระกรุณาที่ทรงปรารถนาดีต่อหม่อมฉัน แต่สำหรับหม่อมฉันแล้วคงจะทำไม่ได้เพคะ”  

 

 

รอยยิ้มของเซียงฉืออ่อนโยนยิ่งนัก โหรวผินก็ไม่โกรธ นางเพียงทอดถอนใจแล้วส่ายหน้า  

 

 

“ในเมื่อข้าเตือนเจ้าแล้วแต่เจ้าไม่ฟัง เช่นนั้นข้าก็จะบอกเจ้าในเรื่องที่ข้ารู้ก็แล้วกัน”  

 

 

“ส่วนว่าจะเป็นประโยชน์หรือไม่ จะดีหรือไม่ดีนั้นข้าก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวแล้ว ฝ่าบาททรงมอบหมิงอวี้ให้ข้าดูแล ข้าเพียงปกป้องนางก็เพียงพอแล้ว”  

 

 

เซียงฉือทำความเคารพ ในใจยินดียิ่ง  

 

 

“ถ้าเช่นนั้น เป็นพระกรุณาของโหรวผินยิ่งเพคะ”  

 

 

โหรวผินถอนใจแล้วส่งสัญญาณให้นางกำนัลที่อยู่ข้างกายออกไป ในห้องจึงมีเพียงพวกนางทั้งสองกับองค์หญิงหมิงอวี้ที่หลับอยู่  

 

 

นางมองเห็นไม่ผิดจริงๆ ในตอนนั้นไม่ใช่ซูเฟยที่เห็นนางเข้าก่อนแต่เป็นโหรวผิน สตรีนางนี้นำซูเฟยมายังที่ที่สามารถมองเห็นเซียงฉือกับจินกุ้ยเฟย นางเป็นคนช่วยเหลือเซียงฉือไว้  

 

 

นางมองเห็น ดังนั้นในที่นั้นจึงยังมีคนอีกผู้หนึ่งก็คือโหรวผิน  

 

 

การที่อวิ๋นเซียงฉือไม่พูดออกมาในตอนนั้น ก็เพราะตั้งใจจะเอาไว้สอบถามในเวลานี้  

 

 

คำพูดบางเรื่องไม่จำเป็นต้องพูดออกมาต่อหน้าคนอื่น อันว่าความลับนั้นก็คือเจ้ารู้แต่ผู้อื่นไม่รู้  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 453 แผนการของโหรวผิน  

 

 

โหรวผินเดินอย่างช้าๆ เข้ามาหา สุ้มเสียงเบาลงอย่างมาก  

 

 

“เรื่องนี้เป็นข้อห้ามใหญ่หลวงภายในเวียงวัง เจ้าต้องคิดให้ดีๆ เพราะว่าตอนนี้เจ้ากำลังจะขยับเคลื่อนแข้งขาของผู้ยิ่งใหญ่ มีโอกาสที่จะทำให้เขาตื่นขึ้นมาได้มาก ซึ่งจะทำให้ต้องเผชิญอันตรายถึงกับถูกฆ่าได้จริงๆ”  

 

 

โหรวผินไม่มีเจตนาที่จะข่มขู่ให้อวิ๋นเซียงฉือหวาดกลัว แต่เพื่อทำให้เซียงฉือตระหนักถึงอันตรายของเรื่องนี้  

 

 

เซียงฉือผงกศีรษะ ส่วนโหรวผินส่ายหน้า แต่นางยังคงพูดต่อไป  

 

 

“เรื่องนี้หากจะพูดขึ้นมาก็ดูจะยุ่งยากจริงๆ เจ้าควรรู้ว่าเวียงวังนี้ประกอบขึ้นมาด้วยฝ่าบาท สนมนางใน หมอหลวง ข้าราชสำนักสตรี นางกำนัล ขันทีและทหารราชองครักษ์”  

 

 

“และในคนกลุ่มนี้ยังแบ่งออกเป็นลำดับชั้นอีกมากมาย ดังนั้น บางทีพวกสนมนางในที่ไม่เป็นที่ทรงโปรดปรานก็จะมีชีวิตอยู่อย่างไม่แตกต่างจากนางกำนัลขั้นที่สามของสนมผู้เป็นที่ทรงโปรด เรื่องเช่นนี้มีอยู่เสมอๆ”  

 

 

“ใต้เท้าอวิ๋นเคยเป็นนางกำนัลมาก่อน เปรียบเทียบความแตกต่างกันเช่นนี้คงจะเข้าใจได้ดี สิ่งที่ข้าจะพูดก็คือว่า ในวังมีคนประเภทหนึ่งที่แม้จะเป็นเพียงบ่าวแต่ใช้ชีวิตความเป็นอยู่ยิ่งกว่าเจ้านาย พวกเขามีฐานะสูงส่งในหมู่คนชั้นล่างด้วยกัน ซึ่งแม้แต่สนมชายาทั้งหลายยังไม่อยากไปล่วงเกิน พวกนั้นเป็นกลุ่มอิทธิพล แตะเข้าเพียงจุดเดียวก็จะสะเทือนไปทั่ว”  

 

 

โหรวผินเล่าออกมามากมาย เซียงฉือค่อยๆ รวบรวมอยู่ภายในใจ นางเคยเป็นนางกำนัลมาก่อนจึงเข้าใจความหมายที่โหรวผินพูด แต่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเรื่ององค์หญิงหมิงอวี้ตกน้ำที่นางอยากรู้อย่างไร  

 

 

เซียงฉือครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้มากมาย ส่วนโหรวผินมองดูนางยิ้มๆ  

 

 

“ใต้เท้าฉู่มีชาติกำเนิดเป็นทหาร กระทำการอย่างตรงไปตรงมาจึงคิดอะไรที่ลึกซึ้งไม่เป็น การที่ฝ่าบาทส่งเจ้ากับสวี่อี้และยังมีเขาให้ช่วยกันจัดการเรื่องนี้ เป็นเพราะฝ่าบาททรงทราบแล้วว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ใต้เท้าฉู่จะสามารถตรวจสอบแต่เพียงทางตรงออกมาได้”  

 

 

“เจ้าจะต้องขุด เริ่มขุดจากจุดที่มืดมิดสกปรกโสมมที่สุดในวังนี้ ข้าแนะกับเจ้าได้ก็เพียงเท่านี้ นอกเหนือจากนี้แล้ว ข้าไม่รู้อะไรทั้งสิ้น”  

 

 

อวิ๋นเซียงฉือฟังคำพูดโหรวผินแล้วบังเกิดความหนาวเย็นขึ้นฉับพลัน สถานที่มืดมิดที่สุดในวังนี้ ควรจะเป็นสถานที่อย่างไรหนอ  

 

 

เซียงฉือทำความเคารพแล้วถอยออกจากห้องด้านใน สวี่อี้กับใต้เท้าฉู่รออยู่หน้าประตู เมื่อเห็นเซียงฉือออกมา ฉู่อวิ๋นเซียวคิดจะพูดอะไรแต่ถูกสวี่อี้ห้ามปรามไว้  

 

 

ทั้งสามคนออกจากกองโอสถไปยังกองคดี  

 

 

โหรวผินเกาะประตูมองดูคนทั้งสามค่อยๆ เดินห่างออกไป หลัวอวี้กงกงขันทีข้างกายโหรวผินก็เข้าไปหา  

 

 

“เหตุใดโหรวผินจึงตรัสเล่าเรื่องพวกนั้นกับอวิ๋นเซียงฉือพ่ะย่ะค่ะ ทรงเคยตรัสไว้แล้วว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้มิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

หลัวอวี้มีสีหน้าซีดซูบผอม แลดูอายุเพียงยี่สิบปีเศษเท่านั้น ดวงตาขนาดประมาณถั่วเหลืองของเขาคู่นั้นเปล่งลำแสงออกมาสายหนึ่ง  

 

 

ทำให้เขาแลดูประหลาด ใบหน้าเขาซูบผอมราวกับเพียงลมสายหนึ่งก็สามารถพัดให้เขาล้มลงได้ แต่ถ้าหากเห็นฝ่ามือคู่นั้นแล้วก็จะเห็นว่าเต็มไปด้วยความหยาบกระด้าง  

 

 

“หลัวอวี้ ข้าไม่ต้องการเป็นเพียงผิน ไม่อยากเป็นเพียงภรรยาน้อยคนหนึ่ง แต่ลำพังข้าคนเดียวไม่อาจขยับเขยื้อนคนพวกนั้นได้ จึงจำเป็นต้องพึ่งพากำลังคนอื่นเพื่อบั่นทอนกำลังของคู่ต่อสู้”  

 

 

หลัวอวี้ฟังคำพูดโหรวผินแล้วพยักหน้าเห็นตาม รอยยิ้มยิ่งโหดร้ายเมื่อพูดว่า  

 

 

“คนคนนั้นกำลังอยู่ในช่วงมีความสุขสมหวัง ครั้งนี้คงจะทำให้นางเดือดร้อนกันบ้างแล้ว โหรวผินทรงปราดเปรื่องยิ่ง นั่งบนภูชมเสือต่อสู้กัน ช่างเป็นอุบายที่ดี อุบายดียิ่งจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

หลัวอวี้สรรเสริญโหรวผิน โหรวผินก็หัวเราะเบาๆ  

 

 

เมื่อหันกลับไปมองหมิงอวี้ที่หน้าซีดเพราะความตกใจที่ด้านหลังแล้ว นางคิดถึงความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาที่เซียงฉือพูดถึงจึงยิ้มเยาะออกมา  

 

 

“อวิ๋นเซียงฉือเอ๋ยอวิ๋นเซียงฉือ ข้าควรขอบใจเจ้าจริงๆ เจ้าไม่เพียงปกป้องความไร้เดียงสาขององค์หญิงหมิงอวี้เท่านั้น แต่ยังมีความไร้เดียงสาของข้าที่อยู่ในใจของฝ่าบาทอีกด้วย”  

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset