บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 474 ขวดสุราแก้วเคลือบสี / ตอนที่ 475 เล่าเรื่องสู่อดีต

ตอนที่ 474 ขวดสุราแก้วเคลือบสี  

 

 

เซียงฉือมองเครื่องตกแต่งรอบๆ แล้วเลือกสิ่งหนึ่งที่ดูสะดุดตาที่สุดในที่นั้น นางมองอยู่นาน วั่นกวงคนนั้นเอาแต่อ้อมค้อมกับพวกนาง ทำทีดูน่าสงสาร เซียงฉือรู้อยู่แต่แรกแล้วว่าวั่นกวงไม่ใช่จางกงกง ไม่อาจรับมือได้ง่ายดายอย่างแน่นอน  

 

 

ถ้าหากเขาเป็นมือมืดที่อยู่หลังฉากจริงแล้ว เรื่องนี้ก็จะกลายเป็นคดีใหญ่ยิ่ง เพราะจะต้องมีคนถูกขุดคุ้ยขึ้นมาจำนวนไม่น้อย  

 

 

เซียงฉือเดินไปด้านข้างมองดูขวดสุราเจ็ดอัญมณีแก้วเคลือบสีบนโต๊ะไม้จันทน์ มองดูลวดลายประณีตบนนั้นแล้วหันกลับไปถามว่า  

 

 

“วั่นกงกง ขวดสุรานี้งดงามยิ่ง ไม่ทราบว่าเป็นของที่อดีตไทเฮาทรงเหลือไว้ใช่หรือไม่ ฝ่าบาทรับสั่งกับข้าบ่อยๆ ว่าเมื่อก่อนทรงเล่นอยู่ในตำหนักไทเฮาแล้วทรงทำขวดสุราหยกมรกตใบหนึ่งแตก จึงทรงถูกไทเฮาลงโทษอยู่นาน”  

 

 

เซียงฉือได้ยินคำอธิบายของวั่นกงกงแต่ไม่พูดโต้แย้งด้วย ปล่อยให้สวี่อี้ถกเถียงกับเขาอยู่หลายรอบแล้ว ตนเองจึงได้เอ่ยปากอย่างนุ่มนวล ด้วยท่าทีเหมือนกำลังมาเที่ยวชมสมบัติของไทเฮาที่เก็บรักษาเอาไว้ในสถานที่นี้  

 

 

ส่วนวั่นกงกงในตอนแรกมัวตอบคำถามสวี่อี้อย่างเคร่งเครียดประสาทเขม็งตึง แต่สุดท้ายเมื่อเห็นสวี่อี้ค่อยๆ สูญเสียความมั่นใจ เขาจึงรู้ว่าตนเองกำชัยชนะแล้ว เขาคุมไปทั่วฝ่ายในมาชั่วชีวิต จะคลอนแคลนง่ายดายไปกับคำพูดของหญิงสาวเมื่อวานซืนสองคนได้อย่างไร  

 

 

ขณะที่กำลังได้ใจก็พบว่าเซียงฉือสนใจขวดสุราแก้วเคลือบสีนั้นอย่างยิ่ง ดูจากแววตากับคำพูดของนางแล้วทำให้ประสาทของวั่นกงกงค่อยผ่อนคลายลง แล้วหวนระลึกถึงวันเวลาอันอบอุ่นในตอนนั้น  

 

 

จึงยิ้มอย่างอ่อนโยนยิ่งพูดขึ้นว่า  

 

 

“ใต้เท้าอวิ๋นไม่เสียทีที่เป็นคนข้างพระวรกายฝ่าบาท ฝ่าบาทรับสั่งความในใจกับใต้เท้าอวิ๋นเช่นนี้ แสดงว่าทรงให้ความสำคัญกับใต้เท้ามาก”  

 

 

สวี่อี้เห็นเซียงฉือกับวั่นกวงคุยกันแบบนั้นก็รู้สึกร้อนรนใจที่อยู่ๆ หัวข้อสนทนาเปลี่ยนไป ทำให้นางต้องกระอักกระอ่วนอยู่คนเดียว นางรู้สึกว่าคนเจ้าทิฐิอย่างวั่นกวงนี้รับมือยากยิ่ง  

 

 

สวี่อี้เริ่มคิดจะถอย นางคิดจะรีบไปขอราชโองการจากฮ่องเต้เพื่อจะนำตัวเขากลับไปสอบสวนอย่างเข้มงวดที่กองคดี ซึ่งไม่ว่าใครจะแข็งแกร่งปานใดก็ไม่อาจไม่เปิดปาก  

 

 

ถึงแม้สวี่อี้จะมีความคิดเช่นนั้น แต่เมื่อเห็นเซียงฉือกับวั่นกวงคุยกันถึงเรื่องราวในอดีตของฮ่องเต้อย่างสบายใจยิ่งจึงไม่ได้เคลื่อนเท้า  

 

 

“วั่นกงกงกล่าวเช่นนี้เป็นการยกย่องข้า ข้าเป็นเพียงข้าราชสำนักสตรีขั้นที่เก้าที่มีวันเวลาอยู่กับฝ่าบาทนานกว่าเท่านั้น ดังนั้นเมื่อฝ่าบาทตรัสสิ่งใด ข้าจึงพอจดจำไว้ได้บ้าง”  

 

 

เซียงฉือรู้สึกเกรงใจ วั่นกงกงโบกไม้โบกมือ พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม  

 

 

“ไม่ใช่ ไม่ใช่หรอก ฝ่าบาทของพวกเราไม่ทรงสนิทสนมกับใครเช่นนี้ จะต้องทรงโปรดปรานใต้เท้าอวิ๋นอย่างยิ่งเป็นแน่จึงได้ตรัสเรื่องพวกนี้กับท่าน”  

 

 

เซียงฉือเฉยๆ นิ้วมือวั่นกงกงลูบสัมผัสขวดสุราแก้วเคลือบสีแล้วเล่าต่อยิ้มๆ  

 

 

“ตอนนั้นขวดสุราหยกมรกตที่ฝ่าบาททรงทำแตกใบนั้นเป็นของทรงรักที่สุดของไทเฮา และยังเป็นสมบัติที่อดีตฮ่องเต้พระราชทานให้อีกด้วย จึงเป็นของล้ำค่าอย่างยิ่งเสมอมา มีเพียงฝ่าบาทเสด็จมาเล่นในตำหนักและทรงชนกับมุมโต๊ะเข้า จึงทำให้ขวดสุราหยกมรกตใบนั้นตกแตก”  

 

 

“ไทเฮาทรงกริ้วและร้อนรน แต่ขวดสุราหยกมรกตใบนั้นก็กลับมาเหมือนเดิมไม่ได้ ฝ่าบาททรงกตัญญูจึงเสด็จไปทูลขอขวดสุราแก้วเคลือบสีใบนี้จากอดีตฮ่องเต้มาถวายคืนแด่ไทเฮา”  

 

 

“ขวดสุราใบนี้เก็บรักษามาจนบัดนี้ ถึงจะไม่ใช่ของล้ำค่าพิเศษอะไร แต่สำหรับไทเฮาแล้ว คือน้ำพระทัยของพระโอรส ซึ่งสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ทั้งปวง”  

 

 

วั่นกงกงมีทีท่าเหม่อมองเหมือนกำลังรำลึกย้อนอดีต เซียงฉือยิ้ม  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 475 เล่าเรื่องสู่อดีต  

 

 

สายตาเซียงฉือแฝงการค้นหา นางถามขึ้นอย่างล้อเล่นว่า  

 

 

“ความจำกงกงช่างดียิ่ง เรื่องผ่านมานานขนาดนี้ยังจำได้ชัดเจนเช่นนี้ คิดว่ากงกงคงมิได้ความจำไม่ดี แต่เพราะเจตนาจะลืมเรื่องบางเรื่องมากกว่ากระมัง”  

 

 

คำพูดของเซียงฉือกระทบเข้าไปในโสตประสาทของวั่นกงกง รอยยิ้มน้อยๆ ที่คาอยู่จึงหายวับไปทันใด สีหน้าที่มองดูเซียงฉือน่ากลัวขึ้น เซียงฉือราวกับรับรู้ได้ถึงความชั่วร้ายของวั่นกงกงที่มองนาง  

 

 

แต่เมื่อผ่านไปแล้วจึงได้พูดขึ้น  

 

 

“ที่ควรจดจำก็จำ ที่ไม่ควรจดจำก็ลืมเสีย ใต้เท้าอวิ๋นเข้ามาอยู่ในวังไม่นาน คำพูดนี้ควรนำกลับไปขบคิดให้ดี”  

 

 

วั่นกงกงพูดจบก็หมุนตัวกลับ พ่นลมเย็นออกจมูกแล้วก็นั่งลงบนเก้าอี้เลิกสนใจเซียงฉือ  

 

 

เซียงฉือเข้าใจความหมายของการตีเหล็กขณะยังร้อนอยู่ จึงรีบไล่ถามต่อไป  

 

 

“ข้าไม่สนใจเรื่องอื่นใดนอกจากเรื่องที่ฝ่าบาทมีรับสั่ง ข้าจะต้องตรวจสอบอย่างสุดความสามารถ ไม่ว่าท้ายที่สุดแล้วฝ่าบาทจะทรงวินิจฉัยเช่นไรข้าล้วนยอมรับ เพราะการทำให้ฝ่าบาททรงเห็นความเป็นจริงนั้นเป็นสิ่งที่ข้าสมควรกระทำ”  

 

 

“เมื่อเป็นเช่นนี้ไม่ทราบว่าจะขอให้กงกงเล่าให้ละเอียดได้หรือไม่ เรื่องของสวีหมิ่นไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก ขอให้กระจ่างชัดเหมือนกับความทรงจำที่เล่าออกมาเมื่อครู่”  

 

 

ครั้งนี้เซียงฉือเป็นฝ่ายตีโต้กลับได้ วั่นกงกงจอมเผด็จการในหน้าที่เสมอมาจึงหรี่ตามองนางด้วยความเย็นชา  

 

 

เขามองดูสายตาจริงจังของเซียงฉือแล้วมองดูสวี่อี้ที่สีหน้าเกลื่อนความสาสมใจ ถึงจะไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้แสดงออกมา เพียงยิ้มเยาะพูดออกมาว่า  

 

 

“เมื่อครู่ใต้เท้าสวี่ถามไปแล้ว เรื่องที่ข้ารู้ก็บอกออกไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่าใต้เท้าอวิ๋นยังต้องการสอบถามเรื่องอะไรอีก”  

 

 

ถึงจะบอกว่าเซียงฉือทำท่าไม่ใส่ใจมาแต่ต้น แต่คำสนทนาของทั้งสองเมื่อครู่นางล้วนจดจำไว้หมดแล้ว จึงเอ่ยปากถามว่า  

 

 

“ไม่ทราบว่าในความทรงจำของท่าน สวีหมิ่นเป็นคนอย่างไร เหตุใดท่านสามารถฝากฝังให้จางกงกงคอยดูแลเขาได้”  

 

 

ทุกคำถามของเซียงฉือล้วนคมกริบ หากไม่ได้รับคำอธิบายที่ดี เรื่องนั้นย่อมจะไม่ยอมปล่อยให้ผ่านไปได้โดยง่าย  

 

 

เซียงฉือถาม วั่นกวงนั่งลงในที่เดิม หลับพักสายตาครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยปาก  

 

 

“ในเมื่อเจ้าอยากรู้ ข้าจะบอกให้ก็ได้”  

 

 

เมื่อดื่มน้ำชาและกระแอมไอแล้ว เขาพูดต่อว่า  

 

 

“เจ้าสวีหมิ่นนั่นเข้าวังมาสิบปีแล้ว ตอนเข้ามานั้น เพราะเขาเคยเรียนหนังสือ อ่านออกเขียนได้ ส่วนข้างกายข้าก็ขาดขันทีผู้น้อยเช่นนี้อยู่จึงได้รับเขาเข้ามา ทุกวันให้อ่านหนังสือให้ข้าฟัง เป็นคนฉลาดน่ารักมาก”  

 

 

“ข้าเองก็ดีกับเขาไม่น้อย ตอนนั้นสำนักอักษรซื่อคู่ในวังขาดคนดูแลจัดการ ข้าเป็นคนเสนอเขาเข้าไป แต่สำนักอักษรซื่อคู่นับวันยิ่งเสื่อมถอย ฮ่องเต้ไม่เสด็จ พระสนมนางในก็ไม่เสด็จ ตำแหน่งการงานที่ดีอยู่แท้ๆ จึงนับวันไม่น่าอยู่ลงไปอย่างช้าๆ”  

 

 

วั่นกวงทอดถอนใจ เกิดความรู้สึกจริงใจจากภายใน พูดขึ้นอย่างหดหู่อย่างยิ่ง  

 

 

“ขันทีในวังนี้ไม่ต่างจากเจ้านายน้อยทั้งหลาย หากไม่มีนายที่แข็งแกร่งคอยหนุนหลังให้ละก็ หากคิดทำสิ่งใดย่อมยากจะกระทำได้ และเพราะเหตุนี้ ข้าจึงยอมแบกหน้าไปขอกับเสี่ยวจาง ให้เขาคอยช่วยเหลือเขาบ้างในชีวิตประจำวัน”  

 

 

“แต่ก็เพียงด้วยไมตรีจิตระหว่างอาจารย์กับศิษย์ ที่หวังให้เขาได้เป็นอยู่อย่างไม่ลำบากมากก็พอแล้ว”  

 

 

“เรื่องก็มีอยู่เท่านี้ ก่อนที่พวกท่านจะมาข้าก็ได้ยินเรื่องอะไรมาบ้างแล้ว คิดไม่ถึงว่าเขาจะกล้าลอบปลงพระชนม์องค์หญิง ตอนเข้าวังมาขี้ขลาดจนน่าสมเพช ตลอดมาข้าคอยดูแลเขา แต่ไม่คิดว่าได้เลี้ยงเสือร้ายไว้เป็นภัยเช่นนี้”  

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset