บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 494 หมิงอวี้จากไป / ตอนที่ 495 เริ่มคัดเลือกสาวงาม

ตอนที่ 494 หมิงอวี้จากไป

 

 

หมิงอวี้ร้อนรนที่จะจากไปอย่างยิ่ง นางกลัวว่าจะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงวันที่จะได้ออกจากวังจึงคอยเร่งอยู่ทุกวัน กระทั่งฮ่องเต้มีราชโองการอนุญาตให้นางออกไปพักฟื้นยังพระตำหนักข้างนอก แต่เพราะร่างกายนางไม่พร้อมจึงส่งคนไปแจ้งจวงไท่เฟย ให้นางส่งคนสนิทไปดูแลหมิงอวี้

 

 

เซียงฉืออยากติดตามไปดูแลหมิงอวี้แต่ถูกปฏิเสธ

 

 

ขณะใกล้ถึงเวลาขึ้นรถ เซียงฉือมองหมิงอวี้อย่างเศร้าใจ แต่หมิงอวี้ยิ้มให้นางอย่างโล่งใจ

 

 

นางรับปากหรงจิงไปแล้วว่าจะไม่เปิดปากอีก

 

 

แต่นางเห็นสายตาเซียงฉือแล้วทำให้อดไม่ได้ จึงดึงมือนางมาเขียนตัวหนังสือลงไป

 

 

‘มีคนคิดไม่ดีกับเจ้า เจ้าต้องระวังโหรวผิน’

 

 

เซียงฉือผงกศีรษะ นางกอดหมิงอวี้ร้องไห้โฮ หมิงอวี้เป็นเพื่อนของนาง เป็นน้องสาวนาง นางไม่ได้ดูแลหมิงอวี้ให้ดี จึงทำให้หมิงอวี้ต้องถูกทำร้ายเช่นนี้

 

 

หมิงอวี้ก็ไว้ใจเซียงฉือที่สุดเช่นกัน แม้แต่คำพูดที่นางไม่บอกหรงจิงแต่กลับบอกกับเซียงฉือ

 

 

เพราะว่าเรื่องทั้งหมดที่นางได้ยินมาล้วนพุ่งไปที่เซียงฉือ ถึงนางจะไม่เข้าใจว่าเซียงฉือที่เป็นเพียงข้าราชสำนักสตรีเล็กๆ คนหนึ่ง เหตุใดจึงมีคนต้องการคิดร้ายนาง อย่างไรก็ตามนางยังคงหวังให้เซียงฉืออยู่รอดต่อไป

 

 

พอเซียงฉือรู้ว่ามีคนจะจัดการนางจึงเกิดความตระหนก แต่เวลานี้นางอัดอั้นและตำหนิตัวเองมากกว่า

 

 

ดังนั้นจึงไม่ได้พูดอะไรตอบคำเตือนทิ้งท้ายของหมิงอวี้ เพียงเก็บความหวาดกลัวลงในส่วนลึกของใจไม่ให้ใครเห็นเท่านั้น

 

 

นางรู้ว่าการที่หมิงอวี้เพิ่งพูดคำพูดนี้ออกมาในตอนท้ายเช่นนี้จะต้องไม่ใช่เรื่องโคมลอยไร้หลักฐาน และเป็นไปได้ว่าหมิงอวี้ต้องตกน้ำก็เพราะสาเหตุนี้

 

 

นางย่อมไม่กล้าเปิดเผยออกมา ซึ่งจะทำให้พวกไม่หวังดีคิดร้ายต่อหมิงอวี้

 

 

หมิงอวี้ขึ้นรถ หรงจิงยืนโบกมือให้นางอยู่บนกำแพงเมือง หมิงอวี้หมุนตัวเข้าไปในรถม้า ชายเสื้อสีชมพูอ่อนหายไปเสียงกระดิ่งรถม้าดังขึ้นติงตัง

 

 

ความเร็วค่อยๆ เร่งขึ้น หันหลังให้กับพระราชวัง มุ่งหน้าออกไปไม่เห็นฝุ่น

 

 

ด้านหลังมีผู้รับใช้ติดตามมากมาย ทหารองครักษ์ก็มากเช่นกัน แต่ในสายตาเซียงฉือ หมิงอวี้เหมือนตัวคนเดียว หันหลังให้กับป้อมปราการนี้ พกพาความเสียใจและผิดหวังเต็มกายออกไปจากที่นี่

 

 

นางยังจำที่หมิงอวี้บอกกับนางได้ว่าที่นี่เป็นบ้านของนาง นางชอบความมีสีสันและงดงามของที่นี่  สตรีงดงามราวภาพวาด ชอบพี่ชายที่เอาใจใส่นางอย่างยิ่ง ชอบที่มีเซียงฉือเป็นเพื่อนคุยกับนาง

 

 

ตลอดมาโลกของนางเรียบง่าย แต่ที่นางชื่นชอบ สถานที่ที่งดงาม กลับกลายเป็นสถานที่ที่ต้องหลีกหนีออกไปอย่างรีบร้อนในใจนาง

 

 

สถานที่นั้นไม่ใช่บ้านของนางอีกต่อไป เป็นเพียงสวนดอกไม้ที่มืดมน

 

 

เซียงฉือคิดหาคำพูดที่จะรั้งนางไม่ได้ แต่ก็ไม่เข้าใจตนเองว่าทำไมจึงได้ตัดใจอำลานางยากนัก

 

 

ได้แต่มองส่งนางจากไป เมื่อหันกายกลับก็เห็นหรงจิงยืนอยู่บนกำแพงเมือง กับโหรวผินที่ยืนอยู่ข้างกายเขา

 

 

สายตาเซียงฉือค่อยๆ หดลง นางหมุนตัวกลับเข้าวัง

 

 

ข้างนอกวังสำหรับนางแล้วคือความดึงดูดใจตลอดกาล แต่เซียงฉือรู้มากขึ้นว่าตนเองจะต้องใช้ชีวิตอย่างไร

 

 

‘ระวังโหรวผิน มีคนจะทำร้ายเจ้า’

 

 

คำสองประโยคนี้เหมือนถูกสลักลงไปในกระดูก ทำให้นางเหน็บหนาวเสียดกระดูก

 

 

นางอยู่ในศูนย์กลางวังวนแห่งศักดาอำนาจ สิทธิประโยชน์ของแคว้นเซียวจิ่งถึงจะเป็นเพียงตัวประกอบเล็กๆ ไม่เป็นที่รู้จัก ก็ยังจำเพาะต้องเป็นเช่นนี้ที่มีคนคิดปองร้ายนาง

 

 

นางคิดไม่ออกว่าตนเองมีอะไรแปลกพิเศษ แต่นางไม่ต้องการที่จะถูกใครรังแกตามอำเภอใจเช่นนี้ ดังนั้นนางจะต่อต้าน จะไม่ยอมแพ้เพียงเท่านี้

 

 

เซียงฉือหันกลับไปเห็นประตูวังสีแดงค่อยๆ ปิดลง อีกทั้งด้านหลังของรถม้าที่ห่างไกลและเล็กลงทุกทีตรงซอกประตู รอยยิ้มของนางผุดคำอวยพรอีกทั้งยังมีความอิจฉาชื่นชม

 

 

 

 

ตอนที่ 495 เริ่มคัดเลือกสาวงาม

 

 

เซียงฉือส่งองค์หญิงหมิงอวี้ไปแล้ว ถึงนางจะใส่ใจกับเรื่องนี้มาก แต่ช่วงเวลาหลังจากนั้นนางกลับยุ่งจนไม่อาจปลีกตัวได้

 

 

เป็นเวลาติดต่อกันหลายวันที่นางถูกซูเฟยหรือกุ้ยเฟยเรียกตัวไปช่วยงานที่ข้างกายพวกนาง พวกนางเปลี่ยนแปลงวิธีที่ทำให้เซียงฉือต้องยุ่งจนเท้าแทบไม่สัมผัสพื้น

 

 

ในวังมีการคัดเลือกสาวงามสามปีครั้ง ฝ่ายในของหรงจิงเงียบเหงาตลอดมา ถึงตอนนี้แล้วก็ยังไม่มีฮองเฮา มีเพียงกุ้ยเฟย ซูเฟย จิ้งเฟยยังไม่ครบสี่พระสนม ตำแหน่งผินมีเพียงโหรวผินคนเดียว  ส่วนกุ้ยเหริน ฉังไจ้ ตาอิ้งนั้นแทบจะนับตัวได้ ช่างมีจำนวนน้อยจนน่าสงสาร เป็นถึงประมุขของแผ่นดิน กลับไม่อาจเทียบกับเศรษฐีคนหนึ่งได้

 

 

แต่ไรมาหรงจิงเข้าสู่ฝ่ายในน้อยมากซึ่งเป็นเรื่องน่าเห็นใจ ที่ผ่านมาจะเพียงคัดเลือกคนที่มีพร้อมทั้งรูปโฉมและจริยาไม่กี่คนจากครอบครัวขุนนางหรือวงศาคณาญาติที่มีความดีความชอบให้เข้าวัง แล้วแต่งตั้งเป็นฉังไจ้หรือตาอิ้งตามขีดขั้นของบิดาเพียงเท่านั้น

 

 

ครั้งนี้ขุนนางใหญ่ในราชสำนักพากันยื่นหนังสือกราบทูลไม่ขาด เนื่องเพราะทายาทของหรงจิงมีน้อยมาก ดังนั้นขุนนางใหญ่ทั้งหลายจึงมีมติร่วมกันให้หรงจิงคัดเลือกสนมนางใน หรงจิงเห็นเหล่าพวกขุนนางใหญ่หนวดขาวสะเปะสะปะกันวุ่นวาย ทั้งยังอ้างคำพูดคุณธรรมอะไรกับเขาประเภท

 

 

‘ความอกตัญญูมีสามประการ การไร้ทายาทหนักหนาที่สุด’

 

 

หรงจิงรำคาญ ดังนั้นจึงมีคำสั่งให้คัดเลือกสาวงามในปีนี้ นี่จะเป็นการคัดเลือกสนมนางในครั้งใหญ่ครั้งแรกตั้งแต่หรงจิงขึ้นครองบัลลังก์ จึงต้องจัดให้ยิ่งใหญ่ ไม่กล้าขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย

 

 

ยุ่งวุ่นวายกันมาตลอดจนกระทั่งถึงวันที่สิบเดือนสิบในที่สุด ซึ่งถือเป็นวันดีสุดยอดที่ขุนนางผู้หยั่งรู้ฟ้าดินเป็นผู้ตรวจออกมา

 

 

เซียงฉือถูกซูเฟยนำตัวมาจากข้างกายฮ่องเต้หลายวัน ช่วงเช้าที่ฮ่องเต้ออกว่าราชการนางก็จะติดตามซูเฟยตรวจสอบความเรียบร้อยทั่วไป วันนี้นางรับหน้าที่เป็นข้าราชสำนักสตรีที่คอยบอกทาง ยืนอยู่หน้าประตูตำหนักเชียนสี่ รับผิดชอบตรวจสอบการแต่งกายของสาวงามทั้งหลายว่าถูกต้องหรือไม่ และช่วยชี้ทางเข้าสู่ตำหนักแก่พวกนาง

 

 

แต่เช้าตรู่ฟ้ายังสลัว แต่ทั่วทั้งวังคึกคักอย่างยิ่ง ทุกคนต่างมีงานที่ต้องทำ จึงตื่นตัวกันเต็มที่ในทันทีแล้วรับผิดชอบตามหน้าที่

 

 

เซียงฉือแต่งกายเรียบร้อยแล้วก็ไปปรากฏตัวพร้อมซู่เวิ่นอยู่ตรงประตูหน้าตำหนักเชียนสี่ทั้งสองคน

 

 

งานวันนี้เอิกเกริกอย่างยิ่ง ข้าราชสำนักสตรีที่อยู่ในหน้าที่เกือบทั้งหมดถูกเรียกให้ไปช่วยงาน ซู่เวิ่นกับนางต่างเป็นพวกจัดการงานได้ดีจึงให้มาอยู่ที่ตรงนี้ ซึ่งอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้กับซูเฟยและกุ้ยเฟย ทำให้ได้ผ่านตาบรรดาหญิงสาวเหล่านี้ด้วย

 

 

เซียงฉือเดินไปข้างกายซู่เวิ่น ทำความเคารพแล้วพูดยิ้มๆ

 

 

“ข้าคิดว่าต้องทำงานคนเดียวเสียอีก ยังกลัวจะเหงาอยู่เลย ตอนนี้มีพี่ซู่เวิ่นเป็นเพื่อน ไม่โดดเดี่ยวอีกแล้ว”

 

 

ซู่เวิ่นยิ้มน้อยๆ พูดว่า

 

 

“งานใหญ่ในวังมีเพียงไม่กี่งาน การคัดเลือกสาวงามนี้ก็นับเป็นงานมงคลงานหนึ่ง ซูเฟยเพิ่งจะทรงได้รับอำนาจดูแลฝ่ายในเป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงทรงใส่ใจในทุกจุด”

 

 

เซียงฉือฟังจบก็ผงกศีรษะ ทั้งคู่เปิดสมุดรายชื่อในมือ มองดูรายชื่อแน่นขนัดในนั้นแล้วเกิดความสงสาร

 

 

“ซูเฟยทรงรอบคอบเสมอมา”

 

 

ซู่เวิ่นยิ้มแล้วถอยไปข้างหนึ่ง ยืนอยู่คนละข้างกับเซียงฉือ จัดแจงรูปลักษณ์ หน้าตานอบน้อมกวดขัน เมื่อได้ยินเสียงระฆังยามเช้าตีดัง ก็รู้ว่าประตูทั้งสี่เปิดออกแล้ว คอยต้อนรับคนใหม่ที่กำลังมาถึง

 

 

ฮ่องเต้อีกทั้งซูเฟย กุ้ยเฟย จิ้งเฟยทั้งสี่คนนั่งอยู่บนเกี้ยวทยอยออกมาจากอุทยานหลวง เกรียงไกรเป็นที่สะดุดตา

 

 

เซียงฉือลอบทอดถอนใจแล้วทำความเคารพอย่างนอบน้อมพร้อมซู่เวิ่น

 

 

“ถวายบังคมฝ่าบาท พระสนมทุกพระองค์เพคะ”

 

 

หรงจิงได้ยินเสียงเซียงฉือ จึงหยุดเท้า

 

 

เปรยขึ้นว่า

 

 

“ซูเฟยยืมตัวข้าราชสำนักสตรีคนสนิทของข้ามาเสียหลายวัน จนข้าแทบจะลืมไปแล้วว่านางหน้าตาเป็นอย่างไร”

 

 

ซูเฟยได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแล้วรีบเดินเข้าไป

 

 

“โธ่ ฝ่าบาทเพคะ หลายวันนี้งานยุ่งมากจริงๆ จนหม่อมฉันแทบแย่แล้วเพคะ โชคดีที่ฝ่าบาททรงฝึกสอนน้องเซียงฉือนางมีความสามารถเก่งที่สุด วันนี้หม่อมฉันจึงจัดให้น้องเซียงฉือรับใช้ฝ่าบาทอย่างใกล้ชิด ไม่ทราบฝ่าบาททรงพอพระทัยหรือไม่เพคะ”

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset