บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 526 สวี่อี้เผยใจ / ตอนที่ 527 ปลอบใจ

ตอนที่ 526 สวี่อี้เผยใจ

 

 

หรงเฉิงเยี่ยถอนหายใจยาว ฝนด้านนอกซาลงมากแล้ว บนฝั่งมีคนร้องเรียกเขาอยู่ ซึ่งน่าจะเป็นเช่นนั้น เมื่อครู่ลมฝนกระหน่ำอย่างหนักแล้วเจ้านายตนเองหายไป สมควรมีคนต้องกังวลใจ

 

 

เขาจึงยิ้มแล้วพูดว่า

 

 

“ข้างนอกยังมีลมฝน ใต้เท้าสวี่รออีกสักครู่แล้วจึงค่อยออกไป แต่ข้าต้องไปก่อนแล้ว ลาก่อน”

 

 

สวี่อี้ซ่อนตัวอยู่ในชุดกันฝน นางรออยู่นานกว่าจะได้ยินคำพูดหรงเฉิงเยี่ย แต่แล้วก็เป็นคำบอกลานาง สวี่อี้เลิกหมวกงอบออกทันทีรีบพูดว่า

 

 

“ท่านอ๋องทรงรั้งพระบาทก่อนเพคะ”

 

 

นางถอดหมวกและเสื้อกันฝนจากนั้นคลุมลงบนร่างหรงเฉิงเยี่ย หรงเฉิงเยี่ยคิดจะปฏิเสธ เขามองดูนางแล้วพูดว่า

 

 

“เจ้าเก็บไว้เถอะ อากาศข้างนอกไม่ดีนัก เจ้า…”

 

 

สวี่อี้ยังคงดึงดันคลุมเสื้อกันฝนบนตัวหรงเฉิงเยี่ยแล้วพูดว่า

 

 

“ท่านอ๋องทรงสวมไว้ ใจของหม่อมฉันก็อบอุ่นแล้วเพคะ”

 

 

หรงเฉิงเยี่ยถอนใจ ขณะกำลังจะผละไปก็ถูกสวี่อี้จับแขนไว้ นางหลั่งน้ำตาฝืนพูดสะอึกสะอื้น

 

 

“ท่านอ๋องตรัสว่าทรงชอบความมุทะลุของหม่อมฉัน หม่อนฉันจึงขอมุทะลุอีกสักครั้ง หวังว่าท่านอ๋อนจะทรงฟังคำพูดหม่อมฉันก่อนแล้วจึงจะเสด็จออกไปนะเพคะ”

 

 

หรงเฉิงเยี่ยรู้สึกถึงนิ้วมือที่สั่นน้อยๆ ของสวี่อี้ จึงทนเห็นนางเช่นนั้นไม่ไหว เขาตบหลังมือนางพูดขึ้นว่า

 

 

“เจ้าพูดมา ข้าจะฟัง”

 

 

สวี่อี้กัดริมฝีปากแล้วพูดขึ้นอย่างตัดสินใจแล้ว

 

 

“หม่อมฉันจากบ้านเกิดที่เจียงโจวมาอวิ๋นหยางเมื่ออายุสิบสองปี ระหว่างทางพบโจรจนเกือบต้องสิ้นชีวิต ท่านอ๋องมีคุณธรรมสูงส่งได้ช่วยชีวิตหม่อมฉันไว้ หม่อมฉันยังไม่มีโอกาสได้กล่าวสำนึกพระกรุณาเลย”

 

 

“ตอนหม่อมฉันอายุสิบหกปี ท่านอ๋องตามเสด็จฝ่าบาทกลับจากการได้ชัยชนะใหญ่ต่อเสวี่ยหรงกั๋ว หม่อมฉันมองเห็นพระองค์จากบนกำแพงเมือง หม่อมฉันแอบมีใจผูกพันต่อพระองค์ ชีวิตนี้จึงไม่ยินยอมแต่งงานไปง่ายๆ กับผู้ใด และได้ขอเข้าวังมาโดยสมัครใจ เพื่อหวังจะได้พบเห็นท่านอ๋องได้ตลอดเวลา แล้วชีวิตนี้ก็จะไม่มีอะไรต้องสำนึกเสียใจ พอใจในความปรารถนานี้”

 

 

สวี่อี้เน้นคำแอบมีใจผูกพันอย่างชัดเจนและพูดออกมาอย่างเปิดเผย เมื่อนางพูดออกมาแล้วรู้สึกผ่อนคลายลงมาก วันนี้ที่นางพูดออกมาเช่นนี้ออกมา ล้วนเป็นเพราะเมื่อครู่ที่นางกอดหรงเฉิงเยี่ยแล้วเขาแข็งขืน

 

 

ทำให้สวี่อี้รู้สึกได้ว่าหรงเฉิงเยี่ยไม่เคยคุ้นชินกับนางมาก่อนเลย ดังนั้นนอกจากความละอายใจแบบหญิงสาวแล้ว นางยังรู้ว่าชีวิตนี้คงไม่มีวาสนากับเขา จึงมองหรงเฉิงเยี่ยแล้วพูดว่า

 

 

“ถ้าหากท่านอ๋องจะทรงมีใจให้หม่อมฉันบ้างก็ขอทรงโปรดรับหม่อมฉันไว้ แต่หากเพราะทรงสงสารก็ไม่ต้องทรงทำเช่นนั้น ชีวิตนี้ของหม่อมฉันเพียงต้องการทำให้ได้อย่างท่านอ๋องที่ทรงมีพระทัยกว้างขวาง ไม่ละอายต่อฟ้าดินและพระองค์ก็เพียงพอแล้วเพคะ”

 

 

สวี่อี้มองหรงเฉิงเยี่ยด้วยดวงตาแวววาวแฝงความคาดหวัง แต่ความคาดหวังนั้นถูกความเย็นชาและคิ้วที่ขมวดมุ่นของหรงเฉิงเยี่ย ทำให้ค่อยๆ ห่อเ**่ยวสิ้นหวังลงอย่างช้าๆ

 

 

นางรวบรวมความกล้าเปิดเผยความในใจแต่ถูกปฏิเสธ ใจของนางเจ็บปวดอย่างยิ่ง แต่นางไม่รู้สึกสำนึกเสียใจ นางปาดน้ำตาที่นองใบหน้าแล้วพูดว่า

 

 

“หม่อมฉันบุ่มบ่ามจริงๆ ขอทูลลาไปก่อนเพคะ ขอท่านอ๋องทรงพระเกษมสำราญ”

 

 

สวี่อี้พูดจบก็พุ่งออกไปจากเรือน้อยโดยไม่เหลียวหลัง ทำให้เรือน้อยโคลงเคลงไม่หยุดอยู่ในทะเลสาบเพราะแรงวิ่งหนี

 

 

เฉกเช่นเดียวกับจิตใจหรงเฉิงเยี่ยในขณะนี้

 

 

หรงเฉิงเยี่ยไม่ใช่ก้อนหิน เมื่อได้ฟังคำพูดสวี่อี้แล้วมีหรือจิตใจจะไม่หวั่นไหว ในตอนนั้นเขารู้สึกแต่ว่าสวี่อี้สู้เซียงฉือไม่ได้ แต่ตอนนี้เมื่อพิจารณาดูแล้ว เซียงฉือไม่มีใจให้จึงได้กล้าเปิดเผย ส่วนสวี่อี้มีใจฝักใฝ่ ดังนั้นจึงระมัดระวังตัว

 

 

สภาพจิตใจที่ไม่เหมือนกันจึงทำให้เกิดความแตกต่าง เป็นความผิดของเขาเอง

 

 

หรงเฉิงเยี่ยรออยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงออกไป วันนี้เขาตั้งใจจะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ แต่ตอนนี้ไม่มีกะจิตกะใจเช่นนั้นแล้ว จึงได้ออกจากเรือน้อยกลับตำหนักไป

 

 

บนตัวสวี่อี้ไม่มีเครื่องป้องกันฝนเลยสักชิ้นเดียว นางวิ่งเร็วสลับเดินไปจนถึงหนิงอวี้เก๋อในตำหนักเจิ้งหยาง มองเห็นอวิ๋นเซียงฉือนั่งเขี่ยกองไฟอยู่ข้างหน้าต่างอย่างเหม่อลอย

 

 

สวี่อี้พกพาไอเย็นทั้งร่างวิ่งเข้าไปกอดเซียงฉือร้องไห้โฮ

 

 

 

 

ตอนที่ 527 ปลอบใจ

 

 

นางยอมทิ้งชีวิตสงบสุขเพื่อเข้ามาเป็นข้าราชสำนักสตรีในวังก็เพื่อว่าอาจมีสักวันที่จะต้องตาหรงเฉิงเยี่ยเข้าบ้างสามารถได้รับการพระราชทานสมรสจากฮ่องเต้ หรือไม่ก็ขอให้นางได้เฝ้ามองเขาเช่นนี้ตลอดไปก็ยังดี

 

 

ถ้าหากวันนี้นางไม่พูดออกไปเช่นนั้น นางอาจจะยังมีโอกาส โอกาสที่จะได้เป็นภรรยาของเขา หรือแม้จะเป็นเพียงอนุภรรยาก็ยินดี แต่ท่าทีที่ปราศจากความรู้สึกแม้แต่น้อยเช่นนั้นทำให้นางปวดใจ นางไม่ต้องการคิดเรื่องพวกนั้น นางเพียงต้องการร้องไห้ให้เต็มที่ในอ้อมอกของเซียงฉือ

 

 

“สวี่อี้ไม่ต้องกลัวนะ ข้าอยู่ที่นี่แล้ว”

 

 

เซียงฉือนำเสื้อคลุมของตนคลุมลงบนตัวสวี่อี้ นางไม่กลัวความเย็นจากร่างนางซึ่งเย็นจนนางปวดกระดูก นางกอดและตบไหล่สวี่อี้ ปลอบโยนนางเหมือนกำลังปลอบเด็กๆ

 

 

สวี่อี้ร้องไห้อยู่นานจึงได้สงบลง

 

 

เซียงฉือเห็นนางในสภาพนั้นก็ไม่ได้ถามอะไร นางนำเสื้อผ้าสำหรับผลัดแล้วจูงมือสวี่อี้เดินเข้าไปยวนหรงถัง

 

 

ตำหนักข้างของโถงยางหรงที่อยู่หลังตำหนักมีบ่อน้ำร้อนสามบ่อ บ่อใหญ่สำหรับหรงจิง บ่อเล็กอีกสองบ่อมีไว้สำหรับพระชายาที่มาถวายงานบรรทมได้ใช้ เพราะมีการแยกคืนก่อนหลังกับพระสนมขั้นต่ำกว่าที่มาถวายงาน ดังนั้นทั้งสองคนจึงแยกกันอาบ

 

 

แต่เพราะสุขภาพเซียงฉือไม่ดี หรงจิงจึงยกบ่อที่อยู่ห่างออกไปที่สุดให้นาง อนุญาตให้นางได้เข้าไปแช่เป็นบางโอกาส

 

 

เซียงฉือจึงดึงสวี่อี้เดินเข้าไปในห้องที่งดงามอบอุ่นนั้น

 

 

วันนี้เซียงฉือคิดจะแช่น้ำร้อนอยู่แล้ว หงซีกูกูจึงสั่งคนให้เตรียมไว้ให้นานแล้ว ในตอนนี้สวี่อี้เหน็บหนาวไปทั้งร่าง เซียงฉือห่วงว่านางจะเป็นหวัด จึงดึงนางเข้าไปอาบน้ำด้วยกัน

 

 

เซียงฉือสวมเพียงชุดตัวในอยู่ก่อนแล้ว ตอนนี้จึงรัดผมขึ้น เส้นผมดำขลับราวหมึกถูกมุ่นไว้ด้วยปิ่นหยกอยู่บนศีรษะนางถอดรองเท้า แตะนิ้วเท้าขาวผ่องบนผิวน้ำเบาๆ จากนั้นยื่นลงไปในน้ำแร่อุ่นช้าๆ สุขสบายจนต้องหลับตาลง ครางออกมาเบาๆ

 

 

นางรู้สึกน้ำอุ่นกำลังดีจึงไถลลงไปในน้ำ สวี่อี้มองบรรยากาศที่อวลไปด้วยไอน้ำในห้อง และเห็นเซียงฉือไถลลงไปในน้ำแล้ว จึงพูดขึ้นว่า

 

 

“อวิ๋นเซียงฉือ เสียทีที่ข้านับเจ้าเป็นคนรู้ใจ ข้าเสียใจถึงขนาดนี้แล้วเจ้ายังมีแก่ใจแช่น้ำร้อนอีก เจ้าทำแบบนี้ข้าจะเลิกคบกับเจ้า”

 

 

ถึงปากสวี่อี้จะพูดเช่นนั้น แต่ก็ถอดเสื้อผ้าบนร่างออกทีละชิ้นอย่างเป็นระเบียบ ไอเย็นบนเสื้อผ้าก็หลุดออกจากร่างไปเป็นชั้นๆ

 

 

เซียงฉือได้ยินสวี่อี้พูดเช่นนั้นก็ตอบไปโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นว่า

 

 

“พวกเราตัดไมตรีกันไปแล้วตั้งแต่บ่ายนี้ ตอนนี้จะมาคืนดีกันอีกหรือไม่ก็ยังต้องดูอารมณ์ของข้านี่ก่อน”

 

 

ยากนักที่เซียงฉือจะพูดเล่น ตอนนี้สวี่อี้ก็เปลื้องเสื้อผ้าชั้นนอกออกหมดเหลือแต่เพียงเสื้อผ้าชิ้นในแล้ว นางลองยื่นนิ้วเท้าลงไปแตะน้ำร้อนอย่างระมัดระวัง เซียงฉือเห็นแล้วเกิดความคิดจะแกล้งให้นางตกใจ

 

 

เซียงฉือดึงน่องนางลงไป สวี่อี้จึงนั่งแหมะลงบนขอบทันที เซียงฉือหัวเราะร่าเสียงดัง สวี่อี้อารมณ์ดีขึ้นมากแล้วจึงวักน้ำให้กระเซ็นขึ้นมา พากันเล่นสนุกสนานทั้งสองคน

 

 

สวี่อี้ไถลผลุบลงไปในน้ำ ให้น้ำแร่อุ่นท่วมมิดศีรษะ ปล่อยสมองให้ว่างเปล่า เซียงฉือเห็นเช่นนางจึงดึงนางโผล่ขึ้นมาแล้วจ้องมอง

 

 

“เจ้าคิดว่านี่เป็นน้ำสำหรับอาบหรืออย่างไร ไม่กลัวจะหมดสติไปหรือ”

 

 

ทั้งสองประสานสายตากัน เซียงฉือเห็นท่าทางนางเช่นนั้นอดไม่ได้ต้องหัวเราะออกมา

 

 

“วิ่งออกไปทำไม ข้างนอกลมฝนออกแรงเสียขนาดนั้น เจ้าคิดว่าข้าสามารถทำร่มกระดาษน้ำมันได้ตลอดไปหรืออย่างไร”

 

 

สวี่อี้ได้ยินแล้วเกิดอบอุ่นซ่านในใจ อดทำปากแข็งพูดขึ้นไม่ได้ว่า

 

 

“คนเขาจะระบายโทสะเล็กๆ บ้างไม่ได้หรือไร ถูกคนป่วยอย่างเจ้าใช้โน่นทำนี่อยู่ทุกวี่วัน แต่เอาเถอะ เห็นแก่น้ำแร่อุ่นที่ไม่เลวนี้ ข้าไม่โต้เถียงกับเจ้าละ”

 

 

เซียงฉือจิ้มหน้าผากนางพูดว่า

 

 

“ก็ได้ๆๆ ตลอดมาก็ได้ใต้เท้าสวี่นี่แหละที่คอยช่วยเหลือผู้น้อย เช่นนั้นแล้วหากอีกสักครู่หงซีกูกูมาถึง ใต้เท้าสวี่ก็ต้องช่วยพูดอ้อนวอนให้ข้าด้วยล่ะ”

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset