บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 560 ทะเลาะวิวาท / ตอนที่ 561 เผชิญหน้าเฟิงโหย่วเต้า

ตอนที่ 560 ทะเลาะวิวาท  

 

 

คำพูดเซียงฉือฟังดูมีเหตุผล หรงจิงตบศีรษะน้อยๆ ของนางพูดยิ้มๆ  

 

 

“แคว้นเซียวจิ่งข้ามีคนมีความรู้ความสามารถมากมาย แต่หากพูดถึงความรู้แล้ว ข้ากลับคิดว่าสมองของเซียงฉือคนนี้ยังจะฉลาดเฉลียวกว่าของเฟิงโหย่วเต้ามากมาย”  

 

 

เซียงฉือฟังแล้วก็ก้มหน้ายิ้มบางๆ  

 

 

ซูกงกงอยู่ข้างนอกประตูขอเข้าพบ ระยะนี้เมื่อใดที่หรงจิงอยู่กับเซียงฉือตามลำพังก็จะให้คนอื่นๆ ออกไป จะมีเพียงเซียงฉือคนเดียวเท่านั้นที่จะคอยดูแลทุกอย่าง  

 

 

ขณะนั้นซูกงกงกำลังเคาะประตูอยู่หน้าประตู  

 

 

หรงจิงได้ยินจึงพูดออกไปทางนอกประตูว่า  

 

 

“เข้ามาเถอะ”  

 

 

ซูกงกงผลักประตูเปิดออกแล้วเดินเข้ามาอย่างแผ่วเบา ทำการคารวะหรงจิงแล้วหันไปคารวะเบื้องหน้าเซียงฉือ  

 

 

“ฝ่าบาท พระชายา หาเสี่ยวเต๋อจื่อพบแล้วพะย่ะค่ะ”  

 

 

พอซูกงกงพูดเช่นนี้เซียงฉือก็ยิ้มออก หลายวันมานี้นางกังวลใจอย่างมาก เสี่ยวเต๋อจื่อกงกงตั้งแต่วันนั้นที่ถูกนางโยนลงน้ำไปแล้วก็ไม่มีข่าวคราวอีกเลย ถึงเซียงฉือจะไม่พูดออกมาแต่ในใจยังคอยห่วงใยอยู่เสมอ ตอนนี้ได้ยินจากซูกงกงแล้วจึงได้วางใจลง  

 

 

“เสี่ยวเต๋อจื่ออยู่ไหน พามาพบข้า เขายังสบายดีอยู่ไหม หลายวันนี้ไปอยู่ที่ไหนมาก็ไม่รู้ หรือจะหวาดกลัวซูเฟยมากจนไม่กล้ากลับมา”  

 

 

ซูกงกงได้ยินแล้วก็ส่ายหน้าพูดว่า  

 

 

“เสี่ยวเต๋อจื่ออยู่ในกองโอสถ หม่อมฉันไปพบมาแล้วพะย่ะค่ะ กลายเป็นคนป้ำๆ เป๋อๆ ไปแล้ว ถึงจะกลับมาได้แต่รองหัวหน้ากองโอสถบอกว่า เป็นเพราะเสี่ยวเต๋อจื่อศีรษะกระแทกก้อนหินที่ใต้น้ำ จึงทำให้กลายเป็นคนป้ำเป๋อไป ไม่กล้าให้ทำงานต่อแล้วพะย่ะค่ะ”  

 

 

เซียงฉือฟังแล้วบังเกิดความไม่สบายใจ นางก้มหน้าจิตใจเคร่งเครียด  

 

 

หรงจิงเดินไปตบไหล่นางแล้วถามว่า  

 

 

“มีโอกาสที่จะรักษาให้หายหรือไม่ หากวิชาแพทย์ของหมอหญิงไม่สูงพอ ก็ไปเชิญหมอหลวงไปช่วยตรวจเขาสักคนคนดีๆ คนหนึ่ง อย่าให้ต้องเสียหายไปเช่นนี้ จะทำให้เซียงฉือเป็นกังวล”  

 

 

เมื่อหรงจิงพูดเช่นนี้ซูกกงกงจึงต้องตอบรับ เซียงฉือจึงค่อยได้รับการประโลมใจและมีความหวังขึ้นมา  

 

 

ตอนที่หรงจิงหันกลับไปมองเซียงฉือ เขาทอดถอนใจพูดขึ้นว่า  

 

 

“เหตุการณ์ในวันนั้นเจ้าได้เห็นเพียงแค่ส่วนหนึ่ง หลายวันมานี้ซูเฟยเคลื่อนไหวถี่ขึ้น ต่อไปเจ้าพยายามพบหน้านางให้น้อยที่สุด และหากถึงวันที่ต้องไปอยู่ในตำหนักซีเฝ่ย เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะให้ฉู่อวิ๋นเซียวเลือกคนที่เขาไว้วางใจให้นำคนไปอารักขาที่ตำหนัก จะไม่ยอมให้ใครรังแกเจ้าเด็ดขาด”  

 

 

เซียงฉือฟังแล้วอบอุ่นใจ  

 

 

หรงจิงกอดนางแล้วพูดว่า  

 

 

“คนเราต่างมีชะตาชีวิตของตนเอง นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้าๆ ก็อย่าใส่ใจนักเลย ตอนนี้ซูเฟยเหมือนกับมดแดงในหม้อร้อนๆ ข้ายังจะเติมไฟให้โหมขึ้นอีก เพื่อให้นางสูญเสียสติสัมปชัญญะอย่างสิ้นเชิง”  

 

 

ขณะที่หรงจิงพูดเช่นนี้ทำให้เซียงฉือบังเกิดความหวาดหวั่น ซูเฟยปรนนิบัติหรงจิงมาเป็นเวลานาน แต่ไม่รู้ว่านางทำความผิดอะไรไว้ หรงจิงจึงได้เกลียดชังนางถึงเพียงนี้  

 

 

ชั่วขณะหนึ่งนางรู้สึกเศร้ารันทดใจ  

 

 

เมื่อคืนนี้เพราะว่ารายงานฉบับนั้น ทำให้เฟิงโหย่วเต้าถูกผู้ตรวจการหลิวตำหนิอย่างรุนแรงและยังสั่งให้เขากลับไปพักผ่อนที่บ้าน ห้ามไม่ให้ถวายรายงานก่อความวุ่นวายอีก  

 

 

เฟิงโหย่วเต้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง เขาเอะอะโวยวายทะเลาะกับผู้ตรวจการหลิวอยู่ที่หน้าประตูตำหนัก  

 

 

เฟิงโหย่วเต้าคนนี้ก็มีเจตนา ในรายงานของเขาเต็มไปด้วยการกล่าวหาเซียงฉือ หาว่านางเป็นหญิงงามอำมหิตที่เต็มไปด้วยแผนการร้าย และต้องการก่อกวนให้เกิดความไม่สงบขึ้นที่ฝ่ายในของหรงจิง  

 

 

แต่มาก่อการวิวาทกันขึ้นที่ด้านหน้าท้องพระโรงเช่นนี้ หรงจิงโกรธเป็นอย่างยิ่ง สั่งตีพวกเขาคนละสามสิบไม้ แล้วให้หามเฟิงโหย่วเต้าที่ถูกตีจนก้นลายเข้าตำหนักเจิ้งหยาง  

 

 

เฟิงโหย่วเต้าเป็นขุนนางเมืองหลวงขั้นที่สี่ ในอวิ๋นหยางที่เต็มไปด้วยขุนนางใหญ่ระดับขั้นที่หนึ่งที่สองเช่นนี้ ตำแหน่งของเขานับได้ว่าเล็กนักหนา อีกทั้งเพิ่งจะมีโอกาสได้เห็นหน้าฮ่องเต้เมื่อไม่นานมานี้เอง  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 561 เผชิญหน้าเฟิงโหย่วเต้า  

 

 

หรงจิงได้พบเฟิงโหย่วเต้า เจ้าแก่นี่หนวดเคราขาวโพลนไปหมดแล้วแต่สีหน้ายังแดงก่ำ ตอนเห็นหรงจิงยังมีความขัดเขินอยู่บ้าง แต่พอพูดถึงเซียงฉือก็พูดว่าไม่หยุด แสดงความเคียดแค้นชิงชังนางอย่างยิ่ง  

 

 

เซียงฉือได้ยินเสียงหรงจิงอบรมเฟิงโหย่วเต้าจึงเดินออกมาจากห้องด้านใน พอเห็นสภาพด้านนอกนั้นแล้วก็หัวเราะออกมา  

 

 

“เหตุใดฝ่าบาทจึงทรงคับแค้นใจต่อใต้เท้าเฟิงถึงเพียงนี้เพคะ”  

 

 

หรงจิงตอบว่า  

 

 

“พูดคุยเหตุผลกันไม่รู้เรื่อง โบราณ คร่ำครึอย่างที่สุด”  

 

 

เซียงฉือฟังคำหรงจิงแล้วก็ยิ้ม นางเดินเข้าไปเบื้องหน้าเฟิงโหย่วเต้าพูดขึ้นว่า  

 

 

“ไม่ทราบว่าเหตุใดใต้เท้าจึงได้จงเกลียดจงชังข้าเช่นนี้ ถึงกับอยากให้ข้าตายเพื่อเป็นการขออภัยต่อผู้คนทั้งโลก”  

 

 

เฟิงโหย่วเต้าเชิดหน้าพูดว่า  

 

 

“ลูกสาวขุนนางต้องโทษยากหยั่งรู้เจตนา จึงไม่สมควรอยู่ใกล้ขิดฝ่าบาทอยู่แล้ว วงศ์ตระกูลของเจ้าก็ทำให้ฝ่าบาทต้องทรงอับอาย จะให้ทรงสถาปนาเป็นพระชายาเป็นที่เชิดหน้าชูตาของบ้านเกิดได้อย่างไรกัน”  

 

 

“ถ้าหากฝ่าบาททรงดึงดันพระทัยไม่ฟังคำทัดทาน เช่นนั้นแล้วจะให้ราษฎรถือเอากฎหมายได้อย่างไร เชื่อถือพระราชอำนาจได้แค่ไหน อวิ๋นเซียงฉือเป็นพวกแหกคอก นางเป็นหญิงงามแห่งหายนะที่จะนำภัยมาสู่ชาติและประชาชน”  

 

 

เซียงฉือได้ยินแล้วก็หัวเราะก๊ากออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ นางมองดูเฟิงโหย่วเต้าที่โกรธจนหนวดกระดิกแล้วพูดยิ้มๆ  

 

 

“ในเมื่อใต้เท้าเฟิงกล่าวหาข้าเช่นนี้ ข้าก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร แต่ขอบังอาจให้ใต้เท้าช่วยไขความกระจ่างสักหน่อย ไม่ทราบว่าในสายตาท่าน ฝ่าบาททรงเป็นพระประมุขแบบไหน”  

 

 

เฟิงโหย่วเต้าฟังคำพูดเซียงฉือแล้วก็งงในคราแรก แต่เมื่อเห็นความจริงใจในแววตาของเซียงฉือแล้ว จึงตอบอย่างเย่อหยิ่งลำพองใจว่า  

 

 

“ฝ่าบาททรงเป็นราชันผู้ปรีชาชาญ ทรงรู้พูดและใช้คน ทุ่มเทบริหารประเทศ น้ำพระทัยกว้างขวาง ทรงเป็นพระประมุขที่หาได้ยากยิ่ง”  

 

 

เฟิงโหย่วเต้าคนนี้น่าสนใจทีเดียว ในขณะที่ทั้งราชสำนักต่างรู้ว่าหรงจิงโปรดปรานเซียงฉือที่สุด แต่กลับกล้าวิพากษ์วิจารณ์เซียงฉืออย่างไม่สนใจใครอื่นรอบข้างเช่นนี้ ทว่ากับหรงจิงกลับประจบสอพลอ จนเซียงฉือรู้สึกเหลือเชื่อ  

 

 

เมื่อเซียงฉือได้ฟังคำพูดเช่นนั้นก็ลุกขึ้นยืนถามคำถาม  

 

 

“ฝ่าบาททรงเป็นพระมุขผู้ปรีชาชาญในใจของใต้เท้าเฟิง เช่นนั้นแล้ว หากเปรียบเทียบใต้เท้ากับฝ่าบาทเล่า ไม่ทราบว่าจะเป็นเช่นไร”  

 

 

เฟิงโหย่วเต้าตะลึงอึ้งเงียบไม่รู้จะตอบอย่างไร แต่หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงได้เปิดปากพูดว่า  

 

 

“ฝ่าบาททรงดุจดั่งแสงจันทราเจิดจรัส ส่วนข้าเป็นเพียงแสงดาวริบหรี่ จะให้นำไปเปรียบกับฝ่าบาทได้อย่างไร”  

 

 

เซียงฉือฟังแล้วก็ยิ้ม นางพูดยิ้มๆ กับใต้เท้าเฟิงว่า  

 

 

“ที่แท้ใต้เท้าเฟิงเข้าใจเหตุผลทุกอย่างแต่กลับไม่เข้าใจตนเอง”  

 

 

“ฝ่าบาททรงเป็นประมุขผู้ปรีชาชาญตลอดกาล ส่วนข้าเป็นหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่ง แต่ข้าเห็นว่าฝ่าบาททรงมีสายพระเนตรเฉียบคม ทรงสามารถมองเห็นผู้ใดถูกหรือผิดได้”  

 

 

“เซียงฉือเป็นเพียงนักโทษ แต่ฝ่าบาททรงยินดียอมรับได้ ทรงไม่รังเกียจชาติกำเนิดและเห็นข้าเป็นตัวอันตรายพระองค์ทรงมีน้ำพระทัยกว้างขวาง ยอมละเว้นข้าที่เป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่ง”  

 

 

“แต่ข้ากลับไม่รู้เลยว่าที่แท้ใต้เท้าเฟิงมีสติปัญญาสูงส่งกว่าฝ่าบาท ถึงกับสามารถมองคนได้ทะลุปรุโปร่ง” เมื่อเซียงฉือพูดเช่นนี้เฟิงโหย่วเต้าถึงกับตัวสั่นเทา อายุเขาก็ไม่น้อยอีกทั้งยังทำงานอยู่ที่นี่มาถึงยี่สิบปีแล้ว  

 

 

แต่เขาคิดไม่ถึงว่าเพียงได้เป็นขุนนางตำแหน่งสูงที่สุดในชีวิตนี้ของเขาไม่กี่วันเท่านั้น เพียงเพราะรายงานกราบทูลฉบับเดียวก็จะถูกผู้ตรวจการหลิวแช่แข็งอีกครั้งเสียแล้ว เรื่องแบบนี้ทำให้เขาต้องโต้แย้งขึ้นมา  

 

 

เหตุที่วันนั้นเขาเขียนรายงานขึ้นมาเช่นนั้นเป็นเพราะระยะนี้ผู้ตรวจการจำนวนมากพากันโจมตีอวิ๋นเซียงฉือ เขาจึงปรารถนาเข้าร่วมเป็นหนึ่งในนั้นด้วย อย่างน้อยจะได้ไม่ดูผิดแผกไปจากพวกผู้ตรวจการด้วยกัน  

 

 

แต่ที่เขาคิดไม่ถึงคือหลังจากความกระตือรือร้นและอารมณ์ที่ฮึกเหิมแล้ว จะถูกฝ่าบาทสลัดทิ้งอย่างเย็นชา  

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset