บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 202

หลิ่วเหยียนหลอกล่อ 

 

 

มั่วมั่วยังพูดไม่จบ หลิ่วเหยียนก็ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ยิ่งทำให้มั่วมั่วใจฝ่อ 

 

 

“พี่ก็พูดมาเถอะว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกันอย่างไร เหตุใดถึงได้บอกว่าข้าจะกลายเป็นเครื่องสังเวยกันล่ะ” 

 

 

มั่วมั่วเริ่มร้อนรน สายตาล่อกแล่ก เพราะการพูดค้างๆ คาๆ ของหลิ่วเหยียนเช่นนี้ ทำให้นางสงสัยและหวาดหวั่น 

 

 

กฎเกณฑ์ต่างๆ ในวังนางไม่รู้เรื่องและไม่อาจมองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปรงเช่นหลิ่วเหยียน แต่คำพูดของหลิ่วเหยียน ทำให้นางเกิดความรู้สึกว่าตนเองจะมีชีวิตไม่ยืนยาว 

 

 

หลิ่วเหยียนเห็นท่าทางลนลานของมั่วมั่วแล้วก็รู้ว่าตนเองสามารถแทรกเข้าไปในใจของนางได้แล้ว  อย่างน้อยคำพูดพวกนั้นก็คงทำให้นางหวั่นไหวได้บ้าง ยังไงนางก็ไม่ใช่คนที่มีความคิดมากนักอยู่แล้ว 

 

 

มั่วมั่วเขย่าแขนหลิ่วเหลียน น้ำเสียงยิ่งร้อนรนขึ้น 

 

 

“พี่ พี่สาวคนดีรีบบอกข้าเถอะ ในวังนี้ข้าก็มีแต่พี่คนเดียวเท่านั้นที่เชื่อถือได้” มั่วมั่วลนลานด้วยรู้สึกยิ่งกังวลใจ นางเชื่อว่าหลิ่วเหยียนไม่โกหกพกลม เชื่อว่าเรื่องนี้จะต้องมีสาเหตุ 

 

 

หลิ่วเหยียนเมื่อเห็นถึงเวลาแล้วจึงค่อยๆ เอ่ยปากขึ้น 

 

 

“อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้า ใต้เท้าสวี่อี้คนนั้นเห็นชัดว่าเข้าข้างเซียงฉือ วันนี้เจ้าหากระโปรงเปื้อนเลือดพบแล้วนำไปส่งที่กองคดี เจ้าคิดว่าเป็นผลงานความชอบหรือ เจ้าอย่าลืมนะว่าในตอนนั้นเซียงฉือไม่ลนลานสักนิดเดียว รู้ไหมล่ะว่าทำไม” 

 

 

หลิ่วเหยียนจิบชาอย่างมีจังหวะจะโคนเป็นธรรมชาติไม่จงใจ แต่เมื่อถามคำถามแบบนี้ขึ้นมาก็ทำให้มั่วมั่วก็ไม่รู้ว่าทำไม 

 

 

“นั่นน่ะสิ แล้วทำไมหรือ” 

 

 

มั่วมั่วถาม นางไม่รู้ว่าเรื่องนี้มีปัญหาตรงไหน ถึงหลิ่วเหยียนจะบอกว่าสวี่อี้ช่วยเหลือเซียงฉือ นางยังรู้สึกว่าเรื่องนี้ประหลาดอยู่ เพราะตามที่เคยปฏิบัติกันมา หากในวังมีคนตายขึ้นมา ไม่ว่าใครมาตรวจสอบล้วนทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ส่วนเรื่องเล็กน้อยก็จะทำให้หายไป 

 

 

แต่เรื่องในตอนนี้มีหลักฐานตั้งมากมาย สวี่อี้ทั้งไม่ยอมปล่อยแต่ก็ไม่ได้ลงทัณฑ์ 

 

 

“ทำไมน่ะหรือ เฮอะๆ…” 

 

 

“เจ้าน้องโง่ พวกนางกำลังหาคนตายแทนอย่างไรล่ะ!” 

 

 

“วันนี้เจ้าล่วงเกินเซียงฉือ น่ากลัวว่าคนที่พวกนางจะคิดถึงก่อนเพื่อนก็คือเจ้านี่แหละ” 

 

 

นิ้วมือที่ทากระวานสีแดงของหลิ่วเหยียนจิ้มเบาๆ ไปบนหน้าผากมั่วมั่ว แต่น้ำเสียงเย็นเยียบอย่างอับจนปัญญาแบบนั้นฟังเหมือนหนังสือพิพากษาสำหรับมั่วมั่ว นางนั่งกลับลงยังที่เดิมอย่างแรงทำอะไรไม่ถูก 

 

 

“พี่ แล้วเรื่องวันนี้ ข้า พวกนาง จะทำอย่างไรดี!” 

 

 

มั่วมั่วตื่นตระหนก เรื่องที่หลิ่วเหยียนพูดมานางไม่สามารถพิจารณาได้ทัน แต่จิตใจถูกคำพูดของหลิ่วเหยียนสั่นสะเทือนจนพูดอะไรไม่ถูก 

 

 

คำพูดสับสนเพราะไม่รู้จะพูดอย่างไร จะแก้ตัวแบบไหน 

 

 

“พี่ก็รู้นี่นาว่าไม่ใช่ข้านะ แล้วเหตุใด…” 

 

 

“พี่พูดไม่ใช่หรือว่าพวกนางใกล้จะปิดคดีได้อย่างง่ายดายแล้ว หลักฐานก็มีแล้ว แต่เหตุใดถึงต้องเป็นข้า มันไม่ถูกต้องนะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าอย่างสิ้นเชิง…” 

 

 

ถึงแม้ความคิดของมั่วมั่วจะสับสนอยู่ คำพูดของหลิ่วเหยียนก็ฟังดูอันตรายอย่างยิ่ง แต่นางยังพอจับประเด็นสำคัญได้ 

 

 

หลิ่วเหยียนเองก็รู้ว่าคำพูดง่ายๆ ไม่กี่คำนั้น ไม่อาจจะหลอกนางได้ทั้งหมด 

 

 

ดังนั้นจึงได้พูดต่อ 

 

 

“เด็กโง่เอ๊ย เจ้ามาอยู่ตำหนักอวี้หยวนนานแค่ไหน แล้วเซียงฉือล่ะนานแค่ไหน เหตุใดคนอื่นไต่เต้าขึ้นเป็นถึงนางกำนัลอาวุโสได้ ส่วนเจ้ายังไม่ก้าวหน้าสักที นั่นน่ะเพราะเขามีคนคอยหนุนหลังกันอยู่” 

 

 

“เรื่องในวันนี้ฝ่าบาทมีพระประสงค์ให้สืบสวนถึงที่สุด เช่นนั้นแล้วไม่ว่าคนคนนี้จะถูกคนในตำหนักอวี้หยวนฆ่าตายหรือไม่ก็ตาม สวี่อี้จะต้องหาคนออกมารับผิดให้ได้ ถ้าหากเป็นเซียงฉือไม่ได้แล้ว เช่นนั้นจะเป็นใครกันล่ะ” 

 

 

 

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset