บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 588 ปลอบโยนหลิ่วจุ้ย / ตอนที่ 589 หรงจิงกับหรงเฉิงเยี่ย

ตอนที่ 588 ปลอบโยนหลิ่วจุ้ย  

 

 

มีความหวาดหวั่นอย่างหนึ่งที่ปัดไม่ออกไปจากดวงตานาง ดูเหมือนนางจะกลัวเซียงฉือแบบคนที่ทำความผิด เป็นความหวาดกลัวไม่กล้าสบตาเซียงฉือตรงๆ  

 

 

เซียงฉือประคองร่างหลิ่วจุ้ยแล้วถามว่า  

 

 

“ใช่เรื่องที่ข้าได้รับพิษก่อนหน้านี้หรือไม่ มีใครบอกอะไรท่านพี่เช่นนั้นหรือ”  

 

 

ร่างหลิ่วจุ้ยสั่นน้อยๆ แล้วคุกเข่าลงทันที  

 

 

“พระชายาอวิ๋นผิน เป็นความผิดของหม่อมฉันเพคะ”  

 

 

เซียงฉือเห็นหลิ่วจุ้ยคุกเข่าก็ไม่ได้ไปประคองนาง เห็นนางร้องไห้ก็ไม่ได้ปลอบโยน ผ่านไปนานกระทั่งเสียงหลิ่วจุ้ยค่อยๆ แผ่วลงเหลือเพียงเสียงสะอื้นไม่มาก  

 

 

เซียงฉือมองนางแล้วจึงพูดว่า  

 

 

“ลุกขึ้นเถอะ”  

 

 

หลิ่วจุ้ยมองอวิ๋นเซียงฉืออย่างหวั่นเกรงและไม่สบายใจ แต่ความรู้สึกในใจนางดีขึ้นมาก นางไม่กลัวว่าอวิ๋นเซียงฉือจะทำอะไรนาง แต่เกรงว่านางจะดีกับนางเช่นนี้ตลอดไปราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน  

 

 

แล้วปฏิบัติต่อนางอย่างที่เคยเป็นมาซึ่งนางไม่กล้ารับ ในใจนางคล้ายดั่งก้อนหินที่ไม่มีวันร่วงหล่นได้ตลอดไป  

 

 

เซียงฉือตบไหล่นางแล้วพูดอย่างอ่อนใจ  

 

 

“หลิ่วจุ้ย เจ้าเข้าวังมาหลายปีแล้วและอยู่นานกว่าข้ามาก พวกแผนการแก่งแย่งทั้งที่ลับที่แจ้ง ลูกเล่นวางยาพิษทำร้ายคนพวกนั้น ถึงแม้เจ้าจะไม่เคยทำแต่ก็ต้องรู้อยู่”  

 

 

“ซ่อนพิษในผ้าห่ม”  

 

 

“เหอะๆ…”  

 

 

“เป็นแผนชั่วร้ายที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยจริงๆ ถึงกับใช้คนที่ข้าเชื่อใจที่สุด อาศัยมือนางแล้วยังจะมีอะไรที่ทำไม่ได้อีกเล่า”  

 

 

ฟังเซียงฉือพูดเช่นนี้หลิ่วจุ้ยขาอ่อนยวบ น้ำเสียงอวิ๋นเซียงฉือเย็นลง  

 

 

“ข้ารู้ว่าเจ้ารู้ดี แต่ไม่กล้าต่อต้าน เพราะว่าจินกุ้ยเฟยเป็นเจ้านายของเจ้า เจ้าต้องการมีชีวิตอยู่”  

 

 

เซียงฉือเน้นพูดชัดถ้อยชัดคำ ท่าทางของหลิ่วจุ้ยยิ่งหมดสภาพ นางรู้อยู่แล้วว่าเรื่องทั้งหมดไม่สามารถปิดบังเซียงฉือได้ แต่เมื่อฟังเซียงฉือพูดเช่นนี้แล้ว นางได้แต่เย้ยหยันตนเอง  

 

 

“ในเมื่ออวิ๋นผินทรงทราบแล้ว เหตุใดจึงไม่ฆ่าหม่อมฉัน ไม่น่าที่จะช่วยหม่อมฉันเลยตั้งแต่แรก”  

 

 

เซียงฉือจับแขนจ้องเข้าไปในดวงตานาง ความน่าเกรงขามในฐานะอวิ๋นผินไม่เห็นแล้ว มีเพียงรอยยิ้มที่คุ้นเคยปรากฏออกมา  

 

 

เซียงฉือยิ้มอย่างอ่อนโยนยิ่ง แต่หลิ่วจุ้ยไม่กล้ามองนาง  

 

 

“เพราะว่าเจ้าเป็นพี่หลิ่วจุ้ย การมีชีวิตอยู่รอดในวังเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเจ้า เจ้าไม่ใช่คนใจคอโหดร้ายทั้งยังดีต่อข้าช่วยเหลือข้าอย่างเต็มที่เสมอมา เจ้ารู้ว่ากุ้ยเฟยจะทำอะไรข้า จึงใช้ให้หงหงเตือนข้า”  

 

 

“โดยให้นางบอกข้าว่ายาสมุนไพรข้างในนั้นเป็นของที่หวังหมัวหมัวคนสนิทของกุ้ยเฟยเป็นผู้มอบให้เจ้า เจ้าจึงต้องใส่มันเข้าไป นั่นเป็นเจตนาของกุ้ยเฟย แต่ว่าหงหงพูดไม่กระจ่างเพราะนางฟังไม่เข้าใจความนัยซึ่งเจ้าไม่สามารถพูดให้ชัดเจนได้ ดังนั้นข้าก็เลยถูกพิษ”  

 

 

หลิ่วจุ้ยฟังแล้วน้ำตาก็พรั่งพรูออกมาอีกครั้งราวสายฝน นางกอดอวิ๋นเซียงฉือ ร้องไห้เอาความคับข้องใจของนางออกมาจนหมดสิ้น  

 

 

ตอนที่อวิ๋นเซียงฉือรู้ว่าในผ้าห่มซ่อนยาพิษไว้ก็รู้ว่าหลิ่วจุ้ยได้เตือนนางแล้ว เพียงแต่นางไม่ได้ใส่ใจและเพราะนางเลินเล่อเกินไป หลิ่วจุ้ยไม่มีใจคิดทำร้ายนาง หลิ่วจุ้ยยังคงเป็นหลิ่วจุ้ยคนนั้น แต่นางสิที่โง่ไป  

 

 

เซียงฉือปล่อยให้นางร้องไห้เพื่อให้นางปลดปล่อยความคับข้องทั้งหลายออกมา เช่นนี้แล้วนางจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดตลอดไป  

 

 

เซียงฉือต้องการใช้นางและไม่ต้องการให้นางค้างคาปมใจอะไรไว้ ซึ่งจะทำให้ใช้นางได้อย่างไม่ต้องกังวลสิ่งใด  

 

 

“หยุดร้องไห้เถอะพี่สาวคนดี ข้ารู้ว่าทุกอย่างล้วนเป็นแผนร้ายกุ้ยเฟย เจ้าไม่กล้าปฏิเสธ พวกนางคุกคามเจ้า ใช้เรื่องนี้ข่มขู่เจ้า เจ้าคงหวาดผวาไม่เป็นสุขอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันสินะ”  

 

 

“วางใจเถอะ เรื่องนี้ข้ารู้อยู่แล้ว และเพราะว่ารู้จึงยิ่งต้องช่วยเหลือเจ้า”  

 

 

หลิ่วจุ้ยหยุดร้องไห้ นางมองดูเซียงฉือแล้วผงกศีรษะพูดอย่างหนักแน่นว่า  

 

 

“เซียงฉือ ชายาอวิ๋นผิน ไม่ว่าวันหน้าจะเป็นเช่นไรหลิ่วจุ้ยก็จะอยู่ข้างกายท่าน ไม่ละทิ้งหนีจากและไม่มีวันทรยศอย่างเด็ดขาด”  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 589 หรงจิงกับหรงเฉิงเยี่ย  

 

 

เซียงฉือพาหลิ่วจุ้ยกลับถึงตำหนักเจิ้งหยางหรงจิงก็ไม่ได้แสดงความไม่พอใจแต่อย่างไร นางได้พบกับหรงเฉิงเยี่ย ทั้งคู่สบตากันแวบหนึ่งแล้วหรงเฉิงเยี่ยเป็นฝ่ายหลบตาไม่มองอวิ๋นเซียงฉืออย่างรวดเร็ว  

 

 

อวิ๋นเซียงฉือขอลาถอยออกไป แต่ในใจยังคงค้างคาความสงสัย  

 

 

ตำหนักซีเฝ่ยของอวิ๋นเซียงฉือยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งจึงจะซ่อมแซมเสร็จสิ้น แต่พวกขุนนางใหญ่เหล่านั้นส่งฎีกาขึ้นมาอยู่ทุกวัน บอกว่าในเมื่ออวิ๋นเซียงฉือได้รับสถาปนาขึ้นเป็นผินแล้ว จึงไม่อาจอยู่ในตำหนักเจิ้งหยางได้อีก  

 

 

หรงจิงเดือดดาลกับเรื่องนี้มากจึงคิดปรึกษาหารือกับหรงเฉิงเยี่ยในเรื่องนี้ หรงเฉิงเยี่ยพูดในฐานะของอีกฝ่ายว่า  

 

 

“เสด็จพี่ทรงกระจ่างพระทัยดีว่าเรื่องนี้ขัดต่อบทบัญญัติของบูรพกษัตริย์ ไม่สามารถปฏิบัติเช่นนี้ได้ตลอดไป พวกขุนนางใหญ่ถวายฎีกาในเรื่องนี้จึงเป็นอะไรที่ไม่อาจโต้แย้งได้เลย”  

 

 

หรงจิงฟังคำพูดนั้นแล้วก็โกรธตาเบิกโพลง หรงเฉิงเยี่ยเห็นดังนั้นจึงยิ้มแล้วพูดว่า  

 

 

“เสด็จพี่ก็เพียงทรงทำตามความประสงค์ของพวกเขา ให้อวิ๋นเซียงฉือย้ายไปอยู่ยังตำหนักอื่นก่อน”  

 

 

หรงจิงจ้องเขาเขม็งสีหน้าเครียดขึ้น แต่พอเห็นท่าทางยิ้มระรื่นของหรงเฉิงเยี่ยแล้ว เขาพูดขึ้นอย่างมีโทสะ  

 

 

“เจ้าตัวดีนี่ มีวิธีการอะไรดีๆ ก็พูดออกมา ระวังตัวด้วยล่ะว่าเราจะโกรธแล้วจะเก็บหนังสือบทเพลงของฉีฉินเข้าพระคลังหมื่นสมบัติ แล้วจะไม่ให้เจ้าได้เห็นอีกเลย”  

 

 

หรงเฉิงเยี่ยตาวาวขึ้นทันทีเมื่อได้ยิน เขาพูดขึ้นว่า  

 

 

“เสด็จพี่ได้หนังสือบทเพลงของปรมาจารย์ฉีฉินมาหรือพ่ะย่ะค่ะ ไม่ทราบว่าเป็นบทเพลงใด จะทรงประทานให้กระหม่อมได้เห็นให้เต็มตาได้หรือไม่ ได้ไหมพ่ะย่ะค่ะเสด็จพี่”  

 

 

หรงจิงหัวเราะกับท่าทางลุกลี้ลุกลนของเขา จึงพูดขึ้นเรื่อยๆ ว่า  

 

 

“เจ้าต้องจัดการเรื่องนี้ให้เราให้ดีเสียก่อนแล้วเราจะมอบหนังสือบทเพลงนี้ให้เป็นรางวัล จะเอาไปศึกษาอย่างไรก็เอาไป”  

 

 

หรงเฉิงเยี่ยเมื่อได้ฟังแล้วก็เหลียวมองด้านข้าง จากนั้นเข้าไปกระซิบที่ข้างหูหรงจิงดูลึกลับ  

 

 

หรงจิงตบโต๊ะแล้วชี้นิ้วไปยังเขาพูดว่า  

 

 

“เจ้านี่มีแต่ความคิดชั่วร้าย แต่เราว่าใช้ได้อยู่”  

 

 

หรงเฉิงเยี่ยได้ยินดังนั้นก็ยิ้มระรื่นแล้วแบสองมือออก พูดว่า  

 

 

“เสด็จพี่ หนังสือบทเพลงของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

หรงจิงทำสีหน้าเคร่งขรึม กระแอมไอขึ้นเบาๆ แล้วพูดว่า  

 

 

“เรื่องนี้ยังไม่สำเร็จเสร็จสิ้น ต้องรอให้ลุล่วงลงทั้งหมดเสียก่อนจึงจะถือว่าสิ้นสุด ตามสบายนะ”  

 

 

หรงเฉิงเยี่ยอ้าปากค้างมองหรงจิงอย่างไม่อยากเชื่อ แล้วเล่นลูกตื๊อไปตรงๆ อย่างไม่อายและไม่ตระหนก  

 

 

เขาลนลานอยู่บ้างจึงพูดว่า  

 

 

“หรือว่าเสด็จพี่ได้ดั่งพระประสงค์แล้วจะถีบกระหม่อมทิ้งดื้อๆ โดยไม่ยอมรับหนี้ครั้งนี้พ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

หรงจิงได้ยินก็หรี่ตามองดูท่าทางงุ่นง่านของหรงเฉิงเยี่ยแล้วยิ้มน้อยๆ ค่อยๆ แย้มรอยยิ้มของการเอาคืนออกมา  

 

 

เซียงฉือกลับเข้ามาในขณะนั้นพอดี เมื่อเห็นหรงเฉิงเยี่ยจึงทำความเคารพ หรงจิงยิ้มพูดกับนางว่า  

 

 

“เซียงฉือเจ้ารีบมาดูนี่ เหลียนชินอ๋องผู้โด่งดังของแคว้นเซียวจิ่งเรากำลังตื๊อจะเอาหนังสือบทเพลงจากเราอยู่นี่แน่ะ”  

 

 

หรงเฉิงเยี่ยได้แต่ฟังแต่ไม่อาจตอบโต้เพราะหรงจิงเป็นฮ่องเต้ เขาจะทำอะไรได้นอกจากตบศีรษะแล้วถอยออกไป  

 

 

เซียงฉือเดินเข้าไปที่ข้างกายหรงจิง ยิ้มน้อยๆ มองดูเขา  

 

 

“มีธุระหรือ”  

 

 

หรงจิงเห็นนางเอาแต่มองดูเขาก็รู้ว่าต้องมีเรื่องจะคุยด้วย เขามองดูนางด้วยสายตารักใคร่ เซียงฉือยิ้มแล้วพูดว่า  

 

 

“หม่อมฉันคิดถึงฝ่าบาท จึงได้มองดูนานหน่อยเพคะ”  

 

 

หรงจิงได้ยินก็หยุดเสียงหัวเราะลง หัวใจเขาพองโต เซียงฉือโอบกอดหรงจิงอิงแอบบนกายเขา เสียงเต้นตุบตับของหัวใจฟังแล้วให้ความรู้สึกสบายใจ  

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset