บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 600 โน้มน้าวขุนพลหลิน / ตอนที่ 601 ขุนพลหลินล้มป่วย

ตอนที่ 600 โน้มน้าวขุนพลหลิน  

 

 

เซียงฉือจงใจทำให้ขุนพลหลินโกรธ เขาเป็นคนมีนิสัยตรงไปตรงมาซึ่งเหมาะแก่การรับมือยิ่งนัก เมื่อเซียงฉือพูดเช่นนี้ใบหน้าของเขาจึงบัดเดี๋ยวซีดบัดเดี๋ยวแดง ริมฝีปากสั่นระริก  

 

 

“เจ้า เจ้า…เป็นหญิงจิตใจชั่วร้ายที่สุดจริงๆ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าได้อยู่ข้างวรกายฝ่าบาทอย่างเด็ดขาด จะต้องทำให้ฝ่าบาททรงเห็นโฉมหน้าอสรพิษของผู้หญิงอย่างเจ้าให้ชัดเจนให้จงได้”  

 

 

เซียงฉือเพียงยิ้มน้อยๆ ไม่โกรธเคือง ฉับพลันขุนพลหลินเหมือนมีเรี่ยวแรงขึ้นมา เขาคุกเข่าอยู่ท่ามกลางหิมะส่งเสียงตะโกนดังขึ้น  

 

 

“ฝ่าบาท พระองค์ทรงเบิกพระเนตรมองดูเถิดพ่ะย่ะค่ะ นางเป็นหญิงอสรพิษนะพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

“ฝ่าบาท อย่าทรงถูกนางบดบังดวงเนตรจนไม่อาจทรงแยกแยะผู้ภักดีกับคนชั่วได้เลยนะพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

เซียงฉือฟังด้วยความรู้สึกที่ไม่ดีนักแต่ก็ยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยน นางยกร่มขึ้นส่งให้ขันทีที่ข้างกายแล้วแนบเข้าไปพูดที่ข้างหูขุนพลหลิน  

 

 

“ข้าไม่สนใจหรอกว่าท่านขุนพลจะพูดอะไร อย่างไรท่านก็เป็นเพียงคนไร้ความสำคัญคนหนึ่ง ท่านถูกคนหลอกใช้ คิดจะสละชีพเพื่อชาติในลักษณะนี้ ท่านคิดหรือว่าฝ่าบาทจะทรงจดจำท่านไว้ คิดว่าประเทศชาติและประชาชนจะจารึกคุณงามความดีของท่านหรือ”  

 

 

“ท่านขุนพลเป็นขุนศึกไม่ใช่นักวิชาการ แต่โบราณมานักวิชาการแม้ตายก็จะทัดทาน ส่วนนักรบตายในการศึก ท่านขุนพลใช่ยืนอยู่ผิดที่ผิดทางหรือไม่”  

 

 

น้ำเสียงเซียงฉือเบานุ่มอย่างยิ่ง ถึงแม้วันนี้หิมะจะตกหนักมาก แต่เสียงลมก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการสื่อสารของคนทั้งสอง เซียงฉือพูดจบก็มองดูขุนพลหลินอย่างมีเจตนา  

 

 

น้ำเสียงนางเย็นเยือกลง  

 

 

“ข้าอาจจะไม่ใช่คนดิบคนดีอะไร แต่คนที่ท่านขุนพลเชื่อถือเป็นคนดีจริงเช่นนั้นหรอกหรือ  

 

 

ฝ่าบาทพิโรธอย่างหนัก ไม่เห็นมีขุนนางคนไหนออกมาขอความเมตตาให้ท่าน การจะคัดง้างกับฝ่าบาทเป็นเรื่องของขุนนางบุ๋นและขุนนางทัดทาน การเป็นผู้นำทัพ มิใช่ต้องเข้มงวดเด็ดขาด พูดคำไหนคำนั้นหรอกหรือ”  

 

 

ท่านปู่ของข้าอวิ๋นเทียนเคยบอกกับข้าว่าใต้เท้าแข็งแกร่งทรหดยึดมั่นในตนเอง ไม่มีคนที่สองอีกแล้วในโลกนี้ ทำให้ข้านับถือจากใจ หวังว่าใต้เท้าจะใคร่ครวญคำพูดของข้าให้ดี”  

 

 

อวิ๋นเซียงฉือพูดจบก็เดินออกจากร่มสู่หิมะตกหนัก ขันทีคิดจะติดตามไป นางหันกายกลับมาพูดว่า  

 

 

“เจ้ารออยู่ตรงนี้ หากใต้เท้าหลินมีเรื่องจะกราบทูลฝ่าบาท เจ้าก็จงเข้าไปรายงาน”  

 

 

เสื้อผ้าของขันทีมีน้อยชิ้น เมื่อได้ยินดังนั้นก็แยกเขี้ยวยิงฟัน แต่ก็ตอบรับอย่างขอไปที  

 

 

เซียงฉือเดินกรำหิมะกลับเข้าไปในตำหนักเจิ้งหยาง นางเห็นหรงจิงกำลังเดินหมากอยู่คนเดียวจึงเดินเข้าไปยืนดูอยู่ข้างๆ  

 

 

“เจ้าไปพูดอะไรกับเขาอยู่เป็นนานสองนานเช่นนั้น”  

 

 

หรงจิงถามไปอย่างไม่ใส่ใจและดูเหมือนไม่สนใจ เซียงฉือเข้าใจเจตนาที่ลึกล้ำนั้นจึงยิ้มแล้วตอบว่า  

 

 

“หม่อมฉันเพียงบอกว่าปีนี้หิมะตกหนักมาก ปีหน้าจะต้องเป็นปีที่เก็บเกี่ยวได้อุดมสมบูรณ์ ขุนพลหลินถึงชราแล้วแต่ยังแข็งแรง คิดว่าคงอยากจะได้ที่ทางที่มั่นคงปลอดภัย เกษียณกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายในบ้านเกิดเพคะ”  

 

 

หรงจิงได้ยินแล้วก็ดึงมือนางพูดยิ้มๆ ว่า  

 

 

“เจ้ามีความมั่นใจแค่ไหนว่าขุนพลหลินจะลาราชการกลับบ้านเกิด”  

 

 

เซียงฉือยิ้มตอบไปว่า  

 

 

“ฝ่าบาทจะทรงพนันกับหม่อมฉันหรือไม่เพคะ”  

 

 

หรงจิงพลอยนึกสนุกขึ้นมา จึงถามกลับด้วยความสนใจ  

 

 

“เจ้าจะใช้สิ่งใดมาเดิมพัน เราออกจะร่ำรวยล้นสี่สมุทรเช่นนี้ ว่าแต่เจ้าอยากได้อะไร”  

 

 

เซียงฉือก้มหน้าเขินอายในแบบเฉพาะของหญิงสาว นางแอบมองหรงจิงอยู่ครู่หนึ่งแล้วในหน้าแดงซ่าน ยื่นมือข้างหนึ่งแตะลงบนแผ่นอกหรงจิง ยิ้มแล้วพูดว่า  

 

 

“หม่อมฉันมีสิ่งหนึ่งที่จะเดิมพันได้ แต่ไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะทรงกล้าพนันด้วยหรือไม่เพคะ”  

 

 

ดวงตาหงส์คู่ของหรงจิงช้อนขึ้น เขาจับมือนางไว้ถามว่า  

 

 

“ไหนเจ้าลองพูดมาให้ฟังหน่อยซิ”  

 

 

เซียงฉือชี้ตรงหัวใจของตนเองแล้วพูดว่า  

 

 

“หัวใจของหม่อมฉันเพคะ”  

 

 

หรงจิงมองดูดวงตาแวววาวของเซียงฉือ รอยยิ้มเต็มทรวง  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 601 ขุนพลหลินล้มป่วย  

 

 

เซียงฉืออยู่เป็นเพื่อนอ่านรายงานกับหรงจิง แต่เพียงไม่นานก็เห็นขันทีที่ด้านนอกรีบเร่งวิ่งเข้ามาแล้วคุกเข่าลงพูดอย่างลนลาน  

 

 

“ฝ่าบาท แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ท่านขุนพลเฒ่าหมดสติไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

ทั้งเซียงฉือและหรงจิงตกตะลึง  หรงจิงเรียกสติได้ก่อน เขาวางพู่กันลงคิ้วขมวดมุ่น  

 

 

“รีบเชิญหมอหลวง นำขุนพลหลินเข้าไปพักรักษาที่ตำหนักด้านข้างเจิ้งหยางนี่”  

 

 

หรงจิงหน้าขรึมอีกทั้งกังวล ขุนพลหลินเป็นขุนศึกเฒ่าที่เขาให้ความนับถือตลอดมา เขานึกตำหนิตัวเองที่ไปหัวเสียกับขุนนางเก่าแก่ในครั้งนี้  

 

 

เซียงฉือมองดูหิมะที่ตกหนักด้านนอกแล้วรีบส่งคนออกนอกตำหนักไปเชิญหมอหลวง เวลานี้ค่อนข้างดึกแล้ว นางดึงเสียวสี่จื่อไว้แล้วสั่งว่า  

 

 

“รีบไปกองโอสถเชิญใต้เท้าซู่เวิ่นมาที่นี่”  

 

 

หรงจิงได้ยินคำพูดเซียงฉือก็พยักหน้า เสียวสี่จื่อจึงรีบไปจัดการอย่างแคล่วคล่องว่องไว ถึงเขาจะยังอายุน้อย แต่ฝึกฝนอยู่ข้างกายหรงจิงมาได้ช่วงหนึ่งทำให้ได้เพิ่มพูนประสบการณ์ยิ่งขึ้น  

 

 

เขารีบพุ่งไปโดยไม่กล้ารีรอแม้สักครู่เดียว  

 

 

ขุนพลหลินถูกคนช่วยกันหามเข้าไป เซียงฉือเห็นใบหน้าเขาเป็นสีเทาออกเขียวคล้ำ ร่างกายเริ่มแข็ง สีหน้าหม่นคล้ำดูไม่ดียิ่ง ทำให้นางกังวลขึ้นมา  

 

 

หรงจิงคิ้วขมวดรีบเดินเข้าไป เขาประคองขุนพลเฒ่าขึ้น ตรวจดูลมหายใจเบาๆ  

 

 

“ขุนพลหลิน ขุนพลหลิน”  

 

 

เซียงฉือสั่งให้คนนวดมือเท้าทั้งสี่ของขุนพลเฒ่าเพื่อช่วยสร้างความอบอุ่น มือเท้าของผู้เฒ่าสูงอายุล้วนคล้ายกับก้อนน้ำแข็ง  

 

 

ซู่เวิ่นมาถึงอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นสภาพขุนพลหลินแล้วนางจัดวางกล่องยาลงแล้วรีบตรวจชีพจร หลังจากถามคำถามเล็กน้อยแล้วจึงเขียนใบสั่งยา  

 

 

“ฝ่าบาท ขุนพลเฒ่าเพราะความหนาวเย็นเข้าสู่ร่างกายทำให้โรคเก่ากำเริบ เวลานี้อันตรายอย่างยิ่ง หากให้อยู่ในตำหนักเกรงว่า”  

 

 

ความหมายที่ซู่เวิ่นต้องการสื่อคือเขาไม่ควรมาตายอยู่ในตำหนักที่หรงจิงอยู่ แต่หรงจิงยื่นมือออกห้ามไม่ให้ซู่เวิ่นพูดเรื่องที่อยากพูดต่อ  

 

 

“ขุนพลหลินตรากตรำเพื่อชาติมาทั้งชีวิต บาดแผลแต่ละแห่งบนร่างไหนเลยจะไม่ใช่ได้มาจากการรบทัพจับศึกเพื่อชาติ ไยต้องมาคำนึงถึงธรรมเนียมที่ไม่จำเป็นพวกนั้นอีก เรามีคำขอเดียวเท่านั้น รักษาเขาให้หาย”  

 

 

ซู่เวิ่นผงกศีรษะน้อยๆ เมื่อได้ยิน  

 

 

“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ หม่อมฉันจะพยายามสุดความสามารถ”  

 

 

พอพูดจบซู่เวิ่นก็หมุนกายไปเปิดห่อเข็ม นางสั่งให้คนถอดเสื้อผ้าขุนพลหลินออก แต่เมื่อคิดอยู่ครู่หนึ่งรู้สึกไม่เหมาะสมจึงพูดขึ้น  

 

 

“หม่อมฉันจะทำการฝังเข็มให้ขุนพลหลิน ทูลเชิญฝ่าบาทและอวิ๋นผินเสด็จเลี่ยงออกก่อนนะเพคะ  

 

 

หรงจิงมองดูขุนพลหลินอย่างเป็นห่วง แต่เซียงฉือรู้ถึงความไม่เหมาะสมจึงดึงหรงจิงแล้วพูดขึ้น  

 

 

“ฝ่าบาททรงเป็นห่วงขุนพลเฒ่า แต่ว่าห้องคับแคบนัก หากฝ่าบาทยังคงประทับอยู่ในนี้เกรงว่าใต้เท้าซู่เวิ่นจะไม่สามารถทำการช่วยเหลือได้เต็มที่ ทรงรออยู่ที่ด้านนอกเถิดเพคะ”  

 

 

พอเซียงฉือพูดแบบนี้หรงจิงจึงหมุนกายออกไปจากที่เดิม เซียงฉือสูดหายใจเข้าลึก นางหันไปมองขุนพลหลินที่สีหน้าย่ำแย่แล้วพูดว่า  

 

 

“ฝ่าบาทควรมีรับสั่งให้ลูกๆ ขุนพลหลินเข้าวังมาให้พร้อมหน้าเพื่อความไม่ประมาทนะเพคะ”  

 

 

หรงจิงเข้าใจความหมายในคำพูดของเซียงฉือ หากเกิดเหตุสุดวิสัยกับขุนพลหลินก็จะใช้โสมพันปีเพื่อยื้อชีวิตไว้ให้ได้สั่งเสียความที่อยากจะพูด หากถึงตอนนั้นค่อยให้ไปตามคนที่จวนขุนพลหลินก็จะไม่ทันการ  

 

 

หรงจิงฟังคำพูดนั้นด้วยความเศร้าใจ ถึงจะรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ชอบด้วยธรรมเนียมปฏิบัติ แต่ก็พยักหน้าให้เซียงฉือไปจัดการ  

 

 

เซียงฉือกวักมือเรียกซูกงกงไปที่ด้านข้างแล้วกระซิบสั่งความข้างหูเขา ซูกงกงฟังอย่างเข้าใจแล้วจึงสั่งคนที่คล่องงานไปดำเนินการ  

 

 

เซียงฉือหันกายกลับมาเห็นหรงจิงแล้วใจก็หม่นลง นางเดินไปที่ข้างหน้าต่าง ฟ้าเบื้องนอกมืดลงทุกขณะ พอถึงฤดูหนาว พระอาทิตย์มักจะตกอย่างรวดเร็วกว่าปกติ  

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset