บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 606 คนใกล้ตัว / ตอนที่ 607 เตือนสติเหล่าขุนศึก

ตอนที่ 606 คนใกล้ตัว  

 

 

หรงจิงกับหยางกั๋วกงเพิ่งสนทนากันจบก็เห็นแม่ทัพมู่หรงและขุนพลจินปรากฏกายขึ้นพร้อมกัน หรงจิงจึงหยุดการสนทนาแล้วพยักหน้าให้ทุกคนเดินเข้าไปในห้อง  

 

 

หรงจิงนั่งลงแล้วมองดูเหล่าคนเบื้องล่าง ยิ้มอย่างอ่อนโยน  

 

 

“จัดน้ำชาให้ใต้เท้าทุกท่าน”  

 

 

เมื่อหรงจิงมีคำสั่ง ซูกงกงจึงนำนางกำนัลหลายคนออกมาเสริฟน้ำชาให้ขุนพลทั้งหลาย ขุนพลมู่หรงดื่มเพียงคำเดียวก็วางถ้วยชาลงโดยแรง หยางกั๋วกงเพียงจิบคำเล็กแล้วสีหน้าก็แข็งเกร็งขึ้นมา แต่พอเห็นท่าทางของหรงจิงแล้ว จึงดื่มอีกคำหนึ่ง  

 

 

“น้ำชาของฝ่าบาทยังคงเป็นดั่งเก่าก่อน เป็นชาหลงจิ่งที่กระหม่อมโปรดปราน เป็นพระกรุณายิ่งที่ฝ่าบาทยังทรงจำได้พ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

คำพูดหยางกั๋วกงสร้างความไม่พอใจให้ขุนพลมู่หรงขึ้นทันที  

 

 

“ปล่อยน้ำชาจนเย็นชืดเช่นนี้ เป็นความไม่ใส่ใจของคนรับใช้ข้างพระวรกายฝ่าบาท ฝ่าบาทจะทรงอภัยโทษบ่าวพวกนี้ง่ายๆ ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ  

 

 

หรงจิงฟังแล้วได้แต่ยิ้มไม่พูด ขุนพลจินจึงพูดขึ้นต่อทันที  

 

 

“ขุนพลมู่หรงกล่าวได้มีเหตุผล คนข้างพระวรกายฝ่าบาทเป็นคนใกล้ชิดที่ฝ่าบาททรงเมตตาไว้ใจพวกเขาที่สุด แต่ก็ทรงถูกพวกเขาปิดบังอำพรางง่ายที่สุดด้วยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทควรทรงวินิจฉัยและฟังความเห็นของเหล่าขุนนางให้มากเพื่อจะได้ทรงทราบครบทุกแง่มุมนะพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

หรงจิงยังคงยิ้มและจิบชาไม่พูดอะไร หยางกั๋วกงนิ่งเงียบรอคอยแม่ทัพเฉาเอ่ยปาก แม่ทัพเฉาจิบชาแล้วมองดูท่าทางโกรธขึ้งของคนทั้งสองแล้วพูดกึ่งหยอกล้อขึ้นว่า  

 

 

“ฝ่าบาทพระราชทานน้ำชา พวกเราที่เป็นข้าราชบริพารควรต้องดีใจสิ ท่านพี่ทั้งสองเป็นอะไรไป จะไม่เป็นการไม่สำนึกในพระกรุณาหรอกหรือ”  

 

 

หรงจิงฟังแล้วคิดว่าเจ้านี่เป็นตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ จึงพูดขึ้นช้าๆ  

 

 

“เราจัดให้ชงน้ำชาที่โปรดปรานของขุนพลทุกท่านมาให้ หยางกั๋วกงชื่นชอบหลงจิ่งที่สุด ขุนพลจินและขุนพลมู่หรงชมชอบชิงไม่ ส่วนแม่ทัพเฉาโปรดชาขิงที่สุด หรือว่ามีปัญหาอะไรหรือ”  

 

 

หรงจิงขมวดคิ้วมองดูขุนนางใหญ่ทั้งสี่ด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ ขุนพลมู่หรงมีนิสัยโผงผางจึงรีบพูดขึ้นทันที  

 

 

“ฝ่าบาททรงใส่พระทัยในกระหม่อม กระหม่อมสำนึกและจดจำในพระกรุณา แต่เพราะน้ำชาเย็นชืดไปแล้ว กระหม่อมก็แก่ตัวแล้วจะมีปัญหาในการย่อยจึงคิดจะถามซูกงกงว่าปกติเขารับใช้ฝ่าบาทเช่นนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

พอแม่ทัพมู่หรงพูดขึ้น ขุนพลจินก็รีบตาม  

 

 

“ถึงเรื่องนี้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เรื่องของฝ่าบาทเป็นเรื่องของบ้านเมือง ไหนเลยยังจะเป็นเรื่องเล็กได้ เมื่อเป็นเช่นนี้เรื่องนี้จึงควรให้ความสำคัญนะพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

ซูกงกงได้ยินก็ปล่อยแขนห้อยลงเงียบๆ แล้วแอบมองหรงจิง  

 

 

เมื่อหรงจิงไม่พูด ขุนนางใหญ่ทั้งหลายก็พากันว่าซูกงกงสาดเสียเทเสีย  

 

 

รอจนกระทั่งแม่ทัพมู่หรงกับขุนพลจินพูดจนเหนื่อยแล้ว เขาจึงได้เอ่ยปาก  

 

 

“เรื่องนี้หยางกั๋วกงเห็นเป็นอย่างไรบ้าง”  

 

 

หยางกั๋วกงหันกายกลับมาแล้วประสานมือค้อมกายเล็กน้อยพูดอย่างนอบน้อมว่า  

 

 

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา กระหม่อมชื่นชอบหลงจิ่งที่สุด เป็นพระกรุณาที่ทรงใส่พระทัยพ่ะย่ะค่ะ น้ำชาเย็นชืดไปแล้วซึ่งหมายความว่าพวกกระหม่อมทำให้ฝ่าบาทต้องทรงคอยนาน ถึงอย่างไรก็ใช้น้ำร้อนในการชง เป็นความผิดของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

หรงจิงฟังแล้วเกิดความรู้สึกว่าพวกปลิ้นปล้อนกลับกลอกที่เจนโลกก็เพียงเท่านี้ จึงยิ้มแล้วพูดว่า  

 

 

“เราสั่งให้ซูกงกงชงแบบนี้เอง เมื่อขุนพลทุกท่านมาถึงก็ให้ยกมาให้ แต่ใต้เท้าทุกท่านไม่ตำหนิเรากลับยกเป็นความผิดแล้วโทษซูกงกงไปเสียทั้งหมด แบบนั้นก็อยุติธรรมต่อเขาแย่สิ เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะคำสั่งของเรา”  

 

 

เมื่อหรงจิงพูดเช่นนี้ ขุนพลมู่หรงและขุนพลจินก็สบตากันแล้วยิ้มพูดว่า  

 

 

“ฝ่าบาททรงมีพระเมตตา เป็นเพราะพวกกระหม่อมศึกษาไม่รอบคอบพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

หรงจิงฟังแล้วไม่พูดอะไรมาก เพียงยิ้มน้อยๆ แล้วพูดต่อ  

 

 

“ในเมื่อประเมินกันแบบนี้ แล้วอวิ๋นเซียงฉือมิใช่เฉกเช่นเดียวกันหรอกหรือ”  

 

 

น้ำเสียงหรงจิงเย็นเยียบ เหล่าพวกด้านล่างพลันเข้าใจเจตนาของหรงจิงในครั้งนี้จึงพากันสงบปากสงบคำ  

 

 

หรงจิงมองดูพวกคนเบื้องล่างพร้อมกับดื่มน้ำชาที่ซูกงกงชงให้  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 607 เตือนสติเหล่าขุนศึก  

 

 

ในตำหนักเงียบเสียงอย่างหาได้ยาก ทั้งบรรดาใต้เท้าก็เงียบไม่พูดอะไรในเรื่องนี้อย่างยากจะได้เห็นเช่นกัน หรงจิงเปิดถ้วยช้าค่อยๆ จิบแล้วพูดว่า  

 

 

“ทุกท่านล้วนเป็นเสาหลักของบ้านเมือง เป็นขุนนางใหญ่ที่เราไว้ใจที่สุดและพึ่งพาอาศัย วันนี้ที่เราเรียกพวกท่านให้มารวมกันที่นี้ก็เพราะมีเรื่องที่อยากจะพูดกับทุกท่าน”  

 

 

หรงจิงวางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะ เขามองดูขุนนางใหญ่ทั้งสี่รอบๆ แล้วพูดขึ้น  

 

 

“ท่านขุนศึกใหญ่ทุกท่านล้วนเป็นคนที่เราไว้วางใจอย่างยิ่ง ทุกท่านต่างมีบรรดาศักดิ์ชั้นกง [1] ขั้นที่หนึ่ง มีความดีความชอบจากการศึกโดดเด่นเป็นที่ปรากฏ เราหวังว่าลาภยศของพวกท่านจะคงอยู่คู่บ้านเมืองตลอดไป เพราะมันคือเกียรติยศจากการอาบเลือดในสมรภูมิของพวกท่านและการสร้างคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ แต่ทว่าก็เพียงเท่านี้  

 

 

เราไม่ปรารถนาให้ต้องใช้กำลังประหัตประหารกับพวกท่านในวันหนึ่งวันใด เราจึงหวังว่าพวกท่านจะใช้ชีวิตกันอย่างสุขสงบ อย่าได้คิดอ่านอะไรให้มากเกินไป เราหวังว่าทุกท่านจะจดจำคำพูดของเราไว้และถือเอาเรื่องนี้เป็นบทเรียน”  

 

 

สีหน้าหรงจิงเคร่งขรึม คำพูดจริงจัง นี่คือคำเตือนครั้งแรกจากเขา เป็นการเตือนใครบางคนและเป็นการบอกแก่พวกเขาว่า ถ้าหากพวกเขากระทำเกินเลยไป เขาจะไม่ยอมปล่อยไปโดยง่ายอย่างเด็ดขาด  

 

 

เมื่อหรงจิงพูดจบ ขุนศึกใหญ่ทั้งหลายลุกขึ้นแล้วคุกเข่าลงทันที  

 

 

“น้ำพระทัยที่ทรงทุ่มเทของฝ่าบาท พวกกระหม่อมจะจดจำและปฏิบัติตามพระปรีชาชาญ มิบังอาจล่วงล้ำพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

หรงจิงเห็นพวกเขาคุกเข่าแต่ไม่ได้เรียกให้ลุกขึ้นทันที เขาพูดต่อไป  

 

 

“เราไม่ต้องการเป็นจักรพรรดิเหี้ยมโหด จึงหวังว่าพวกท่านจะไม่บีบคั้นกดดันเราไปถึงจุดนั้น ขุนศึกทุกท่านล้วนเป็นแขนซ้ายขวาของเรา หวังว่าจะไม่ทำให้เราต้องผิดหวัง”  

 

 

ขุนศึกทุกคนพากันโขกศีรษะโดยแรงและรับคำพร้อมกัน  

 

 

“พวกกระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

หรงจิงพยักหน้า เขาเป็นฮ่องเต้มาหลายปี การประหารขุนนางที่มีความดีความชอบมักถูกจัดเป็นการกระทำของฮ่องเต้ที่โหดเหี้ยม แต่บางทีก็เป็นเพราะว่าไม่มีทางเลือก  

 

 

เขามองดูขุนศึกใหญ่ทั้งสี่เบื้องล่างแล้วพูด  

 

 

“ท่านขุนพลทั้งหลายลุกขึ้นเถิด”  

 

 

หรงจิงพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอย่างยิ่ง แต่บรรยากาศในตำหนักเจิ้งหยางเวลานี้แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ได้ผ่อนคลายเฉกเช่นเดียวกับเมื่อตอนแรกแล้ว กลายเป็นความอึดอัดขึ้นมา หรงจิงมองดูรอบๆ แล้วพูดต่อว่า  

 

 

“เรื่องขุนพลหลินเราไม่ได้ปรารถนาให้เป็นไปเช่นนั้น ซึ่งเราเองก็ละอายใจมาก ขุนพลเฒ่าซื่อสัตย์ภักดี เราจึงจะเลื่อนให้มีบรรดาศักดิ์เป็นกงโหวขั้นที่หนึ่ง มีราชทินนามว่าหมิงกั๋วกง อวยยศบุตรชายคนโตให้เป็นเสนาบดีฝ่ายกิจการทหารแห่งจิ้งโจว บุตรชายคนเล็กเป็นนายกองกองทหารรักษาพระองค์ และให้คัดเลือกหญิงสาวบ้านสกุลหลินที่มีอายุเหมาะสมเข้าวังเป็นกุ้ยเหริน”  

 

 

หรงจิงหยุดลงครู่หนึ่งแล้วพูดว่า  

 

 

“ทุกท่านยังมีสิ่งใดที่จะเรียกร้องให้เขาอีกหรือไม่”  

 

 

ขุนศึกเฒ่าทั้งสี่มองตากันแล้วถอนใจยาวเบาๆ ขุนพลมู่หรงคิดอยากพูดแต่เมื่อคิดถึงคำพูดเมื่อครู่ของหรงจิงได้จึงประสานมือพูดอย่างจำยอมว่า  

 

 

“กระหม่อมเห็นว่าฝ่าบาททรงเมตตาท่านขุนพลเฒ่าอย่างดีแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ต้องดูแลเพิ่มอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

หรงจิงพยักหน้า ขุนพลจินขมวดคิ้วแน่นเหมือนมีความในใจที่ยังไม่ได้คลายออก หรงจิงจึงถาม  

 

 

“ขุนพลจินไม่พูดอะไรเลยเอาแต่คิ้วขมวด คงจะต้องการเพิ่มเติมอะไรในเรื่องนี้กระมัง พูดออกมาเถอะ เราจะพิจารณาตามสถานการณ์”  

 

 

ขุนพลจินตกตะลึงเมื่อถูกหรงจิงทักจึงรีบกำหมัดประสานมือต่อหรงจิงแล้วพูดว่า  

 

 

“กระหม่อมสำนึกในพระกรุณาธิคุณของฝ่าบาทแทนขุนพลหลิน กระหม่อมไม่มีสิ่งใดจะเพิ่มเติมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

แผนการมากมายที่ขุนพลจินเตรียมจะโทษเรื่องนี้ไปยังอวิ๋นเซียงฉือถูกเขาเก็บกลืนลงท้องไปจนหมดสิ้น  

 

 

คำเตือนของหรงจิงหลายครั้งที่เป็นเหมือนมีดใหญ่ ซึ่งความหมายของหรงจิงก็บ่งบอกอย่างชัดเจนยิ่งแล้ว  

 

 

เขาเท่านั้นที่เป็นผู้ปกครองเพียงหนึ่งเดียวของแคว้นนี้ ขุนนางใหญ่เหล่านี้ช่วยเขาบุกเบิกแผ่นดินซึ่งเขาจะสำนึกซาบซึ้ง แต่จะไม่มีทางปล่อยปละละเลยให้พวกเขาทำตามอำเภอใจเพราะเหตุนี้เป็นอันขาด  

 

 

ส่วนคำเตือนของเขาเป็นเหมือนคำขาดสุดท้าย แผนการที่เตรียมไว้แต่แรกถูกคำพูดของหรงจิงก่อกวนจนใช้ไม่ได้ และจิตใจเขาในเวลานี้ยุ่งเหยิงยิ่งนัก  

 

 

   

 

 

 

 

 

[1]   บรรดาศักดิ์ชั้นกง 公爵เป็นบรรดาศักดิ์พิเศษขั้นสูงสุดที่ฮ่องเต้จะอวยให้กับขุนนางผู้มีความดีความชอบ เทียบได้กับเจ้าพระยาของไทย  

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset