บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 608 โหรวผินสงสัย / ตอนที่ 609 โหรวผินตั้งครรภ์

ตอนที่ 608 โหรวผินสงสัย

 

 

เป็นเพราะคำเตือนของหรงจิง เรื่องนี้จึงได้จบลง การได้รับอวยยศให้เป็นกั๋วกงเช่นนี้นับเป็นสิ่งที่ดีที่จะช่วยให้บ้านสกุลหลินยืนหยัดต่อไปนานปีได้โดยไม่ล้ม

 

 

หรงจิงทำเช่นนี้ก็เพราะบังเกิดความละอายใจ เขาเป็นฮ่องเต้ เรื่องบางเรื่องเขาควรยื่นมือเข้าช่วยเหลือ และหากทำเช่นนี้แล้วพวกขุนนางใหญ่จะมุ่งไปใส่ใจกับงานสำคัญก็นับเป็นเรื่องที่ดี

 

 

ขณะเดียวกันในตำหนักเจียนเจีย โหรวผินเพิ่งตื่นนอนอย่างรู้สึกเกียจคร้าน ฝ่ายในยังไม่มีฮองเฮา ดังนั้นการไปคารวะยังตำหนักฮองเฮาทุกเช้าจึงเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น

 

 

เมื่อครั้งกุ้ยเฟยยังวางอำนาจบาตรใหญ่ นางจะสั่งบรรดาสนมชายาขั้นที่ต่ำกว่าให้ไปคารวะทุกวันยังตำหนักอวี้หยวนทำตัวไม่แตกต่างจากฮองเฮา แต่ต่อมาเป็นเพราะกุ้ยเฟยคร้านที่จะตื่นแต่เช้าจึงได้ยกเลิกเรื่องนี้ไป

 

 

โหรวผินนวดร่างกายที่อ่อนล้า ลืมตาขึ้นอย่างสงสัย

 

 

“เชวี่ยเอ๋อร์ ยามไหนแล้ว”

 

 

นางกำนัลข้างกายโหรวผินเลิกผ้ามุ้งขึ้นทันที ใบหน้ายิ้มแย้มตอบว่า

 

 

“โหรวผินทรงบรรทมสนิทตลอดคืน ยามเฉินเพิ่งจะผ่านไปเพคะ พระองค์จะทรงลุกขึ้นสระสรงหรือยังเพคะ”

 

 

โหรวผินรับคำเบาๆ และพูดขึ้นว่า

 

 

“ระยะนี้ทำไมตื่นสายนัก แปลกเหลือเกิน”

 

 

โหรวผินทอดถอนใจ สมองยังคงมึนงงอยู่ เมื่อเห็นพระอาทิตย์ข้างนอกขึ้นสูงแล้วจึงพูดว่า

 

 

“ควรจะตื่นตั้งนานแล้ว ระยะนี้ขี้เกียจขึ้นทุกที พอฝ่าบาทไม่เสด็จ พวกเจ้าก็ปล่อยข้าเสียจนเคยตัว”

 

 

ผิงหมัวหมัวเมื่อได้ยินคำพูดนี้จึงเดินยิ้มเข้ามา พูดด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนว่า

 

 

“โหรวผินบรรทมได้ดีเป็นเรื่องดีนะเพคะ สมัยก่อนที่หมัวหมัวรับใช้คุณหนูตอนคุณหนูตั้งครรภ์ก็นอนเก่งเพคะ ถ้าหากโหรวผินทรงครรภ์เป็นเรื่องที่ดียิ่งเพคะ”

 

 

โหรวผินได้ยินแล้วก็เลิกคิ้วท่าทางยินดี แต่เพียงชั่วครู่ก็สำรวมแล้วพูดว่า

 

 

“ผิงหมัวหมัวช่วยไปกองโอสถเชิญมู่เสวี่ยมาให้ที บอกนางว่าระยะนี้ข้านอนไม่หลับ ให้นางมาตรวจดูสักหน่อย”

 

 

จู่ๆ โหรวผินสั่งเช่นนั้นทำให้ผิงหมัวหมัวอึ้งไป แต่เมื่อรู้ตัวก็รีบออกนอกประตูไปทันที

 

 

มือของโหรวผินทาบลงบนท้องน้อยอย่างลืมตัว ระยะนี้นางพอจะรู้สึกได้บ้าง แม้ว่านางจะไม่เคยตั้งครรภ์มาก่อน แต่ว่านางอยู่ในวังมานานปีขนาดนี้ ยังจะมีสิ่งใดที่ไม่เคยพบเห็นอีกบ้าง

 

 

ขอเพียงมีความเป็นไปได้ นางจะต้องปกปักรักษาเอาไว้อย่างเต็มที่

 

 

 

 

พอคิดดังนี้รอยยิ้มบนใบหน้าจึงยิ่งงดงาม ความเกียจคร้านก็ลดน้อยลง เมื่อส่องกระจกมองตนเองอย่างเอาใจใส่ก็ราวกับสามารถมองเห็นใบหน้าฮองเฮาผ่านกระจกบานนั้น

 

 

นางใช้ชีวิตอยู่ในวังมานานปี ได้เห็นบรรดาสนมชายาเป็นเหมือนดั่งดอกไม้ผลิ นางมองดูพวกนางเบ่งบาน มองเห็นพวกนางโรยรา แล้วก็มาถึงคราวของนางในที่สุด

 

 

วันนั้นนางได้อยู่กับหรงจิง นับวันเวลาแล้วมีความเป็นไปได้อย่างมาก

 

 

“เชวี่ยเอ๋อร์ ไปเรียกหลัวอวี้มาพบข้า”

 

 

ใบหน้าโหรวผินอ่อนโยนเหมือนกับคนเป็นแม่ รอยยิ้มนางนุ่มนวลลึกซึ้ง เชวี่ยเอ๋อร์ถึงจะไม่รู้ว่ายามนี้โหรวผินต้องการจะทำอะไร แต่ก็ออกไปอย่างว่องไว

 

 

มู่เสวี่ยเป็นข้าราชสำนักสตรีที่โหรวผินส่งเข้าไปในกองโอสถ เดิมนางเป็นญาติบ้านสกุลเฉิน การให้นางเข้าวังมาก็เพื่อเป็นการวางตัวคนไว้ใช้สอยให้อยู่ในกองโอสถ

 

 

หลัวอวี้เข้ามาถึงตำหนักเจียนเจียก่อนก้าวหนึ่ง ตามด้วยมู่เสวี่ย มู่เสวี่ยทำความเคารพทันที

 

 

“ข้าราชสำนักสตรีกองโอสถถวายบังคมโหรวผินเพคะ”

 

 

โดยฐานะของมู่เสวี่ย นางมีศักดิ์เป็นญาติผู้น้องโหรวผิน การจะส่งนางให้เข้ามาได้ต้องสิ้นเปลืองกำลังไม่น้อยซึ่งนางรู้ดีและการที่โหรวผินเรียกนางมา นางจึงรู้ว่าต้องทำอย่างไร

 

 

“เป็นพี่น้องครอบครัวเดียวกันไม่ต้องมากมารยาทหรอก ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย มาตรวจชีพจรให้หน่อยเถิด”

 

 

วิชาการแพทย์ของมู่เสวี่ยทางวงศ์ตระกูลส่งไปร่ำเรียนมาเป็นการเฉพาะ ถึงจะไม่เก่งกาจเท่าซู่เวิ่นแต่ก็อยู่ในระดับดีที่ใช้การได้ ดังนั้นจึงมีโอกาสได้เข้าอยู่ในกองโอสถนี้

 

 

 

 

ตอนที่ 609 โหรวผินตั้งครรภ์

 

 

มู่เสวี่ยได้ยินคำสั่งโหรวผินแล้วก็จัดเตรียมหมอนรองแขนวางลงบนโต๊ะ โหรวผินให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีด้วยการวางแขนลงบนหมอนนั้น สายตาแทบจะไม่ละจากใบหน้าของมู่เสวี่ยเลย

 

 

เมื่อเห็นท่าทีที่ยากจะเข้าใจของนางแล้วก็ยิ่งร้อนรนขึ้นมา

 

 

“เป็นอย่างไร”

 

 

“เป็นอย่างไรกันแน่”

 

 

โหรวผินถามแล้วถามอีกอย่างร้อนใจ หลัวอวี้เห็นท่าทางตึงเครียดของมู่เสวี่ยแล้วจึงปลอบโหรวผินให้คลายกังวล

 

 

“โหรวผินอย่าเพิ่งทรงกังวลเลยพ่ะย่ะค่ะ การตรวจชีพจรต้องใช้ความรอบคอบระมัดระวัง ทรงรออีกสักครู่เถิดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

โหรวผินได้ยินคำพูดหลัวอวี้ก็รู้สึกตัวว่าร้อนใจเกินไปจึงปิดปากไม่สอบถามอย่างร้อนรนอีก ทว่าดวงตายังคงกระวนกระวายและคาดหวัง มองดูใบหน้าเคร่งขรึมของมู่เสวี่ยแล้วดูมือที่แตะอยู่บนข้อมือตนเองอย่างกังวลใจ

 

 

แล้วมู่เสวี่ยก็พูดขึ้นว่า

 

 

“โหรวผินโปรดทรงสงบพระทัยด้วยเพคะ มิเช่นนั้นหม่อมฉันไม่สามารถตรวจได้ชัดเจนเพคะ”

 

 

โหรวผินรู้สึกโกรธ นางมองมู่เสวี่ยแล้วถอนใจยาวทันที พูดขึ้นว่า

 

 

“ข้ารู้แล้ว”

 

 

มู่เสวี่ยได้ยินแล้วจึงเริ่มตรวจชีพจรให้โหรวผินใหม่ ผ่านไปครู่หนึ่งนางตระหนกขึ้นมาน้อยๆ จากนั้นมีรอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้า รีบคุกเข่าลงพูดว่า

 

 

“ยินดีด้วยเพคะ ทรงได้สมปรารถนาดั่งที่ตั้งพระทัยแล้วเพคะ”

 

 

โหรวผินตกใจเมื่อได้ยิน แล้วรอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้า นางจับมือมู่เสวี่ยแล้วถามว่า

 

 

“เจ้ามั่นใจ แน่นอนแล้วใช่ไหม”

 

 

มู่เสวี่ยผงกศีรษะพูดว่า

 

 

“หม่อมฉันตรวจสามรอบแล้วสามารถยืนยันได้ เดือนครึ่งแล้วเพคะ ขอให้โหรวผินทรงบำรุงครรภ์และดูแลพระองค์เองให้ดีด้วยเพคะ”

 

 

ความดีใจของโหรวผินปรากฏอยู่บนใบหน้าของทุกคนในตำหนักเจียนเจีย ผิงหมัวหมัวกับเชวี่ยเอ๋อร์คุกเข่าลงทันใด

 

 

“โหรวผินทรงมีพระบุญญาธิการ สามารถทรงครรภ์ได้แล้ว ตำหนักเจียนเจียเรามีเรื่องน่ายินดีเพิ่มขึ้นแล้ว”

 

 

“บ่าวจะส่งคนไปทูลฝ่าบาทนะเพคะ ฝ่าบาทจะได้ทรงยินดีไปด้วย”

 

 

เฉินหนานซูได้ยินดังนั้นท่าทางเคร่งขรึมขึ้นทันที พูดว่า

 

 

“ผิงหมัวหมัวช้าก่อน”

 

 

หลัวอวี้ได้ยินก็เข้าใจ รอยยิ้มบนใบหน้ากลายเป็นความละเอียดรอบคอบ เขาพูดขึ้นอย่างจริงจัง

 

 

“เรื่องนี้อย่าเพิ่งกราบทูลฝ่าบาท โหรวผินทรงครรภ์ยังไม่ถึงสามเดือนซึ่งมีโอกาสแท้งได้ง่าย พวกเราควรต้องรอบคอบระมัดระวังกันหน่อยจะดีกว่า”

 

 

พอได้ยินที่หลัวอวี้พูด ผิงหมัวหมัวจึงผงกศีรษะเหมือนเพิ่งตื่นจากฝันไม่พูดว่าจะไปกราบทูลฝ่าบาทอีก นางลุกขึ้นแล้วไปยืนข้างกายโหรวผิน

 

 

โหรวผินให้มู่เสวี่ยลุกขึ้น สีหน้าดีใจอย่างสุดขีดค่อยๆ เปลี่ยนไป จากนั้นจึงพูดว่า

 

 

“ข้าตั้งครรภ์ได้ควรเป็นเรื่องน่ายินดี แต่ข้าต้องการปกป้องลูกคนนี้ให้ดีไม่ให้ใครมาทำร้ายเขาได้ ดังนั้นทุกคนในที่นี้ถึงแม้จะรู้ว่าข้าตั้งครรภ์ ก็ห้ามไม่ให้พูดออกไปแม้แต่คำเพียว มิเช่นนั้นข้าจะไม่ยกโทษให้เด็ดขาด”

 

 

ทุกคนนั้นที่นั้นต่างรีบคุกเข่าลงแล้วพูดขึ้นพร้อมกัน

 

 

“บ่าวมิกล้า”

 

 

เมื่อโหรวผินได้ยินเสียงตอบรับจากพวกเขาแล้วสีหน้าค่อยดีขึ้นบ้าง นางลูบท้องน้อยตนเองเบาๆ ถึงแม้บริเวณนั้นจะยังไม่นูนขึ้นมา ทว่านางดีใจอย่างยิ่ง

 

 

นางสะบัดมือให้มู่เสวี่ยกับผิงหมัวหมัวออกไป เรื่องที่ต้องจัดการก็สั่งการไปหมดแล้ว เรื่องที่ควรตรวจสอบควรตระเตรียมก็เตรียมการอย่างไม่บกพร่อง นางเหลือหลัวอวี้ไว้เพราะมีเรื่องคุยด้วย

 

 

ใบหน้าโหรวผินยังเปี่ยมความสุขเป็นที่หนึ่งจากการตั้งครรภ์ หลัวอวี้พูดขึ้นว่า

 

 

“บ่าวขอถวายความยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ ในที่สุดก็ทรงสมหวัง หากวันใดให้ประสูติกาลพระโอรส เช่นนั้นตำแหน่งฮองเฮาก็อยู่ไม่ไกลแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

โหรวผินฟังคำพูดนั้นแล้วพลันไม่พอใจขึ้นมา นางมองหลัวอวี้แล้วพูดว่า

 

 

“ตำหนักเฟิ่งอี๋มีคนเข้าไปอยู่ก่อนข้าแล้ว คนคนนั้นไม่ใช่ข้าสักหน่อย หลัวอวี้ ลูกของอวิ๋นเซียงฉือโตกว่าของข้าสักเดือนกว่าได้กระมัง”

 

 

หลัวอวี้ได้ยินดังนั้นสายตาก็เย็นเยือกขึ้น มองดูโหรวผินแล้วถามเสียงเบา

 

 

“โหรวผินทรงคิดจะจัดการอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าโหรวผิน นางยกมือให้หลัวอวี้ยื่นหูเข้าไปหา

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset