บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 610 เซียงฉือกับจิ้งเฟย / ตอนที่ 611 จิ้งเฟยชี้แนะ

ตอนที่ 610 เซียงฉือกับจิ้งเฟย

 

 

อวิ๋นเซียงฉือกำลังนั่งอยู่ตรงข้ามกับจิ้งเฟยภายในห้อง สีหน้าดีขึ้นกว่าเมื่อวานมาก

 

 

สีหน้าจิ้งเฟยไม่ได้แตกต่างไปจากที่เคย สายตานางสงบนิ่ง นั่งดื่มชาอย่างสบายๆ อวิ๋นเซียงฉือเห็นท่าทางนางแล้วก็รำพึงขึ้น

 

 

“พี่หญิงจิ้งเฟยไม่ได้เสด็จมานานแล้ว ระยะนี้แลดูสีพระพักตร์ดีเชียวเพคะ”

 

 

แววตาอวิ๋นเซียงฉือเจือความยินดีจางๆ จิ้งเฟยวางถ้วยชาลงแล้วพิจารณานางอยู่นาน จากนั้นจึงทอดถอนใจเบาๆ พูดว่า

 

 

“น้องหญิงตั้งครรภ์ ทั้งยังเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทอีก ช่างมีบุญวาสนาหนักนัก ตอนนี้เป็นอวิ๋นผินแล้ว อีกไม่กี่เดือนลูกคลอดแล้วฝ่าบาทคงแต่งตั้งเจ้าขึ้นเป็นเฟย ถึงตอนนั้นแม้แต่จินกุ้ยเฟยที่เคยเป็นที่โปรดปรานเหนือใครในฝ่ายในก็ไม่อาจทัดเทียมได้”

 

 

อวิ๋นเซียงฉือพิจารณาจิ้งเฟยอย่างละเอียด นางไม่ใช่คนที่จะพูดคำริษยาตามอารมณ์ สายตานางสงบนิ่ง ยามมองเซียงฉือก็มีความสนิทสนมเป็นพิเศษอย่างบอกไม่ถูก

 

 

เซียงฉือฟังที่จิ้งเฟยพูดแล้วคิดว่าการที่นางมาถึงตำหนักเฟิ่งอี๋ในเวลานี้ คงไม่ใช่เพราะสาเหตุนี้เป็นแน่

 

 

นางคิดแล้วจึงถามขึ้นว่า

 

 

“พี่หญิงตรัสเช่นนี้หมายความอย่างไรเพคะ หม่อมฉันฟังไม่เข้าใจ จะมีใครไปแย่งความเป็นคนโปรดของจินกุ้ยเฟยในฝ่ายในได้ด้วยหรือเพคะ ความคิดของฝ่าบาทก็ใช่ว่าพวกเราจะคาดเดาได้ด้วยสิเพคะ”

 

 

อวิ๋นเซียงฉือพูดไปแล้วก็มองดูจิ้งเฟย เมื่อเห็นนางส่ายหน้าก็รู้ว่าตนเองคิดผิด จึงพูดอีก

 

 

“วันนี้พี่หญิงจิ้งเฟยว่าง ก็โปรดทรงเล่าให้หม่อมฉันฟังด้วยเถิดเพคะ”

 

 

จิ้งเฟยจับถ้วยชา เล็บมือที่ทาสีแดงกระวานเคาะลงบนถ้วยเบาๆ พูดว่า

 

 

“น้องหญิงแต่ไรมาเป็นคนฉลาด ช่วงนี้ที่อยู่ข้างพระวรกายฝ่าบาทก็เรียนรู้ที่จะจับคำพูดอ่านสีหน้าคนได้ จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าตัวเองกำลังอยู่ในวังน้ำวน ควรรู้ไว้ว่าฝ่ายในกับราชสำนักฝ่ายหน้านั้นมีการรับรู้ถึงกันตลอดมา”

 

 

เซียงฉือเริ่มตระหนกและเข้าใจความหมายก่อนหน้าของจิ้งเฟยขึ้นมา นางหลุบตาต่ำเล็กน้อยนิ้วมือกำแน่นขึ้น มองดูท่าทางเรื่อยเฉื่อยของจิ้งเฟยที่ด้านข้างแล้วจึงสะบัดมือให้คนอื่นๆ ออกไป

 

 

ท่าทางนางจริงจังขึ้น เมื่อค่อยๆ หันกลับไปทางจิ้งเฟยแล้วก็พูดเสียงเบาลงอีก

 

 

“พี่หญิงจิ้งเฟยเสด็จมาเตือนหม่อมฉันโดยเฉพาะ หม่อมฉันซาบซึ้งนัก แต่ก็นั่นแหละเพคะ สตรีที่ฝ่ายในนั้นไม่ได้เป็นตัวของตัวเองมาตั้งแต่ต้นแล้ว พวกเราคนไหนบ้างที่ไม่ใช่หมากบนกระดานของฝ่าบาท พระองค์ทรงประสงค์ให้พวกเราทำอะไร ไหนเลยจะทรงต้องการความเห็นของพวกเรา ถึงแม้น้องจะได้รับโปรดปรานมาก แต่มีกำลังน้อยอย่างน่าสงสารเมื่ออยู่ในหมากของราชสำนักเพคะ”

 

 

จิ้งเฟยฟังแล้วส่ายหน้า จับมือเซียงฉือไว้แล้วพูดว่า

 

 

“วันเวลาในวังยังอีกยาวนาน เหตุใดน้องหญิงถึงได้พูดอะไรไม่เป็นมงคลเช่นนี้ คนเราควรต้องดำรงชีวิตและให้ตนเองอยู่รอดได้”

 

 

“ถึงคนอื่นจะเห็นเจ้าเป็นตัวหมาก และเจ้าก็ยอมทำตัวเป็นหมากจริงๆ เช่นนั้นแล้วหนทางของเจ้าจะไปได้ไกลอีกสักเท่าไหร่เชียว เจ้าจะต้องเป็นคนอ่านเกมวางแผน แบบนั้นจึงจะมีค่าสมน้ำสมเนื้อ”

 

 

อวิ๋นเซียงฉือฟังคำพูดจิ้งเฟยแล้วตะลึงงัน สตรีฝ่ายในเหล่านี้มีใครบ้างที่ไม่ได้ต่อสู้หล่อหลอมมาอย่างโชกโชน โดยเฉพาะจิ้งเฟย นางสามารถรักษาอาณาจักรเล็กๆ ของนางมาได้ ไม่ใช่เพราะการปิดเกมอย่างมีการวางแผนหรอกหรือ

 

 

คำพูดของจิ้งเฟยทำให้แววตาเซียงฉือสดใสขึ้น นางมองจิ้งเฟยด้วยกำลังวังชาของหญิงสาวและรอยยิ้มอ่อนโยนลึกซึ้ง

 

 

“คำพูดเพียงประโยคเดียวของพี่หญิงเหนือกว่าตำราที่หม่อมฉันศึกษามาสิบปี หม่อมฉันซาบซึ้งต่อพี่หญิงยิ่งนักเพคะ”

 

 

จิ้งเฟยส่ายหน้าน้อยๆ  ยิ้มอย่างเย้ยหยันตนเอง นางก้มหน้าลงเล่นกับนิ้วของตน มองอยู่นานกว่าจะเงยหน้ามองเซียงฉือ

 

 

“ไม่จำเป็นต้องพูดเช่นนี้กับข้าหรอก”

 

 

 

 

ตอนที่ 611 จิ้งเฟยชี้แนะ

 

 

จิ้งเฟยเป็นพระชายาที่อาวุโสที่สุดในวังนี้ อายุขององค์หญิงหรงเย่ว์เท่ากับเสื้อกันหนาวบนกายนาง เป็นทิวทัศน์ที่หาได้ยากที่สุดภายในวังแห่งนี้

 

 

นิ้วมือจิ้งเฟยพันผ้าเช็ดหน้ากลับไปกลับมาเล่นอยู่ ท่าทางนางดูหงอยเหงา เซียงฉือไม่ทันได้พูดอะไรจิ้งเฟยก็พูดขึ้นว่า

 

 

“ผู้คนในวังไม่ว่าผู้ยิ่งใหญ่ ผู้น้อยหรือแม้กระทั่งแมวสักตัวต่างล้วนมีวิธีที่จะดำรงชีวิตให้อยู่รอด เจ้าเข้าวังมาก็เป็นนางกำนัล แต่วิธีดำรงชีวิตของนางกำนัลกับพระชายานั้นไม่เหมือนกัน”

 

 

จิ้งเฟยเคาะศีรษะเบาๆ แล้วพูดขึ้นอย่างอ่อนใจ

 

 

“ข้าอายุมากเรียกตัวเองว่าพี่ แต่พูดเรื่องไม่เป็นเรื่อง น้องหญิงคิดเสียว่าฟังนิทานก็แล้วกัน”

 

 

เซียงฉือยื่นมือหยุดไว้ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า

 

 

“เปลี่ยนเป็นกลิ่นไม้จันทน์ที่พี่หญิงโปรดดีกว่า วันนี้ไอน้ำลงแรง ขจัดความชื้นสักหน่อยก็ดีนะเพคะ”

 

 

เซียงฉือพูดแบบนั้นจิ้งเฟยจึงยิ้มน้อยๆ แล้วผงกศีรษะ เซียงฉือไม่มีเครื่องหอมที่โปรดปรานเป็นพิเศษ เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านก็จะจุดอวี้หรงเซียงทุกวัน ให้พอมีกลิ่นหวานเลี่ยนออกมาเท่านั้น

 

 

แต่พอเข้ามาอยู่ในวังแล้วนางก็ไม่ได้ใส่ใจจุดเครื่องหอมอีก ส่วนจิ้งเฟยนั้นบูชาพระมาตลอด เซียงฉือมองดูหิมะขาวโพลนด้านนอก นางยิ้มแล้วจึงได้ถามขึ้นเช่นนี้

 

 

หลิ่วจุ้ยยกเครื่องหอมไม้จันทน์เข้ามาวางไว้ด้านหลังคนทั้งสอง แล้วน้อมกายหมุนตัวจากไป จิ้งเฟยยิ้มพูดว่า

 

 

“เจ้ายังไปนำหลิ่วจุ้ยมาจากข้างกายจินกุ้ยเฟยอีก แม้ว่าพวกคนเก่าคนแก่จะใช้งานได้คล่อง แต่เจ้ามาจากตระกูลใหญ่น่าจะรู้ว่าสาวใช้นั้นมาจากบ่าวไพร่ในตระกูลจะเหมาะที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวังเช่นนี้ คนสนิทใกล้ตัวไม่อาจจะไม่รอบคอบได้”

 

 

เซียงฉือส่ายหน้าน้อยๆ พูดว่า

 

 

“พี่หญิงเข้าพระทัยผิดแล้วเพคะ หม่อมฉันไม่เคยเห็นนางเป็นบ่าวมาก่อน นางเคยช่วยชีวิตหม่อมฉันไว้หลายครั้ง แตกต่างจากคนอื่นๆ พี่หญิงทรงกังวลไปแล้วเพคะ

 

 

จิ้งเฟยรู้ว่าตนเองพลั้งปากจึงยิ้มแล้วรีบพูดขึ้น

 

 

“เจ้าคิดแบบนี้นี่เอง เช่นนั้นก็คิดเสียว่าข้าไม่เคยพูดก็แล้วกันนะ”

 

 

เซียงฉือก็รู้สึกผิดเพราะจิ้งเฟยมีความหวังดี นางรู้ว่ามีหลิ่วจุ้ยอยู่ข้างกายทำให้นางวางใจอย่างมาก แต่นางไม่ต้องการให้หลิ่วจุ้ยต้องอยู่ในวังทั้งชีวิต จากนางกำนัลเล็กๆ อยู่จนเป็นโมโม สุดท้ายทั้งชีวิตต้องจมอยู่ภายในกำแพงเหน็บหนาวของวังนี้

 

 

โลกใบนี้ออกจะกว้างใหญ่ นางควรจะได้ออกไปเจอโลกภายนอกบ้างจึงจะถูก

 

 

เซียงฉือมีความคิดเช่นนี้แต่ไม่อาจพูดออกมาได้ เพราะจะทำให้คนอื่นสงสัยเกินไป นางมองดูตรงที่หลิ่วจุ้ยหายไปใบหน้าผุดยิ้มน้อยๆ อย่างไม่เป็นที่สังเกต

 

 

จิ้งเฟยอังมือลงบนเตาอุ่น ถอนใจเบาๆ แล้วพูดต่อ

 

 

“เพียงจะมาเล่านิทานให้น้องหญิงฟังแต่กลับมาพูดถึงเรื่องคนข้างตัวเสียนี่ น้องหญิงเป็นคนฉลาด เรื่องบางเรื่องถึงข้าไม่พูดเจ้าก็เข้าใจดี แต่ว่าในวังมีดอกไม้มากมายแข่งกันผลิดอก เต็มไปด้วยสาวงามที่บ้างงดงามพราวเสน่ห์ บ้างสวยงามสดใส ยังมีที่ผึ่งผายงดงามพากันเบ่งบาน มีคนไหนบ้างที่ฝ่าบาทจะไม่ทรงชื่นชอบ”

 

 

“แต่ดอกไม้ไม่อาจผลิบานอยู่ได้ตลอดไป การมีลูกสักคนอยู่ข้างกายจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เจ้าคงจะแปลกใจว่าทำไมซูเฟยซึ่งมีชาติกำเนิดสามัญทั้งไม่ได้มีอำนาจอะไรในราชสำนัก แต่สามารถถ่วงดุลอำนาจกับจินกุ้ยเฟยในวังนี้ได้”

 

 

เซียงฉือพยักหน้า นางมีความสงสัยจริงๆ ซูเฟยก็เคยเป็นข้าราชสำนักสตรี เมื่อได้รับโปรดแล้วจึงเลื่อนขึ้นเป็นกุ้ยเหรินต่อมาตั้งครรภ์ให้กำเนิดองค์หญิงหรงฟัง จึงเลื่อนขึ้นมาเป็นลำดับจนถึงตำแหน่งซูเฟย

 

 

“พี่หญิงไม่แก่งแย่งกับผู้ใดมาโดยตลอดแต่ทรงร่วมชีวิตกับฝ่าบาทมานานที่สุด ย่อมต้องเข้าใจความคิดฝ่าบาทได้ดีที่สุดกระมังเพคะ”

 

 

จิ้งเฟยส่ายหน้า นางยิ้มอย่างประหลาดแล้วพูดว่า

 

 

“นั่นล้วนเป็นการเลือกทางของชายาพวกนี้ จินกุ้ยเฟยวางอำนาจบาตรใหญ่ทำให้คนในฝ่ายในไม่กล้าขัดขืนนาง การมีซูเฟยอยู่แม้นางจะรังเกียจเดียดฉันท์แต่ก็ไม่กล้าแตะต้อง เป็นเพราะซูเฟยมีองค์หญิงหรงฟัง ฝ่าบาททรงคำนึงถึงองค์หญิง ดังนั้นเรื่องบางเรื่องจึงทรงปกป้องนาง”

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset