บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 278 สนทนายามค่ำ / ตอนที่ 279 ความเห็นที่คล้ายคลึง

ตอนที่ 278 สนทนายามค่ำ 

 

 

เซียงฉือเอ่ยปากหยั่งเชิงขึ้น 

 

 

“ฝ่าบาท หม่อมฉันคิดเสร็จแล้วเพคะ” 

 

 

เมื่อใกล้ถึงเวลาหนึ่งก้านธูป เซียงฉือจึงเริ่มพูด หรงจิงได้ยินแต่ก็ไม่ได้เงยหน้า เพียงส่งเสียงอ้อขึ้นเท่านั้น 

 

 

เมื่อได้ยินเสียงหรงจิงรับรู้เช่นนั้นแล้ว เซียงฉือจึงขยับลูกคอพูดขึ้นว่า 

 

 

“การจัดการน้ำท่วมควรดูตามช่วงเวลา แม่น้ำชิงที่ท่วมเอ่อในเวลานี้สถานการณ์ยังไม่รุนแรงนัก ตามวิธีการเสริมความแข็งแกร่งและเพิ่มการป้องกันเขื่อนของใต้เท้าหลิวนั้น ถ้าหากอุทกภัยรุนแรงขึ้น ฝนตกไม่หยุด การเสริมความแข็งแรงของเขื่อนก็ได้แต่เพียงประวิงเวลาไว้เท่านั้น ถ้าหากกระแสน้ำพังเขื่อนแตก ผลที่ตามมาจะยิ่งรุนแรงเพคะ” 

 

 

“มิสู้การจัดการน้ำของต้าอวี่ในอดีต ยอมเสียสละที่นาบางส่วนทางปลายน้ำ อพยพชาวบ้านในพื้นที่ แล้วเปิดทางน้ำจากแม่น้ำชิงไปทางตะวันออก วิธีนี้สมควรทดลองดูนะเพคะ” 

 

 

เซียงฉือดูแผนที่ด้านข้างของแม่น้ำชิง เห็นทางด้านขวามีผืนนาแห่งหนึ่ง ต่อจากนั้นสามารถถ่ายเทน้ำเข้าไปในภูเขาใหญ่ข้างๆ คิดว่าวิธีการนี้คงจะใช้ได้ 

 

 

เซียงฉือพูดไปแล้วแต่ไม่ได้รับคำตอบจากหรงจิง เมื่อรออยู่ครู่หนึ่ง อดไม่ได้ต้องเงยหน้าขึ้น 

 

 

“เอ่อ ฝ่าบาท…” 

 

 

พอนางเงยหน้าก็ประสานเข้ากับสายตาลึกล้ำของหรงจิงพอดี ทำให้เซียงฉือตะลึงและลนลาน 

 

 

หรงจิงพ่นลมออกจมูกเบาๆ แผ่รายงานในมือออกแล้วมองดูเซียงฉืออย่างเปิดเผย 

 

 

เซียงฉือถูกสายตาเช่นนั้นจ้องจนลนลาน แต่นางก็ไม่กล้าขยับหนีหรงจิงในทันที เพราะนางรู้สึกว่าสายตาลึกล้ำของหรงจิงในขณะนี้แฝงการค้นหาอยู่ ความรู้สึกเช่นนั้นทำให้นางไม่เป็นสุขอย่างยิ่ง ถึงจะดูเหมือนเยือกเย็นไม่สะทกสะท้านยามอยู่ต่อหน้าหรงจิง แต่ก็ถูกเขาจ้องมองจนใบหน้าเริ่มแดงเรื่อขึ้นมา 

 

 

“ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าที่นอกระเบียงหน่อย” 

 

 

เซียงฉือต้องรออยู่นานกว่าจะได้ยินหรงจิงพูดออกมา นางเดินไปด้านข้างหยิบเสื้อคลุม จากนั้นเดินไปด้านหลังหรงจิงแล้วคลุมให้เขา ทำความเคารพแล้วเดินไปกับเขา 

 

 

 ระเบียงตำหนักเจิ้งหยางยาวอย่างยิ่ง เชื่อมติดต่อกันทั้งสี่ด้านแปดทิศ และเชื่อมไปถึงศาลาห้าเหลี่ยมในสวน หรงจิงเดินอยู่ข้างหน้า เซียงฉือเดินตามรอยไปข้างหลังไม่กล้าส่งเสียง 

 

 

เมื่อไปถึงศาลาทรงเหลี่ยม หรงจิงจึงได้หยุดเท้า มองเซียงฉือด้วยสายตาลึกซึ้ง 

 

 

“เซียงฉือ ที่เจ้ามาอยู่ข้างกายข้านี่ประสงค์สิ่งใด” 

 

 

เซียงฉือไม่เข้าใจคำพูดของหรงจิง นางเบิ่งตากว้าง มองดูสีหน้าหรงจิงผ่านโคมไฟด้านข้างที่โยกไหวเบาๆ 

 

 

นางเริ่มกังวลใจ เหตุใดหรงจิงจึงพูดแบบนี้ในเวลานี้ 

 

 

นางเอียงศีรษะใช้ความคิด 

 

 

หากนางบอกว่าเพื่อจะได้เป็นขุนนางแล้วจะได้ออกจากวัง จะต้องถูกหรงจิงหัวเราะเยาะแน่ๆ แต่หากบอกว่าเพื่อชาติและประชาชน สำหรับนางที่เป็นขุนนางเล็กๆ ขั้นที่เก้า ควรจะแบกทุกข์ของตนเองเสียก่อนจะไปแบกทุกข์แทนไพร่ฟ้าประชาชน 

 

 

แต่หรงจิงถามว่าประสงค์อะไรเช่นนี้ ตอบยากเสียแล้ว 

 

 

เซียงฉือเงยหน้า สายตาที่มองหรงจิงมีแววจริงจัง 

 

 

“สิ่งที่หม่อมฉันต้องการก็คือการมีชีวิตอยู่อย่างภาคภูมิสง่างาม ไม่เสียทีและไม่สำนึกเสียใจเพคะ” 

 

 

คำพูดของนางทำให้หรงจิงเลิกคิ้วข้างซ้ายขึ้นสูง เขาได้ยินเรื่องเพื่อชาติและประชาชนจนคุ้นชิน ได้ฟังปรัชญากษัตริย์กับไพร่ฟ้ามาก็มาก แต่ได้ยินเซียงฉือตอบเช่นนี้ก็สนใจขึ้นมาจึงเอ่ยปากถามนางอีกว่า 

 

 

“ภาคภูมิสง่างาม? ไม่เสียที?  ไม่สำนึกเสียใจ? ไหนลองอธิบายซิว่า อะไรที่ไม่เสียทีและไม่สำนึกเสียใจ” 

 

 

หรงจิงมักจะได้ยินขุนนางฝ่ายบุ๋นพูดว่าจะมอบกายถวายชีวิตทุ่มเททำงานสุดกำลังด้วยความรอบคอบ ส่วนขุนนางฝ่ายบู๊นั้นต่างพร้อมพลีชีพเพื่อปกป้องรักษาชาติบ้านเมือง เขาฟังมามากและเชื่อว่าพวกเขาจะทำเช่นนั้น เขาให้ความสำคัญกับขุนนางใหญ่เหล่านั้นมาก แต่กับคำพูดของเซียงฉือทำให้เขาเกิดความสนใจ 

 

 

เซียงฉือคาดการณ์ได้ว่าหรงจิงจะเกิดความสนใจ ในตอนนี้จึงพูดออกไปโดยไม่ต้องคิดมาก 

 

 

“หม่อมฉันเป็นสตรี และยังเป็นข้าราชสำนักสตรีอีกด้วย แต่ก็มีความจงรักภักดีต่อชาติและราชวงศ์เฉกเช่นใต้เท้าในราชสำนักทั้งหลาย ยอมมอบกายถวายชีวิตทุ่มเททำงานเต็มกำลังเช่นกัน แต่ที่หม่อมฉันได้มาอยู่ข้างพระองค์และทูลความในใจต่อฝ่าบาทเช่นนี้ ส่วนใหญ่แล้วก็เพื่อตนเองเพคะ” 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 279 ความเห็นที่คล้ายคลึง 

 

 

เซียงฉือบิดนิ้ว หยุดครู่หนึ่ง เมื่อเรียบเรียงความคิดแล้วจึงพูดออกไปอย่างราบเรียบ 

 

 

“พากเพียรเขียนอ่านอย่างยากลำบากมาสิบปี เพื่อวันนี้ที่ชื่อได้ขึ้นกระดาน เป็นชีวิตจริงของเหล่าขุนนางในแผ่นดิน สำหรับหม่อมฉันก็เช่นกัน เมื่อข้าราชสำนักสตรีมีการเปิดให้สอบ หม่อมฉันย่อมจะไม่ยอมให้เสียทีที่สู้ร่ำเรียนมาไปเปล่าเพคะ” 

 

 

“หม่อมฉันก็เหมือนกับขุนนางทั้งหลายที่ต้องขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้ได้พบกับพระราชาผู้ทรงพระปรีชา ทำให้สามารถได้ใช้ความรู้ ดังนั้นการไม่เสียทีคือความลำบากที่สู้พากเพียรศึกษาเล่าเรียนมานานปี ชีวิตนี้สั้นนัก ยากนักที่จะได้ทำในสิ่งที่ตนเองปรารถนา ดังนั้นจึงกล่าวว่าไม่สำนึกเสียใจเพคะ” 

 

 

เซียงฉือพูดขึ้นด้วยดวงตาทอประกายวิบวับ หรงจิงเห็นแล้วก็ชื่นชอบ หญิงสาวคนนี้ช่างแตกต่างจริงๆ 

 

 

ที่หรงจิงถามนางเช่นนี้เพราะเกิดความคิดเห็นแก่ตัวขึ้น ถึงจะบอกว่าหญิงสาวในวังนี้ล้วนเป็นของเขาก็ตาม แต่เขาไม่ชอบการบีบบังคับ หากยินยอมก็คือยินยอมไม่ยินยอมก็คือไม่ยินยอม 

 

 

เขาชื่นชอบความฉลาดเฉลียวของผู้หญิงคนนี้ และยิ่งชื่นชมความใจกล้าในการจัดการงานราชการ เขาขึ้นครองราชย์ตั้งแต่เยาว์วัย และยอมรับว่าตนเองไม่มีความสามารถเทียบเท่าปฐมกษัตริย์ผู้บุกเบิกแคว้น แต่ก็ไม่ยินยอมที่จะเป็นเพียงกษัตริย์เฝ้าวังที่ไม่มีผลงานแม้แต่น้อย 

 

 

หลายปีมานี้เขาขยันในราชกิจ ให้ความสำคัญกับประชาชน ทำให้ชาติรุ่งเรือง ราษฎรกินดีอยู่ดี ไฟในใจยิ่งติดก็ยิ่งร้อนแรง พอได้ยินเซียงฉือพูดถึง ไม่เสียทีและไม่สำนึกเสียใจภายหลังแล้ว 

 

 

นั่นมิใช่เป็นคำพูดสำหรับเขาหรอกหรือ เขามีแผนยุทธศาสตร์ในการสร้างบ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง ย่อมไม่สมควรทรยศตนเอง และร้อยปีหลังจากนี้จะต้องไม่ให้ตนเองต้องสำนึกเสียใจด้วย 

 

 

คิดดังนี้แล้วทำให้เขารู้สึกว่าความคิดของหญิงสาวคนนี้กับตนเองนั้นใกล้เคียงกันมาก 

 

 

จึงยิ่งนิยมชมชอบนางอยู่ในใจ แต่เขาก็ไม่ได้ดีใจ หญิงสาวเช่นนี้หากเขารับเข้ามาอยู่ในวังหลังแล้ว นั่นจะไม่เป็นการทำให้นางสำนึกเสียใจ ทรยศต่อความรู้ความสามารถที่นางมีอยู่หรอกหรือ 

 

 

หรงจิงคิดดังนี้แล้วรู้สึกหงุดหงิดใจจึงเงียบไปนาน 

 

 

เซียงฉือไม่อาจรู้เลยว่าภายในช่วงเวลาสั้นๆ หรงจิงจะมีความคิดมากมายเช่นนี้ ตอนนี้นางไม่เข้าใจหรงจิง เมื่อพูดไปแล้วเห็นเขาไม่ตอบจึงกังวลใจ 

 

 

ถ้าซูกงกงอยู่ด้วยในตอนนี้คงจะแนะนำนางได้ว่าไม่ต้องตระหนกตกใจ แต่ซูกงกงไม่อยู่ ตอนนี้มีเพียงพวกนางสองคนเท่านั้น 

 

 

เซียงฉือเอียงศีรษะมองหรงจิงด้วยความกังวล เมื่อหรงจิงหันหน้ากลับมาก็เห็นสายตาค้นหาของนางเข้าจึงยิ้ม 

 

 

“เลิศนักไม่ทรยศตนเอง ยอดเยี่ยมทีเดียวไม่สำนึกเสียใจ!” 

 

 

“เซียงฉือ เจ้าเป็นหญิงสาวที่ไม่เหมือนใครเลยจริงๆ น่าจะเป็นข้าราชสำนักสตรีงานอักษรที่เหมาะสมที่สุด ข้าจะให้ความสำคัญกับเจ้าให้มาก” 

 

 

ได้ยินแล้วเซียงฉือก็ถอนหายใจยาวๆ แต่คิ้วกลับขมวดเล็กน้อย 

 

 

นี่นางทำเกินไปหรือไม่ นางคิดเพียงต้องการให้ได้ออกจากวัง แต่ความหมายของฝ่าบาท เหมือนจะใช้งานนางตลอดไป 

 

 

หรงจิงเห็นท่าทางนางเหมือนเจือความผิดหวังอยู่ ความรู้สึกนั้นทำให้เขาอึ้งไป เขาเป็นคนดูคนแม่น เซียงฉือเป็นผู้หญิงมีความคิด แตกต่างจากผู้หญิงในวังหลังพวกนั้น ต่อไปหากเขาเพิ่มการแนะนำสักนิด ย่อมต้องเป็นแขนซ้ายขวาที่มีพลังยิ่งกว่าเหอจิ่นเซ่อและสวี่อี้เสียอีก 

 

 

ความคิดนี้กับการจะให้นางเป็นตาอิ้งเพื่อไปประชันแต่งแต้มความงามกับเหล่าสตรีในวังหลังนั้น มิสู้เก็บนางไว้ข้างกายเช่นนี้จะทำให้เขาวางใจได้มากกว่า 

 

 

หรงจิงยื่นมือไปจับไหล่เซียงฉือบีบเบาๆ 

 

 

สายตาของทั้งสองประสานกัน เซียงฉือก้มหน้าตอบอย่างไม่คุ้นชินว่า 

 

 

“ฝ่าบาททรงให้ความสำคัญเรียกใช้เป็นวาสนาของหม่อมฉัน พระมหากรุณาธิคุณที่ทรงเห็นความสำคัญนี้ หม่อมฉันจะไม่มีวันลืมเลยเพคะ” 

 

 

เซียงฉือในตอนนี้ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรจึงเพียงพูดคำสำนึกบุญคุณ และทำให้เบี่ยงเบนออกจากหัวข้อสนทนานี้ หรงจิงมองดูนางแล้วยิ้มจางๆ 

 

 

“เช่นนั้นตอนนี้ก็มาปรึกษากันเรื่องแผนการจัดการน้ำที่เจ้าพูดเมื่อครู่” หรงจิงฟังคำพูดสำนึกบุญคุณนางแล้วก็ไม่พูดอะไรต่อ จากนั้นเปลี่ยนหัวข้อสนทนากลับสู่เรื่องการจัดการน้ำท่วมที่พูดคุยกันเมื่อครู่ 

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset