บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 286 ขอรับโทษแทน / ตอนที่ 287 จินกุ้ยเฟย

ตอนที่ 286 ขอรับโทษแทน 

 

 

หรงจิงยิ้มเมื่อได้ยินเหอจิ่นเซ่อพูดเช่นนั้น แต่เสียงยังคงเข้มงวดจริงจังยิ่ง เขาพูดกับคนทั้งสามเบื้องล่างว่า 

 

 

“อวิ๋นเซียงฉือเพิ่งจะเข้ากองราชเลขาไม่นาน แต่กลับเรียนรู้จากใต้เท้าเหอได้มากกว่า พากันมารับผิดทั้งคู่แบบนี้ จะให้ข้าลงโทษอย่างไร ไร้มารยาทต่อหน้าข้าหรือปกครองไม่กวดขัน?” 

 

 

“หรือสั่งตีเสียคนละร้อยไม้เป็นอย่างไร” 

 

 

หรงจิงพูดเช่นนี้ทำให้เซียงฉือหวาดกลัวขึ้นมา ความคิดของหรงจิงเอาแน่เอานอนไม่ได้ บุรุษที่นางเห็นว่าอ่อนโยนเป็นที่สุดในนาทีก่อน แต่ในนาทีถัดมากลับกลายเป็นฮ่องเต้ที่สังหารคนได้ราวผักปลา 

 

 

นางจับความคิดของเขาไม่ได้จึงได้แต่ยิ่งก้มหน้าต่ำลงอีก ไม่กล้าเอ่ยอะไร แต่เหอจิ่นเซ่อพูดขึ้นว่า 

 

 

“เพคะฝ่าบาท หม่อมฉันสมควรตาย แต่หม่อมฉันรับใช้ฝ่าบาทมาได้สิบปีแล้วจึงบังอาจขอพระกรุณาจากพระองค์ ขอโปรดพระราชทานให้หม่อมฉันได้สมใจด้วยเพคะ” 

 

 

เหอจิ่นเซ่อยืดกายขึ้น ถึงจะคุกเข่าแต่ยังคงความเป็นธรรมอย่างเข้มงวด เซียงฉือได้ยินคำพูดนั้นแล้วเกิดเสียงหึ่งดังขึ้นในหัว เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ถึงกับทำให้เหอจิ่นเซ่อร้องขอความตายเชียวหรือ 

 

 

เซียงฉือไม่เข้าใจ แต่นางไม่ต้องการให้เหอจิ่นเซ่อต้องเดือดร้อนเพราะตนเอง หลังจากเงียบไปนานแล้วจึงเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง แต่เป็นการร้องขอความเมตตาให้ผู้อื่น 

 

 

“ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันสำนึกตนว่ามีความผิด มิบังอาจทูลขอพระเมตตา แต่ว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับใต้เท้าเหอเลยเพคะ ขอทรงโปรดเห็นแก่ใต้เท้าเหอที่รับใช้ฝ่าบาทมา ถึงจะไม่มีความดีความชอบแต่มีความอุตสาหะ อย่าให้เป็นเพราะหม่อมฉันต้องทำให้ใต้เท้าเหอพลอยเดือดร้อนไปด้วยเลยเพคะ” 

 

 

“หม่อมฉันกระทำผิดเองย่อมต้องรับผิดชอบเอง ยินยอมรับพระอาญาทุกอย่างเพคะ!” 

 

 

ยากนักกว่าเซียงฉือจะเอ่ยปาก น้ำเสียงนางเจือความตื่นเต้น นางยอมรับมากขึ้นว่า ‘หรงฉู่’ นั้นคือหรงจิง มีตัวตนจริงเป็นฮ่องเต้ ขณะเผชิญอยู่ต่อหน้าหรงจิงนางรู้แล้วว่าไม่อาจกระทำเลยเถิด ถึงแม้ว่าหรงจิงจะต้องการใกล้ชิดนางก็ตาม 

 

 

นางจดจำได้ตลอดมาว่าวันนั้นหรงจิงออกคำสั่งลงทัณฑ์ตีผิงตาอิ้งแล้วสั่งขังในตำหนักเย็น 

 

 

ผิงตาอิ้งเคยเป็นคนที่หรงจิงให้ความสำคัญมาก่อนมิใช่หรือ นางเข้าใจดีว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าหรงจิง ก็เหมือนกับการเดินหมากของขุนนางกับฮ่องเต้ นางสามารถแสดงความสามารถได้ แต่หากฝ่าบาทให้ความสนิทสนมด้วยแล้ว จะต้องรักษากฎระเบียบไว้ตลอดเวลา มิเช่นนั้นไม่รู้ว่าจะพลั้งออกนอกกรอบไปเมื่อไร ซึ่งนั่นยากที่จะรอดพ้นจากความตายไปได้ 

 

 

เซียงฉือคิดแล้วก็เศร้าใจ นางไม่ต้องการให้เหอจิ่นเซ่อต้องมีความผิดเพราะนางจึงยืดอกออกมารับผิดชอบทั้งหมด 

 

 

เหอจิ่นเซ่อเห็นเซียงฉือขอความเมตตาให้ตนจึงมองนางด้วยสายตาสับสน มีทั้งยินดีอีกทั้งจนปัญญา ทั้งยังเจือความขื่นขมอีกด้วย 

 

 

แต่เซียงฉือไม่ได้มองนางจึงไม่เข้าใจรสชาติทั้งสามนั้น 

 

 

หรงจิงซึมซับการกระทำนั้น เขาคิดว่านางจะขอความเมตตาให้ตัวเอง แต่พอเอ่ยปากกลับขอให้เหอจิ่นเซ่อ ผู้หญิงคนนี้ไม่กลัวตายจริงๆ เช่นนั้นหรือ 

 

 

หรงจิงพูดขึ้นอีกครั้ง 

 

 

“ใต้เท้าเหอคิดแต่จะตายเช่นนี้ดูไม่สมกับเป็นท่านเลย จะบอกว่าท่านปกครองไม่เข้มงวดก็ไม่ถูกนัก หญิงคนนี้เพิ่งเข้ากองราชเลขาได้เพียงวันเดียว แต่กลับยินดีรับโทษทัณฑ์ทั้งหมดแทนใต้เท้าเหอ” 

 

 

เขาขยับให้สบายขึ้นแล้วพิงลงไป มองเหอจิ่นเซ่อแล้วชี้นิ้วไปทางเซียงฉือ น้ำเสียงกับคำพูดเช่นนั้น ไม่รู้ว่าเขามีเจตนาเช่นไร 

 

 

หรงจิงยื่นมือรับลิ้นจี่ที่ซูกงกงลอกเปลือกให้ค่อยๆ กิน แล้วมองดูคนทั้งสามอย่างไม่ใส่ใจนัก 

 

 

เหอจิ่นเซ่อข้าราชสำนักสตรีกองราชเลขาคนนี้ ตั้งแต่วันแรกที่นางเข้ารับหน้าที่งานอักษรเขาก็ประจักษ์ดีแล้ว เหตุใดนางจึงคิดแต่จะตายอย่างเดียว จะต้องมีจุดประสงค์เป็นแน่ 

 

 

แต่เซียงฉือมีเมตตาสูงน่าจะไม่เข้าใจเจตนาของเหอจิ่นเซ่อ มีเพียงความเกรงกลัวพระราชอำนาจ ดังนั้นจึงเหมาความรับผิดชอบทั้งหมดไว้กับตนเอง ช่างมีคุณธรรมสูงส่งนัก 

 

 

ส่วนเซียงฉือมีความฉลาดหลักแหลม เมื่อได้ยินคำพูดของหรงจิงแล้วก็เงียบเสียงไม่อ้อนวอนขอเมตตาอีก นางฉลาดพอจะรู้นัยในคำพูดของหรงจิง 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 287 จินกุ้ยเฟย 

 

 

เหอจิ่นเซ่อยิ้มแล้วมองดูหรงจิง นางเลิกคิ้วสูง ความคิดของนางหรงจิงมองออกแล้วจริงๆ แต่ใครจะไปยอมรับกันเล่า 

 

 

นางคิดแล้วจึงพูดขึ้นอีกครั้ง 

 

 

“ด้วยพระเมตตาอันเปี่ยมล้น ตั้งแต่หม่อมฉันเข้าวังมาก็รู้ว่าชีวิตนี้จะถวายการรับใช้อยู่เคียงข้างฝ่าบาท ขณะนี้ตำแหน่งฮองเฮาในวังหลังของฝ่าบาทยังว่างอยู่ ดังนั้นพวกหม่อมฉันในกองราชเลขาจึงน้อมรับเพียงพระบัญชาของฝ่าบาท” 

 

 

เหอจิ่นเซ่อเริ่มจากการแสดงความจงรักภักดี อันเป็นวิธีการพูดตามปกติของขุนนางฝ่ายบุ๋น หรงจิงก็รู้ดีอยู่ว่าพวกเขาจะใช้ความจงรักภักดีและรักชาติเป็นธงนำส่วนเรื่องสำคัญนั้นจะตามมาทีหลัง 

 

 

เขากินลิ้นจี่และฟังต่อด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อน ซึ่งก็เป็นไปตามคาดเมื่อเหอจิ่นเซ่อพูดต่อ 

 

 

“แต่ว่า ไม่ว่าหม่อมฉันจะระมัดระวังอย่างยิ่งเพียงไร ก็ยังคงดูแลได้ไม่ถ้วนถี่ หากดูแลใส่ใจเพียงฝ่าบาทก็จะไม่อาจใส่ใจต่อผู้อื่น จึงทำให้มีผู้กล่าวหาว่าหม่อมฉันกระทำการไม่ยุติธรรม แล้วหาผู้มีบารมีสูงมาชี้แนะ หม่อมฉันโง่เขลาเบาปัญญา ไม่รู้จักช่องทางวิธีการและช่องทางลัด ดังนั้นจึงทูลขอพระเมตตาจากฝ่าบาทโปรดทรงอนุญาตให้หม่อมฉันลาออกกลับบ้านเกิด และเฟ้นหาผู้มีความสามารถคนใหม่มาดูแลกองราชเลขาเพคะ” 

 

 

เหอจิ่นเซ่อมาทำการฟ้องร้องอย่างแท้จริง เพียงแต่นางไม่สามารถระบุว่าเป็นใครออกมาได้ แต่หรงจิงไยจะไม่รู้ ก็เมื่อครู่อวิ๋นเซียงซือพูดออกมาแล้วไม่ใช่หรือว่า ส่งของมาแทนกุ้ยเฟย 

 

 

ดังนั้น ความเป็นมาของเรื่องนี้ หรงจิงจึงรู้ได้กระจ่างชัด 

 

 

เหอจิ่นเซ่ออยากพูดแต่ชะงักไว้ อวิ๋นเซียงฉือไม่โต้แย้งสักคำ มีเพียงเซียงซือที่พูดฉะฉานอยู่คนเดียว กอปรกับฟังคำพูดนี้แล้วจึงรู้ว่าอวิ๋นเซียงซือเป็นคนของจินกุ้ยเฟย 

 

 

ทางกองราชเลขาคงจะถูกผู้มีอำนาจบีบคั้นอยู่ เมื่อเหอจิ่นเซ่อรับคนมาก็ต้องเลี้ยงไว้ แต่ตอนนี้เรื่องมาถึงหรงจิงแล้ว นางจึงไม่คิดจะยุ่งด้วยอีกต่อไป 

 

 

จะว่านางมีเจตนาหลบเลี่ยงไม่ยุ่ง แต่ก็เพราะมีความจำเป็นซึ่งหรงจิงเข้าใจได้ ทว่าการกระทำของเซียงฉือออกจะนอกเหนือความคาดคิดของนาง 

 

 

หรงจิงคิดแล้วมองดูอวิ๋นเซียงฉือที่นิ่งเงียบอยู่ข้างๆ อีกทั้งอวิ๋นเซียงซือที่น้ำตาคลอเบ้า พลันนึกถึงที่เซียงฉือเคยบอกไว้ขึ้นมาว่าเซียงซือเป็นญาติผู้พี่ของนาง 

 

 

คงเพราะมีความเกี่ยวพันกันทางสายเลือดจึงทำให้นิ่งเงียบ เมื่อคิดความเชื่อมโยงออกแล้ว หรงจิงจึงตัดสินใจ 

 

 

เขายกมือขึ้น ซูกงกงจึงเดินเข้าไปอย่างเข้าใจ 

 

 

“ข้ารู้แล้วว่าใต้เท้าเหอบริหารจัดการกองราชเลขาด้วยความยากลำบาก ท่านกลับไปได้ วันหน้าหากยังมีใครกล้าไปก่อเรื่องในกองราชเลขาอีก ก็ส่งคนคนนั้นมาให้ข้า ข้าอยากเห็นนักว่าคำพูดของใครจะศักดิ์สิทธิ์กว่าราชโองการของข้า” 

 

 

เหอจิ่นเซ่อลุกขึ้นด้วยการช่วยประคองของซูกงกง นางปัดฝุ่นบนเข่า เมื่อได้ยินคำพูดของหรงจิงก็รู้ว่าเขาเข้าใจเจตนาของนาง 

 

 

นางคิดว่าเรื่องนี้จะต้องเปลืองน้ำลายพูดมากกว่านี้เสียอีก นางยังไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องจินกุ้ยเฟย แต่ดูจากเจตนาของฝ่าบาทแล้วคิดว่าคงได้คิดการใดไว้แล้ว 

 

 

ทั้งยังได้ให้คำสัญญาแก่นางอีก ซึ่งไม่ต่างอะไรกับกระบี่อาญาสิทธิ์ ดังนั้นแม้ตอนนี้จะคุกเข่าจนปวดเมื่อยหัวเข่า แต่ใจนั้นเบิกบานยิ่งนัก 

 

 

เซียงซือนั้นเดิมคาดไว้ว่าเมื่อหรงจิงได้ฟังคำพูดนางแล้วจะรีบปล่อยตัวนางแล้วปลดเซียงฉือ เลื่อนนางขึ้นเป็นข้าราชสำนักสตรีงานอักษรแทน ฝันหวานว่านางจะได้เข้าออกตำหนักเจิ้งหยางตามอำเภอใจ 

 

 

แต่แล้วรู้สึกเหมือนถ้อยสนทนาในโถงเบี่ยงเบนไป ถึงนางจะวู่วาม แต่ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้คงจะไม่ปลอดโปร่งตามที่นางวาดหวังเสียแล้ว 

 

 

ส่วนเซียงฉือเงยหน้ามองดูสีหน้าจริงจังของหรงจิงแล้วหันไปมองใต้เท้าเหอ บังเกิดความกระจ่างขึ้นในใจ 

 

 

ใต้เท้าเหอฉลาดเป็นอย่างยิ่ง เรื่องนี้หากนางไม่ขอรับโทษตั้งแต่แรกที่มาถึง ฝ่าบาทก็คงยังไม่ยอมเลิกรา นางไม่สามารถพูดออกมาได้ว่าเซียงซืออาศัยบารมีจินกุ้ยเฟยแล้วทำอวดดีอยู่ในกองราชเลขา อีกทั้งยังจะให้นางและเซียงฉือถูกหรงจิงดุว่าอีกด้วย 

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset