บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 208

ตอนที่ 208 สอบหาผู้บงการ 

 

 

เซียงฉือนั่งอยู่ด้านข้างเห็นสายตามั่วมั่วซึมเซา คิดว่าพวกหมัวหมัวที่จู่ๆ ปรากฏกายขึ้นมาทำให้นางทำอะไรไม่ถูก 

 

 

นางสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจควบคุม ปากส่งเสียงประหลาด ฟังคำถามของสวี่อี้ไม่เข้าหู บางทีหากรอให้นางค่อยๆ สงบลงสักครู่ก็น่าจะดีขึ้น 

 

 

แต่ว่าวันนี้พวกนางไม่มีเวลาขนาดนั้น 

 

 

แววตาสวี่อี้เย็นเยียบและกำลังคิดจะลงทัณฑ์ แต่เซียงฉือพลันลุกขึ้น 

 

 

“ใต้เท้าสวี่ ให้เซียงฉือทดลองดูสักครั้ง จะได้หรือไม่?” 

 

 

เซียงฉือคารวะสวี่อี้แล้วเสนอตัวเอง นางไม่รู้วิธีการสอบสวนนักโทษ แต่นางเข้าใจคนในตำหนักอวี้หยวนดี มั่วมั่วเป็นเด็กสาวเรียบๆ และเพราะความไม่ประสาจึงถูกหลอกใช้ 

 

 

เมื่อสวี่อี้พยักหน้า เซียงฉือจึงเดินไปข้างกายมั่วมั่วแล้วจับมือเย็นเฉียบของนางเบาๆ เพื่อถ่ายทอดความอบอุ่นให้ จากนั้นถามขึ้นเบาๆ ว่า 

 

 

“มั่วมั่ว ข้ารู้ว่าเรื่องนี้เจ้าไม่ได้เป็นคนทำ เจ้าไม่ต้องกลัวนะ ใต้เท้าสวี่ถามอะไรเจ้าก็ตอบไป เจ้าจะไม่เป็นอะไรหรอก” 

 

 

“มั่วมั่วมองข้า ถ้าตอนนี้เจ้าไม่พูดความจริงก็เตรียมเป็นแพะรับบาปแทนคนที่ใช้เจ้ามาได้เลย ถึงเวลานั้นไม่มีใครจะช่วยเจ้าได้แล้ว เจ้าเข้าใจไหม” 

 

 

น้ำเสียงของเซียงฉืออ่อนโยนอย่างยิ่ง ต่างกับพวกหมัวหมัวที่ดุดันราวปีศาจพวกนั้นราวฟ้ากับเหว ก่อนหน้านี้มั่วมั่วเจ็บแค้นเซียงฉืออย่างยิ่ง แต่ตอนนี้นางไม่แค้นเคืองแล้ว นางมีแต่ความกลัว 

 

 

ถึงจะเป็นนางกำนัลชั้นล่างมานาน แต่ข้อหาที่สวี่อี้พูดขึ้นเมื่อครู่นางรู้ดีทั้งหมด ทุกข้อหาล้วนทำให้นางตายได้หลายร้อยรอบทั้งสิ้น 

 

 

แต่ว่านางหวาดกลัวเกินไปจนไม่สามารถพูดออกมาได้ 

 

 

เส้นผมของนางยุ่งเหยิงเพราะการดิ้นรนขัดขืนเมื่อครู่ ดวงตาถูกน้ำตากลบจนเลือนราง 

 

 

“ไม่ต้องกลัว เพียงแค่บอกออกมาว่าคนที่ใช้เจ้ามารอเจ้าอยู่ที่ไหน แล้วใต้เท้าสวี่ก็จะอภัยให้เจ้า” 

 

 

เซียงฉือค่อยๆ โน้มน้าว ถึงเมื่อก่อนคำพูดตำหนิของมั่วมั่วต่อนางยากจะฟังได้ แต่นางก็ให้อภัย อย่างไรก็เป็นเพียงคนน่าสงสารที่ถูกผู้อื่นหลอกใช้เท่านั้น 

 

 

“นาง…นาง…” 

 

 

มั่วมั่วที่เข้ามาในกองคดีแล้วปิดปากไม่พูดอะไรจู่ๆ พูดออกมาคำสองคำ ทำให้ทุกคนดีใจขึ้นมา 

 

 

สวี่อี้จึงถามต่อด้วยตนเอง 

 

 

“คนที่บงการเจ้าคือใคร ใช่คนในตำหนักอวี้หยวนหรือไม่” 

 

 

นางใจร้อนรีบถามขึ้น แต่เพราะท่าทางเด็ดขาดเกินไป กดดันจนมั่วมั่วร้องไห้ออกมา 

 

 

เซียงฉือจึงปลอบนางต่อ พูดเบาๆ ว่า 

 

 

“ขอเพียงเจ้าพูดออกมาแล้วทุกอย่างก็จะไม่มีอะไรแล้ว ใช่หลิ่วเหยียนหรือไม่” 

 

 

เซียงฉือลองเชิงถามออกไป แล้วก็เห็นสายตาของมั่วมั่ววาบขึ้นทันใด แต่แล้วก็ลนลานหลบซ่อน 

 

 

เซียงฉือกับสวี่อี้กำลังสอบสวนมั่วมั่ว แต่หลิ่วเหยียนที่หลบอยู่ในมุมมืดเห็นและเข้าใจทุกอย่างในทันที 

 

 

นางรีบวิ่งไปในเส้นทางที่จะมุ่งสู่ตำหนักเจิ้งหยาง ตอนนี้นางต้องไปหากุ้ยเฟยให้ได้ คืนนี้กุ้ยเฟยค้างอยู่ในตำหนักเจิ้งหยาง ตามกฎบัญญัติแล้วกุ้ยเฟยจะต้องจากไปก่อนฮ่องเต้จะตื่นบรรทม 

 

 

ยังมีเวลาอีกครึ่งชั่วยามกว่ากุ้ยเฟยจะออกจากตำหนักเจิ้งหยางเพื่อกลับตำหนักอวี้หยวน หากนางยังคิดจะมีชีวิตรอดก็จะต้องพบกับกุ้ยเฟยในระหว่างทางนี้ให้ได้ 

 

 

นางจึงต้องรีบไป นี่เป็นแผนสำรองที่นางเตรียมไว้ นางสงสัยแต่แรกแล้วว่านี่ต้องเป็นกับดัก แต่ก็ไม่อาจที่จะไม่ไปทดลองดู และเพราะนางได้เตรียมแพะรับบาปแทนไว้แล้ว 

 

 

หลิ่วเหยียนถือโคมไฟยืนอยู่บนทางหิน ทุกครั้งกุ้ยเฟยจะต้องใช้เส้นทางนี้กลับสู่ตำหนักอวี้หยวน ส่วนคืนนี้มีหลิ่วจุ้ยตามเสด็จไปที่ตำหนักเจิ้งหยาง

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset