บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 344 ขุนนางหญิง / ตอนที่ 345 เหอเจี่ยนสุย

ตอนที่ 344 ขุนนางหญิง  

 

 

ข้าราชสำนักสตรีในวังแบ่งแยกขีดขั้นอย่างชัดเจน เมื่อสอบเข้าได้จะเป็นขั้นที่เก้า จากนั้นจะพิจารณาเลื่อนตามอายุงานและความสามารถ เฉกเช่นเดียวกับขุนนางต่างๆ ที่ก้าวเลื่อนทีละขั้นๆ นอกจากจะมีความดีความชอบใหญ่หลวงแล้วฮ่องเต้โปรดเกล้าส่งเสริมขึ้นมา มิเช่นนั้นก็ต้องค่อยๆ ไต่เต้าไปปีแล้วปีเล่าจนกว่าจะสูงขึ้น  

 

 

ระดับข้าราชสำนักสตรีแบ่งเป็นสี่ระดับคือ ซั่ง เตี่ยน เฟิ่ง ซือ ไล่จากสูงลงต่ำ และจากข้าราชสำนักสตรีขั้นที่สามลงไปถึงขั้นที่เก้า  

 

 

ระดับที่หนึ่งคือใต้เท้าซั่ง ดังเช่นสำนักราชเลขาที่มีเหอจิ่นเซ่อเป็นใต้เท้าซั่งซู หัวหน้ากองจัดการรวมจะเป็นใต้เท้าซั่งอี๋ เซียงฉือเป็นซือมั่ว จึงเป็นใต้เท้าซือแห่งกองราชเลขา ส่วนสวี่อี้เป็นเฟิ่งเอินแห่งกองคดี ก็เป็นใต้เท้าเฟิ่ง  

 

 

หากเซียงฉือพบสวี่อี้จะต้องทำความเคารพเต็มรูปแบบ หากพบท่านราชเลขาเหอจิ่นเซ่อก็ต้องทำความเคารพเต็มรูปแบบ  

 

 

แต่มิตรภาพระหว่างสวี่อี้กับเซียงฉือเป็นไปด้วยดีตลอดมา ส่วนเหอจิ่นเซ่อนั้น ตั้งแต่นางเข้าตำหนักเจิ้งหยางก็ให้ความเอาใจใส่ต่อนางมากยิ่งขึ้น ดังนั้นระหว่างพวกนางจึงไม่ใส่ใจพิธีการนัก  

 

 

เซียงฉือไว้ทุกข์ให้ท่านปู่ นางคุกเข่าอยู่กับพื้นไม่ร้องไห้และเอะอะโวยวายแต่คุกเข่าอย่างสงบ นางคิดเสมอมาว่าตนเองเก็บงำความรู้สึกได้ดี คนข้างๆ ไม่สามารถจะมองออกได้ แต่คิดไม่ถึงว่าจะถูกเหอจิ่นเซ่อมองออกอย่างรวดเร็วเช่นนี้  

 

 

ความเคียดแค้นชิงชังในตานางชัดเจนขนาดนั้นเชียวหรือ  

 

 

เซียงฉือไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงได้เผยเจตนาแก้แค้นจินกุ้ยเฟยออกมาชัดแจ้งเช่นนั้น แต่นางไม่เกรงกลัวเลย ในโลกนี้คนที่ไม่แยแสกับความตายนั้นเป็นคนที่น่ากลัวจริงๆ  

 

 

นางไม่รู้ว่าเหอจิ่นเซ่อมองนางออกได้อย่างไร แต่ก็ไม่อาจจะไม่ขอบคุณนางได้ เพราะคำพูดนางเหมือนดั่งปัญญาแห่งทางสว่าง ทำให้นางที่เกือบถูกไฟโทสะเผาผลาญจนลืมตัวตื่นรู้ขึ้นมา ทั้งยังระงับความแค้นลงได้  

 

 

แล้วเปลี่ยนเรื่องทั้งมวลให้กลายเสมือนหนึ่งเมล็ดพันธุ์ ที่เพาะลงไปในเบื้องลึกกลางใจ  

 

 

นางรู้ตัวดีว่าอ่อนแอเล็กจ้อยนัก จากมดที่แม้จะถูกบดบี้จนตายก็ไม่มีใครรู้ตัวนั้นกลายมาเป็นหนูที่ได้แต่ก่อความรำคาญแก่ฝ่ายตรงข้าม ด้วยกำลังของนางในขณะนี้ ได้แต่เพียงกัดแทะนางอย่างไม่รู้หน่าย โดยไม่ได้ก่อเกิดผลใหญ่โตอะไร  

 

 

แต่ว่าเซียงฉือจะไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ  

 

 

ถ้าหากนางลงมือกระทำการ อย่างมากก็เพียงจัดการได้แต่จินรั่วอวิ๋นคนเดียว ดึงนางให้ร่วงลงมาจากตำแหน่งกุ้ยเฟยได้ก็เป็นความสามารถอย่างเต็มที่ของนางแล้ว  

 

 

แต่นางไม่พอใจเพียงเท่านั้น นางต้องการให้จินรั่วอวิ๋นชดใช้หนี้เลือดด้วยเลือด เมื่อเป็นเช่นนั้นนางต้องใช้ประโยชน์จากทุกสิ่งที่ก่อประโยชน์ได้ จะต้องทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้  

 

 

มีเพียงนางต้องทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นจึงจะสามารถดูแลคนที่นางต้องการจะดูแลได้ สามารถปกป้องคนที่นางต้องปกป้องได้  

 

 

ถึงแม้นางจะเชื่อใจฮ่องเต้ แต่ก็ไม่อาจไม่ยอมรับว่าหากตนเองขัดแย้งกับจินกุ้ยเฟยแล้วต้องเลือกเพียงคนใดคนหนึ่ง เซียงฉือไม่เชื่อเลยสักนิดเดียวว่าฮ่องเต้จะเลือกสาวใช้อย่างนางที่ไม่มีประโยชน์อะไรเลยแม้แต่น้อย  

 

 

ด้วยเหตุนี้เซียงฉือยิ่งเข้าใจมากขึ้นว่านางมีแต่ต้องพึ่งพาตนเองเท่านั้น  

 

 

ดังนั้นนางจึงสงบลง เชื่อฟังคำพูดของเหอจิ่นเซ่อ นางจะต้องกบดานให้ดี ซ่อนเงียบอยู่ในมุมมืด รอจนกว่าจะถึงวันเวลาที่สุกงอม จึงจะกระโดดออกมางับคอฝ่ายตรงข้ามได้  

 

 

เพียงนางคิดถึงวันเวลานั้น เลือดในกายก็ร้อนพลุ่งพล่านขึ้น  

 

 

แต่ตอนนี้นางจำเป็นต้องสงบและมีแต่ต้องสงบ  

 

 

หรงเฉิงเยี่ยกลับเข้าเมืองหลวง ไม่ต้องไปใช้วันเวลาทุกข์ยากท่ามกลางลมฝนอีกแล้ว เขาจึงได้นัดเพื่อนฝูงเตร็ดเตร่ไปในเมืองหลวงและเหอเจี่ยนสุยก็ติดตามไปด้วย เหอเจี่ยนสุยยังเป็นหัวหน้าสำนักศึกษา ทำการสอนนักศึกษาถึงวิธีการทำข้อสอบให้ได้คะแนนสูงขึ้น  

 

 

เขามีความสามารถสอบได้จิ้นซื่อ เข้ารับราชการในตำแหน่งสูงได้ แต่เขาไม่ต้องการ เขาเป็นถึงบุรุษยอดอัจฉริยะชื่อเสียงกระฉ่อนเมือง แต่ว่าเขาไม่สนใจชื่อเสียงจอมปลอมพวกนั้น เขาปรารถนาเพียงจะอยู่ตรงนี้เพื่อเป็นเพื่อนเซียงฉือ  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 345 เหอเจี่ยนสุย  

 

 

เหอเจี่ยนสุยคิดเพียงง่ายๆ เขาเพียงต้องการอยู่ในที่ที่จะได้ใกล้ชิดเซียงฉือมากขึ้น ดังนั้นเขาจึงยอมรับการแนะนำของเหลียนชินอ๋อง โดยมาเป็นหัวหน้าฝ่ายการศึกษา  

 

 

เขามีชาติกำเนิดมาจากตระกูลขุนนาง ศึกษาเล่าเรียนจากอาจารย์มีชื่อเสียง ทุ่มเทศึกษาค้นคว้าอภิปรายภาษาโบราณ เป็นบุรุษอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงแห่งยุค  

 

 

ถึงเขาจะเป็นหัวหน้าสำนักศึกษา แต่ไม่มีอำนาจเสนอความคิดเห็นในราชสำนัก เขารับผิดชอบการสอน ข้าราชสำนักที่ต่ำกว่าขั้นที่เจ็ดจะต้องเข้ารับการศึกษาในสำนักศึกษา แต่ว่าพวกเหล่านั้นมักมีงานยุ่งอยู่เสมอ และจะมีสักกี่คนที่มีใจศึกษาจริงจัง ดังนั้นจึงเป็นเพียงตำแหน่งปลอมๆ เท่านั้น  

 

 

บ้านของเหอเจี่ยนสุยอยู่นอกเมือง บ้านสกุลเหอของเขาอยู่ในเมืองหลวง แต่เขาเป็นคนที่รักความสงบ เมื่อมาถึงที่นี่และได้รับแต่งตั้งให้ดูแลสำนักศึกษา เขาจึงเลือกที่อยู่ในชนบทที่รายล้อมไปด้วยภูเขาและลำธารนอกเมือง อันเหมาะแก่การก่อสร้างต่อเติม  

 

 

เขาไม่ได้ทำเพื่อตนเอง แต่ต้องการจะให้บ้านกับเซียงฉือ บ้านในแบบที่นางวาดหวังไว้ สร้างบ้านที่พวกเขาเคยฝันจะใช้ชีวิตร่วมกัน  

 

 

แต่ระยะนี้เขาคร้านที่จะกลับไป และที่สำคัญเพราะสำนักศึกษานั้นอยู่ข้างกำแพงเมือง เพียงเขาเปิดหน้าต่างก็จะมองเห็นทหารยืนอยู่บนกำแพงนั้น  

 

 

เขาได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งเซียงฉือจะขึ้นไปยืนอยู่บนกำแพงเมืองนั้น หรืออยู่ในหอกลองด้านหลัง เพื่อให้เขาได้เห็นสักครา  

 

 

เขากับเซียงฉือเติบโตขึ้นมาด้วยกัน มิตรภาพของเพื่อนที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็กนั้นไม่อาจจะตัดขาดได้โดยง่าย  

 

 

ก่อนหน้านั้นหรงเฉิงเยี่ยออกมาจากวังแล้วนำกำไลหยกขาวที่เขามอบให้เซียงฉือออกมาคืนให้  

 

 

พอเขาเห็นเข้าใจก็เย็นวาบ ระยะนี้จึงมักกระสับกระส่าย เขาไม่ได้กังวลว่าเซียงฉือจะเปลี่ยนใจ แต่คิดว่าเซียงฉืออยู่ที่ข้างในนั้นได้รับความทุกข์ยากเพียงไรจึงได้ส่งกำไลหยกขาวออกมา  

 

 

นางคงถอดใจเลิกหวังจะออกจากวังแล้วกระมัง ตั้งแต่วันที่เซียงฉือเข้าวังเขาก็รู้แล้วว่า ภายในกำแพงแดงอิฐทองคำนั้นเข้าไปยากนัก แต่จะออกมานั้นยิ่งยากกว่า  

 

 

แต่หนึ่งในหมื่นของความเป็นไปได้คือหลังจากนางอายุยี่สิบห้าปีแล้ว หรืออาจจะมีการนิรโทษกรรมจากฮ่องเต้ นางก็จะออกจากวังมาได้แล้วมิใช่หรือ  

 

 

เขารู้ว่าเหอจิ่นเซ่อญาติผู้พี่ของตนเป็นราชเลขาอยู่ในวัง มีหน้าที่การงานสำคัญเป็นที่ภาคภูมิใจของบ้านสกุลเหอ เขาเองก็เคารพนับถือญาติผู้พี่คนนี้อย่างยิ่งมาตั้งแต่เด็ก  

 

 

ภูมิฐานเฉลียวฉลาด สุภาพอ่อนโยน เป็นแบบที่เซียงฉือของเขาจะเป็นเมื่อเติบโตขึ้น  

 

 

เขาเขียนจดหมายส่งถึงญาติผู้พี่ฉบับหนึ่ง ทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเสมอมา เขาจึงได้ถามถึงความเป็นไปได้ในเรื่องนี้  

 

 

แต่คำตอบของเหอจิ่นเซ่อยืนยันหนักแน่น  

 

 

‘นักโทษหญิงเข้าวังหากไม่ได้รับการอภัยโทษเป็นการพิเศษจากฮ่องเต้แล้ว นักโทษหญิงนั้นก็ไม่อาจออกจากประตูวังได้เลยชั่วชีวิต’  

 

 

คำพูดนั้นของนางเหมือนดั่งค้อนยักษ์ทุบความหวังกว่าครึ่งของเหอเจี่ยนสุยแหลกเป็นผุยผง แต่เขาไม่อาจตัดใจจากเซียงฉือ หญิงสาวที่งดงามเช่นนั้นไยจะต้องอยู่ในวังลึกล้ำกระทั่งผมดำเปลี่ยนเป็นผมขาว จากผมขาวตราบกลายเป็นโครงกระดูก เขาตัดใจไม่ได้  

 

 

ดังนั้นเขาจึงเขียนจดหมายให้เหอจิ่นเซ่ออีก ถามว่าพอจะมีวิธีการอื่นใดได้บ้าง แล้วก็เกิดวิธีครึ่งทางขึ้นมา นั่นคือการสอบข้าราชสำนักสตรี  

 

 

 ดังนั้นตอนที่เซียงฉือไปอ้อนวอนนาง นางจึงกึ่งดีใจกึ่งกังวล  

 

 

นางเข้าวังมานาน ทำงานอย่างปลอดโปร่งตลอดมา แต่พอมาถึงเรื่องของเซียงฉือ ทำให้นางต้องทุกข์ขึ้น  

 

 

นางชื่นชอบหญิงสาวคนนี้ เฉลียวฉลาดและรู้จักปกปิด มีปฏิกิริยาว่องไวและรู้จักดูจังหวะ  

 

 

กองราชเลขาของนางต้องการหญิงสาวลักษณะเช่นนี้อย่างยิ่ง แต่นางก็รู้ว่าการจะส่งเสริมหญิงสาวคนนี้ให้ได้ดีนั้น ความลำบากที่นางจะได้รับมีมากกว่าตนเองและโทษที่นางจะได้รับก็มีมากกว่าตนเองด้วย นั่นเพราะชาติกำเนิดของนางจะถูกผู้คนประณามตลอดไป  

 

 

และความรักความผูกพันของนางจะเป็นเครื่องพันธนาการตลอดไป  

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset