บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 358 คำอธิบายของเซียงฉือ / ตอนที่ 359 ของของเขา

ตอนที่ 358 คำอธิบายของเซียงฉือ

 

 

เพล้ง!

 

 

ของที่อยู่ข้างหลังตกพื้น เซียงฉือรีบหมุนตัวกลับทันใด หลังพ้นออกจากกงเล็บปีศาจของหรงจิงแล้ว ทำเสมือนหนึ่งจะไปเก็บรายงานที่ตกลงพื้นนั้นขึ้นมา

 

 

“หม่อมฉันสมควรตายเพคะ เพราะหม่อมฉันไม่ระมัดระวัง หม่อมฉันจะรีบเก็บขึ้นมาเพคะ”

 

 

เซียงฉือหันกายไปเก็บอย่างลนลาน หลบหลีกออกจากการคุกคามของหรงจิงอย่างแนบเนียน

 

 

นางมองเห็นด้านข้างหูเขา ได้ยินคำพูดของเขา แล้วก็เกือบถูกคำพูดของหรงจิงดึงลงสู่บ่อโคลน เซียงฉือไม่กล้ามอง ไม่กล้าคิดอีก พยายามให้ตนเองตื่นตัวอย่างเต็มที่

 

 

คำพูดของหรงจิงอีกทั้งการกระทำของเขาเป็นกับดักอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะก่อนหน้าหรือครั้งหลังล้วนเป็นเช่นนั้น หรงจิงคิดจะทำสิ่งใด ทำร้ายนางให้ตายไป หรือจะเป็นหรงเฉิงเยี่ย เซียงฉือส่ายศีรษะอยู่ในใจ เขาไม่ใช่ผู้ชายเช่นนั้น

 

 

ตั้งแต่เซียงฉือมีเวลาใกล้ชิดกับเขามากขึ้นจึงได้พบว่าบ่อยครั้งที่ผู้ชายคนนี้เหมือนเด็กเล็กๆ เย่อหยิ่งแข็งกร้าวเจือความหึงหวง เมื่อคิดถึงตรงนี้นางก็เข้าใจ

 

 

หรงจิงกำลังหึงหวง ถึงนางจะยังไม่เข้าใจชัดแจ้งนัก แต่ในขณะนั้นนางรู้แล้วว่าควรจะตอบเช่นไร

 

 

นางยื่นมือออกไปช้าๆ มีเจตนาเหมือนค้นหา คิดจะสวมกอดหรงจิงเหมือนอย่างที่เขาทำ แต่ท่าทางของนางเงอะงะไม่เป็นดังนั้น อีกทั้งนางยังเขินอายอย่างยิ่ง ไม่กล้าแม้แต่จะลืมตา ได้แต่สะเปะสะปะ ทำให้ใจหรงจิงราวถูกคลื่นโหมกระเจิง

 

 

ใช่แล้ว หรงจิงหึงหวงจริงๆ เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไม เพียงแต่ต้องการให้เซียงฉือบอกเขาว่า คนที่นางใส่ใจที่สุด อยากใกล้ชิดและพึ่งพาอาศัยที่สุดคือเขาเท่านั้น

 

 

ความรู้สึกเช่นนั้นเป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยเอาชนะได้มาก่อน ในใจหรงจิงนั้น หรงเฉิงเยี่ยเป็นชายหนุ่มที่ดีเลิศ สายตาเจ้าเล่ห์ ทั้งยังรู้จักกับเซียงฉือมาก่อน สิ่งที่เคยเริ่มต้นกันมา แต่ตอนนี้สถานะอวิ๋นเซียงฉือได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว จะไม่เปลี่ยนวิธีการคบหาปฏิบัติต่อนางได้อย่างไร

 

 

หรงจิงพลันชะงักมือแตะเบาๆ บนแขนของเซียงฉือ จับยึดไว้แผ่วเบาไม่กล้าออกแรง การร้องเรียกของเซียงฉือเช่นนั้น ทำให้ความคิดเขาแจ่มชัดขึ้นหลายส่วน

 

 

ท่าทางจะพูดแล้วชะงักงัน เรียกขานขึ้นแล้วก้มศีรษะลงทันทีของเซียงฉือยิ่งดูงดงาม

 

 

“ฝ่าบาท ท่านปู่ของหม่อมฉันเพิ่งจะถึงแก่กรรม หม่อมฉันยังต้องไว้ทุกข์เพื่อท่านอยู่ ท่านปู่เป็นผู้เลี้ยงดูหม่อมฉันมาตั้งแต่เล็ก แม้นหากฝ่าบาททรงเมตตาสงสารหม่อมฉัน ก็ขอทรงโปรดเห็นแก่ความกตัญญูของหม่อมฉันเถิดเพคะ”

 

 

นิ้วมือเซียงฉือกลับเป็นฝ่ายกุมอยู่บนแขนหรงจิงอย่างไม่แรงนัก ทั้งยังสั่นน้อยๆ อย่างรู้สึกอัดอั้นตันใจ อึดอัดยากจะทน

 

 

หรงจิงก็ถูกคำพูดของนางทำให้เกิดสติขึ้นทันใด เขาปล่อยแขนนางแล้วกระแอมขึ้นครั้งหนึ่ง เซียงฉือหัวไวอย่างยิ่ง นางรีบไถลตัวออกจากอ้อมกอดหรงจิง

 

 

เมื่อไปยืนอยู่ข้างกายหรงจิงแล้วจึงอธิบายต่อว่า

 

 

“ฝ่าบาทโปรดอย่าทรงเข้าพระทัยหม่อมฉันผิดนะเพคะ ด้วยสถานะของหม่อมฉันย่อมตระหนักดีอยู่แล้วว่าชีวิตอันต่ำต้อยนี้ฝ่าบาททรงเป็นผู้ประทานให้ และสิ่งที่มีอยู่ในตอนนี้ก็ล้วนแต่ฝ่าบาทพระราชทานให้เช่นกัน หม่อมฉันสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างที่สุด แต่ว่าหม่อมฉันเพิ่งทราบข่าวการถึงแก่กรรมของท่านปู่ครั้งแรกเมื่อคืนนี้ จึงเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้จะฝืนลุกขึ้นมาได้เมื่อเช้านี้ แต่ก็ยังมึนงงซวนเซ เหลียนชินอ๋องทรงมีเมตตา จึงทรงจะเข้าช่วยประคองเพื่อไม่ให้หม่อมฉันต้องได้รับบาดเจ็บเพคะ”

 

 

“และหม่อมฉันกับเหลียนชินอ๋องไม่มีความสัมพันธ์กันอื่นใด ท่านอ๋องเองก็เป็นคนที่ฝ่าบาททรงไว้วางพระราชหฤทัยที่สุด ถึงฝ่าบาทจะทรงแคลงในตัวหม่อมฉันแต่ก็ไม่ควรจะไม่ทรงเชื่อใจท่านอ๋องนะเพคะ”

 

 

คำพูดในตอนแรกของเซียงฉือทำให้ความระแวงของหรงจิงลดลงแล้วอย่างมาก และคำอธิบายครั้งหลังนี้ ยิ่งทำให้หรงจิงเกิดความเชื่อถือ  เขาเป็นชายหนุ่มผู้พ่ายแพ้ต่อวาจาไพเราะเสมอมา

 

 

 

 

ตอนที่ 359 ของของเขา

 

 

ขอเพียงเซียงฉือยินยอมลดตัวทุกอย่างก็จะง่ายดายขึ้นมาก เสียงของนางนุ่มนวลขึ้นน้ำเสียงกลับคืนสภาพเดิม มีแต่เพียงใจดวงนั้นของนางที่ยังคงเทิดสูงอย่างทรนงอยู่เสมอ

 

 

“แค่ก แค่ก แค่ก”

 

 

หรงจิงฟังคำพูดเซียงฉือแล้วกระแอมเบาๆ ขึ้นหลายครั้งไม่มองนางอีก เขาหมุนกายบิดตัวออกไปอย่างไม่สบายตัวนัก เซียงฉือยังคงนั่งทื่ออยู่บนโต๊ะไม่ขยับ เพียงผินหน้าไปมองหรงจิงที่ห่างไปไม่ไกล

 

 

เขายังคงสวมเพียงชุดตัวในอยู่ การเสียดสีด้วยความรุนแรงกับเซียงฉือเมื่อครู่เผยมัดกล้ามเนื้อหน้าอกที่แข็งแกร่งปรากฏออกมา ทว่าเซียงฉือไม่อาจมองเห็น นางได้แต่เพียงมองดูแผ่นหลังและเส้นผมของเขาอย่างคิดใคร่ครวญอยู่นาน

 

 

หรงจิงไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองจะเกิดปฏิกิริยาได้ง่ายดายเช่นนั้น เขาเพิ่งผ่านกิจกรรมมาเมื่อครู่และสวมเพียงชุดนอนชุดเดียวก็เข้ามาในนี้ นอกจากเพราะความร้อนอบอ้าวแล้ว เขายังมีความตั้งใจจะมาหยอกเอินเซียงฉือด้วย

 

 

แต่กลับกลายเป็นการหยอกเข้าตัวเองไปเช่นนี้ จึงเกิดความกระอักกระอ่วนขึ้นมา

 

 

แต่ตอนนี้ยิ่งหรงจิงต้องการกดข่มตัวเองเท่าไร ความคิดนั้นกลับยิ่งเร่งเร้าความเร่าร้อนให้พลุ่งพล่านขึ้น

 

 

เซียงฉือไม่รู้ว่าด้านหน้าเป็นเช่นไร นางแตะแขนหรงจิงเบาๆ นิ้วมือน้อยๆ นุ่มนวลสัมผัสผ่านเสื้อแทรกเข้าถึงร่างเขา ทำให้ร่างเขาสั่นเทิ้มขึ้นน้อยๆ อย่างไม่อาจหักห้าม

 

 

‘ช่างเป็นปีศาจน้อยที่ทรมานคนเก่งเสียจริง’ หรงจิงลอบสำนึกเสียใจ เกรงว่าชื่อเสียงอันดีงามตลอดชีวิตของตนนั้น คงจะต้องถูกทำลายลงไปเพราะเจ้าเด็กนี่เสียแล้ว

 

 

จะให้นางเห็นความผิดปกตินี้ไม่ได้ จะหันกลับไปไม่ได้ หรงจิงลอบคิดคำนึง พุ่งสายตาไปยังกองรายงานด้านข้างแล้วจงใจสั่งการออกไปด้วยเสียงเย็นชา

 

 

“คืนนี้จัดการตรวจรายงานพวกนี้แทนข้า แล้วให้มารายงานกับข้าก่อนยามเหม่า[1]”

 

 

“ตรวจอ่านให้ละเอียดอย่าให้ผิดพลาด”

 

 

พูดจบหรงจิงก็เคลื่อนตัวจากไปด้วยท่าทางแข็งทื่อประหลาด หลังจากหายตะลึงและรอจนกระทั่งหรงจิงปิดประตูแล้ว เซียงฉือจึงได้ผุดรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก

 

 

นางทายได้ถูกต้องจริงๆ หรงจิงมีนิสัยเหมือนเด็ก เมื่อครู่เพียงเพราะเกิดความหึงหวงต่อหรงเฉิงเยี่ยเท่านั้น ไม่ได้คิดที่จะทำอะไรเซียงฉือจริงจัง

 

 

เรื่องนี้ไม่มีอะไรซับซ้อน หากเป็นวันเวลาปกติ หรงจิงที่เย็นชาจะไม่แทะโลมเซียงฉือเช่นนี้ แต่วันนี้มีเรื่องอยู่สองเรื่องที่อาจเป็นสาเหตุให้เขากระทำเช่นนี้

 

 

เรื่องแรกเป็นเรื่องของหรงเฉิงเยี่ย ส่วนเรื่องที่สองเกี่ยวกับซูเฟย แต่นางก็เห็นหรงจิงมีสีหน้าปลอดโปร่งดีตอนที่เพิ่งเดินเข้ามา ไม่น่าจะใช่เป็นเพราะซูเฟยปรนนิบัติบกพร่อง

 

 

ดังนั้นจึงเหลือเพียงเรื่องของหรงเฉิงเยี่ยแล้ว นางยังจำที่หรงเฉิงเยี่ยเคยพูดไว้ได้ว่า พี่ชายของเขาคนนี้มีอำนาจมากมายมหาศาลแต่จิตใจคับแคบ ตั้งแต่เล็กจนโตหากมีสิ่งใดที่เขาสนใจแล้วละก็ สิ่งของของเขานั้นผู้อื่นจะแตะต้องไม่ได้ มองดูก็ไม่ได้ อย่าว่าแต่จะให้เขาแบ่งปันกับใครเลย

 

 

ทว่านิสัยนี้กลับเป็นสิ่งที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนให้ความสำคัญต่อหรงจิง ของของเขาไม่ว่าจะดีเลวอย่างไร นอกจากเขาแล้วไม่ว่าใครก็ไม่ได้รับอนุญาตให้แตะต้อง

 

 

เพราะหรงจิงมีนิสัยเผด็จการเช่นนี้ หากนำมาใช้ในการบริหารประเทศจะกลายเป็นราชาพยัคฆ์ร้าย สามารถที่จะสยบหัวเมืองต่างๆ ในแผ่นดินนี้ได้อย่างราบคาบราชาหากไร้ซึ่งความสามารถนี้แล้ว จะเป็นจักรพรรดิได้อย่างไร

 

 

เซียงฉือเข้าใจนิสัยนี้ของเขาและรู้ที่จะเลือกใช้ยาได้ถูกต้อง ดังนั้นนางจึงยิ่งเชื่อว่าการกระทำเช่นนี้ของนางจะสามารถช่วยให้รอดพ้นจากหลุมพรางต่างๆ อีกทั้งยังจะทำให้ฮ่องเต้ไว้ใจนางได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย

 

 

หรงจิงกลับเข้าห้องซูเฟยไป แล้วเสียงเตียงเอี๊ยดอ๊าดน่ารังเกียจก็ดังขึ้นอีกครั้ง

 

 

 

 

 

 

 

[1]  ยามเหม่า  (卯时)  คือช่วงเวลาระหว่าง 05.00-07.00 น. ตามการนับโมงยามของจีน

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset