บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 360 กลเกมหมาก / ตอนที่ 361 ถวายรายงาน

ตอนที่ 360 กลเกมหมาก  

 

 

เสียงร้องเหมือนแมวครวญครางของซูเฟยสลับกับเสียงหอบหายใจหนักหน่วงของหรงจิงดังขึ้น ทว่าจิตใจของเซียงฉือในตอนนี้มั่นคงแน่วแน่อย่างยิ่ง  

 

 

มิน่าเล่าเหล่าขุนนางใหญ่ทั้งหลายจึงชื่นชอบการประลองปัญญาความกล้ากับฝ่าบาท เพราะชัยชนะในแต่ละครั้ง เป็นความสำเร็จสมดังใจปรารถนา ความสุขใจแบบนั้นไม่อาจบรรยายได้ เหนือกว่าสิ่งใดๆ ที่ผ่านมาทั้งปวง  

 

 

เซียงฉือมีเวลาแล้วจึงได้นำรายงานของเหอเจี่ยนสุยออกมาอ่านอย่างละเอียดและตั้งใจในทุกตัวอักษร ทุกประโยคถ้อยคำ ผ่านไปเป็นเวลานานจึงได้ปิดรายงานลงดังป้าบ  

 

 

“เจี่ยนสุยสมแล้วที่เป็นผู้ทรงภูมิ เมื่อครู่อ่านอย่างรีบเร่งเกินไปจึงเห็นไปว่าเขาวู่วาม การที่จะฟ้องร้องขุนพลจินเช่นนั้นไม่ต่างกับการราดน้ำมันลงบนกองไฟ รังแต่จะทำให้ตนเองถูกแผดเผา ทั้งไม่สามารถดับกองไฟบ้านสกุลจินได้ แต่ว่าคำพูดเหล่านั้นหากพิจารณาดูให้ถ่องแท้แล้ว เซียงฉือก็เข้าใจความนัยว่านี่เป็นเอกสารลับฉบับหนึ่ง ที่จะไปกระตุ้นความสนใจของฮ่องเต้ ทำให้ฮ่องเต้ยิ่งเห็นชัดและตัดสินใจในการจะขจัดบ้านสกุลจิน”  

 

 

“บ้านสกุลจินเป็นเสมือนต้นไม้ใหญ่ท้าลมเสมอมา ครั้งนี้ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้ปลดปล่อยบ้านสกุลอวิ๋นทั้งครอบครัวด้วยพระองค์เอง แต่จินกุ้ยเฟยยังคงท้าทายพระราชอำนาจ ไม่เห็นฝ่าบาทอยู่ในสายตาใดๆ เลย เรื่องนี้คิดว่าเหอเจี่ยนสุยคงได้ปรึกษากับเหลียนชินอ๋องแล้ว หากเป็นเช่นนั้น…”  

 

 

เซียงฉือใช้ความคิด คิ้วเรียวงามขมวดมุ่น นางคิดถึงวันนี้ที่เหลียนชินอ๋องเรียงตัวอักษรว่ารอที่ข้างใต้กระดานหมากขึ้นอีกครั้ง “รอ?”  

 

 

ในเกมหมากวันนี้ หรงเฉิงเยี่ยตั้งรับอย่างรอบคอบไร้ช่องว่าง แต่ฝ่าบาทกลับตั้งใจเตรียมพร้อม เห็นโอกาสเป็นฉกฉวยและบีบคั้นไล่ต้อน สุดท้ายก็บุกฝ่าเข้ายึดพื้นที่ได้  

 

 

หรงเฉิงเยี่ยกำลังเตือนสตินางให้ดำเนินการเรื่องทั้งหมดไปอย่างช้าๆ ไม่อาจเร่งรีบลงมือด้วยความร้อนรน และสำหรับรายงานครั้งนี้ สิ่งที่นางควรทำไม่ใช่เก็บซุกไว้แต่เป็นการรอคอย  

 

 

เมื่อเซียงฉือคิดเข้าใจได้เช่นนี้แล้วกลับรู้สึกซาบซึ้งใจที่หรงจิงทำให้นางไม่มีโอกาสไปหาเหอจิ่นเซ่อ  

 

 

ไม่ใช่ว่านางไม่เชื่อใจเหอจิ่นเซ่อ แต่เรื่องเหล่านี้ยิ่งรู้น้อยลงคนหนึ่งก็จะยิ่งเป็นการรับประกันความปลอดภัยมากขึ้น อีกอย่างหนึ่งเป็นเพราะคนในกองราชเลขามีมาก ใครจะรู้ได้ว่าเรื่องจะไม่เข้าถึงหูฮ่องเต้เข้าจนได้  

 

 

ตอนนี้ถูกฝ่าบาทรั้งไว้ ให้นำทุกอย่างเข้ามายังตำหนักจู้เซียง ดังนั้นย่อมสามารถใช้ซูเฟยมาเป็นปราการในเรื่องทั้งปวงได้  

 

 

เซียงฉือยิ้มจางๆ แล้ววางรายงานนั้นไว้ในกองเอกสารที่ตรวจอ่านและทำการบันทึกแล้ว  

 

 

ครั้งนี้ทำให้นางเข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้นว่าการอยู่ในวังนี้ไม่อาจมีใครที่จะมาคอยชี้แนะนางได้ตลอดเวลา บ่อยครั้งนักที่นางจะต้องคิดพิจาณาใคร่ครวญและทำให้สำเร็จเพียงลำพังคนเดียว  

 

 

ไม่ว่าเห่อจิ่นเซ่อจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ยังมีบางเวลาที่ไม่อาจให้นางพึ่งพาได้ นางต้องเดินอยู่ข้างกายฝ่าบาทด้วยความระแวดระวังด้วยตนเอง  

 

 

ประสบการณ์ในเรื่องนี้ทำให้นางมองได้ปรุโปร่งเป็นอย่างมาก  

 

 

นางรู้ว่าความโชคดีเช่นนี้มิได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก และรายงานพวกนี้ก็มีแต่จะกองทับถมเป็นภูเขาเลากาตลอดไป นางเป็นเพียงกลุ่มคนอ่อนแอที่นั่งอยู่ข้างพยัคฆ์จำเป็นต้องทำตามใจพยัคฆ์ ดำเนินการด้วยความระมัดระวัง  

 

 

เซียงฉือถอนใจยาว นางพลิกรายงานเล่มหนึ่งแล้วอ่านด้วยความอดทนใส่ใจ  

 

 

ขณะนั้นหรงจิงหลับไปแล้ว วันนี้เขาเหนื่อยอ่อนจริงๆ  

 

 

เงียบสงบผ่านไปหนึ่งราตรี เช้าวันรุ่งขึ้นหรงจิงตื่นแล้ว เซียงฉือฟุบหลับได้เพียงครู่เดียวอยู่บนโต๊ะหนังสือ แล้วก็ได้ยินเสียงซูกงกงปลุกให้นางตื่น  

 

 

นางจัดแจงความเรียบร้อยครู่หนึ่งแล้วจึงเดินไปข้างกายฮ่องเต้ตามคำบัญชา จากนั้นรายงานเนื้อหาใจความสำคัญที่เตรียมไว้แล้วตั้งแต่เมื่อคืนต่อฮ่องเต้  

 

 

เซียงฉือรายงานตามปกติด้วยการอ่านรายชื่อผู้ที่ส่งเอกสารถามไถ่ทุกข์สุขก่อน จากนั้นตามด้วยการทูลเรื่องราวที่เกี่ยวข้องต่างๆ เมื่อมาถึงรายงานของเหอเจี่ยนสุยนางชะงักเล็กน้อยก่อนจะอ่านต่อไปด้วยสีหน้าปกติ  

 

 

ทว่าการชะงักงันนั้นทำให้ซูเฟยและพวกที่คอยช่วยดูแลการแต่งกายหวีผมให้ฮ่องเต้ในที่นั้น พากันตั้งใจฟังขึ้นมา  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 361 ถวายรายงาน  

 

 

เซียงฉือยืนอ่านอยู่ข้างกายหรงจิง เสียงนางสั่นขึ้นน้อยๆ เมื่ออ่านถึงตรงนี้ด้วยความสะเทือนอารมณ์ แต่ก็อ่านเรื่องตามที่เหอเจี่ยนสุยรายงานมาทั้งหมด  

 

 

“เหอเจี่ยนสุยหมายความว่าอย่างไร”  

 

 

เซียงฉือยังอ่านไม่จบก็ได้ยินเสียงหรงจิงถามขึ้นมาก่อน นางเงยหน้าขึ้นจากการบรรยายสรุปแล้วมองฮ่องเต้ ดวงตารื้นขึ้น  

 

 

“ฝ่าบาท เขาเพียงทูลว่าแม้ครอบครัวของหม่อมฉันจะได้รับพระราชทานอภัยโทษจากฝ่าบาทให้กลับภูมิลำเนาเดิมแล้ว แต่ท่านปู่กับท่านอารองได้เสียชีวิตลงที่เหมืองแร่ในเมืองชังโจว ส่วนบิดาของหม่อมฉันหลังจากได้รับราชโองการแล้วก็เดินทางกลับไปตระเตรียมการที่หลานโจวก่อนในทันที ที่เขาถวายรายงานมานี้ก็เพื่อจะขอพระกรุณาจากฝ่าบาท ขอให้ได้นำกระดูกของท่านปู่และอารองของหม่อมฉันกลับคืนสู่บ้านเกิดเพคะ”  

 

 

“หม่อมฉันทูลขอพระบรมราชานุญาตด้วยเพคะ ถึงแม้ท่านปู่จะมีโทษทัณฑ์ แต่ท่านก็รับราชการมาถึงสี่สิบปี ขอฝ่าบาทโปรดทรงประทานให้ท่านได้กลับสู่รากคืนสู่แผ่นดินบ้านเกิดด้วยเถิดเพคะ”  

 

 

อวิ๋นเซียงฉือกอดสมุดสรุปรายงานสั่นเทิ้มไปทั้งตัว แทบจะต้องกัดฟันในการพูดเรื่องนี้ออกมา นางมองดวงตาของหรงจิงแล้วคุกเข่าลงขอความกรุณาจากเขา  

 

 

กำปั้นหรงจิงค่อยๆ กำแน่นเข้าขณะฟัง เหอเจี่ยนสุยรายงานถึงสภาพที่น่าเศร้าในขณะนี้ของครอบครัวเซียงฉือก่อน แล้วจึงพูดถึงการตายของอวิ๋นเทียนปู่ของเซียงฉือที่เหมืองแร่เมืองชังโจว โดยระบุช่วงเวลาอย่างแม่นยำ ซึ่งแสดงจะแจ้งว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นภายหลังจากที่ฮ่องเต้ได้อภัยโทษไปแล้ว  

 

 

เซียงฉือเพียงรายงานตามหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุด ส่วนคิ้วหรงจิงขมวดมุ่นขึ้นหลังจากที่ได้ฟัง  

 

 

เซียงฉือคุกเข่าอยู่บนพื้น พยายามฝืนกลั้นน้ำตาอย่างเต็มที่ นางเพียงอ้อนวอนขอฮ่องเต้ให้ได้นำกระดูกกลับไปฝังยังบ้านเกิดเท่านั้น  

 

 

ร่างของหรงจิงเริ่มเกร็งขึ้น ส่วนซูเฟยที่ฟังเรื่องนี้อยู่ด้านข้างก็เกิดแผนขึ้นในใจ นางเคยคิดว่าอวิ๋นเซียงฉือเป็นคนของจินกุ้ยเฟยจึงรู้สึกไม่ดีกับนางเสมอมา  

 

 

แต่นางเป็นคนฉลาดหลักแหลม พอฟังแล้วก็เข้าใจเจตนาของเหอเจี่ยนสุย อีกทั้งความขัดแย้งระหว่างเซียงฉือกับจินกุ้ยเฟยออกอย่างรวดเร็ว  

 

 

เซียงฉือจงใจนำเรื่องนี้สู่ตำหนักจู้เซียงและพูดขึ้นต่อเบื้องหน้าซูเฟยก็เพื่อเจตนานี้  

 

 

นางกำลังหาพันธมิตร หาคนช่วยเหลือและต้องการที่พึ่งพาอาศัย นางรู้ว่าซูเฟยฉลาดพอที่จะฟังออกได้เป็นแน่  

 

 

ส่วนฝ่าบาทย่อมไม่ได้คิดถึงเจตนาเล็กน้อยพวกนี้ของนาง เพราะเขามีเรื่องอื่นที่ต้องคิดพิจารณามากกว่า เขาไม่เหมือนซูเฟย ด้วยจุดยืนและวิสัยทัศน์ของพวกเขานั้นต่างกัน  

 

 

ซูเฟยมุ่งเพียงฝ่ายในนี้ ส่วนหรงจิงต้องคำนึงถึงทั่วทั้งแผ่นดิน  

 

 

หากเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องระหว่างเซียงฉือกับจินกุ้ยเฟยเขาจะไม่ไปยุ่งด้วยอย่างเด็ดขาด แต่นี่เขาได้มีราชโองการปลดปล่อยอวิ๋นเทียนแล้ว แต่คนของจวนขุนพลจินยังเจาะจงเข้าไปทำร้ายคนจนถึงแก่ความตาย นี่เห็นคำพูดของเขาเป็นอะไรกัน  

 

 

เขาเป็นฮ่องเต้ กุมอำนาจใหญ่ทั้งแผ่นดิน กลับไม่สามารถปกป้องชีวิตขุนนางต้องโทษคนหนึ่งได้ หมายความว่าคนคนนี้จะก่อกบฏเช่นนั้นหรือ  

 

 

หรงจิงเก็บดวงตาแคบเรียวราวปีศาจขึ้น เขามองดูเซียงฉือที่คุกเข่าฟุบอยู่ข้างเท้า เห็นนางกัดริมฝีปากแน่นร่างกายสั่นเทิ้ม ก็ยิ่งเกิดความไม่พอใจ  

 

 

ถึงกับมีคนไม่รู้ดีชั่วกล้าทำกับคนข้างกายเขาเช่นนี้!  

 

 

แม้ในใจซูเฟยจะคิดอะไรมากมายแต่ก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าแม้แต่น้อย ยังคงจัดแจงแต่งชุดออกขุนนางให้หรงจิงอย่างเรียบร้อยด้วยมือไม้แคล่วคล่อง ทุกเช้าวันจันทร์จะเป็นการประชุมใหญ่ ซึ่งเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ผู้มีคุณูปการ ขุนศึกขุนนาง กั๋วกงท่านอ๋องในเมืองหลวง ต่างล้วนต้องเข้ารายงานตัวในท้องพระโรง  

 

 

ซึ่งหมายถึงว่าขุนพลจินก็ต้องเข้าร่วมด้วย รายงานฉบับนี้ช่างมาได้เวลาอย่างเหมาะเจาะ  

 

 

“นำรายงานฉบับนั้นมา!”  

 

 

ซูกงกงได้ยินแล้วก็หมุนกายออกไปยังห้องอักษร แล้วนำรายงานมาถวายฮ่องเต้  

 

 

เซียงฉือยังคงคุกเข่าอยู่ นางรู้ว่าเรื่องนี้คงไม่ทำให้ฝ่าบาททำอะไรขุนพลจินได้จริงจัง แต่จะทำให้เขารู้สึกติดค้างนาง และเกิดความรู้สึกว่าขุนพลจินถือตัวมีความดีความชอบเหนือนาย ไม่เห็นเขาที่เป็นฮ่องเต้คนนี้อยู่ในสายตา ซึ่งก็เพียงพอแล้ว  

 

 

แต่ไรมาการสู้รบปรบมือในราชสำนักใช่ว่าจะเผด็จศึกได้ในคราเดียว หากคิดจะเอาชนะ จะต้องค่อยๆ ทำให้ฮ่องเต้เกิดความผิดหวังในฝ่ายตรงข้ามและตราบเมื่อมีคดีความใหญ่ถูกเปิดโปงขึ้นมา เมื่อนั้นฮ่องเต้ย่อมจะบังเกิดจิตพิฆาต  

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset