เวินหนิงคิดไม่ออกว่าทำไมเขาต้องมา ส่วนชายหนุ่มเองก็ดูเหมือนว่าจะไม่อธิบายให้เธอฟังดีๆ
ดังนั้น เธอเลยยอมถอยหนึ่งก้าว “ขอโทษค่ะ ฉันเพิ่งจะหลับเลยมึนๆไป”
ฟังน้ำเสียงขึ้นจมูกของเวินหนิง แถมยังทำท่าเหมือนว่าต้องการจะขีดเส้นแบ่งชัด อยู่ๆลู่จิ้นยวนก็คิดว่าผู้หญิงคนนี้เกรงว่าเวลาหลับค่อนข้างจะน่ารักกว่า อย่างน้อย คงไม่เหมือนตอนนี้ที่ทำตัวระแวดระวังเขา
เพียงแต่ เพราะว่าตอนนี้เวินหนิงยังป่วยอยู่ เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ทำเสียงหึเบาๆ “ไม่สบายได้ยังไง?”
เวินหนิงก็ไม่อยากตอบ ไม่กี่วันมานี้แป๊บๆเธอก็ออกไปเดินเล่น อยากเห็นว่ามีคนเห็นข้อความขอความช่วยเหลือของตัวเองไหม แต่ว่าคำตอบที่ได้รับกลับเป็นความผิดหวังเป็นครั้งๆไป
จำนวนครั้งมากขึ้น ความรู้สึกก็ได้รับผลกระทบ ร่างกายก็เลยเกิดปัญหาไปด้วย
แถมคนที่เป็นคนที่ทำให้เกิดเรื่องพวกนี้ขึ้น ยังจะมาถามเธออีกว่าทำไม…….
เวินหนิงเองก็ไม่ได้พูดอะไร ลุกขึ้นไปเปิดไฟ “ฉันไม่ได้เป็นอะไร คุณไปเถอะค่ะ”
อารมณ์ของลู่จิ้นยวนที่ตอนแรกก็นับได้ว่าสงบมากๆก็โดนเธอยั่วให้โมโห “พอตื่นขึ้นมาก็ไล่ฉันไปเลยนะ ลืมแล้วเหรอว่าเมื่อกี้ใครที่เป็นคนจับมือฉันเอาไว้ให้ตายยังไงก็ไม่ยอมปล่อย?”
เวินหนิงหน้าแดง “เมื่อกี้……ก็แค่การกระทำที่ไม่รู้สึกตัว ฉันก็ไม่ได้รู้สักหน่อยว่าเป็นคุณ……”
“ไม่ใช่ผม คุณหวังให้เป็นใคร?” ลู่จิ้นยวนกลับไม่พอใจกับคำพูดแบบนี้ของเธอ อย่าบอกนะว่าตอนที่เธอกำลังฝัน ในฝันนั้นเป็นผู้ชายอีกคนหนึ่ง?
กล้ามากจริงๆนะ
ในความฝันของเวินหนิง แน่นอนว่าต้องเป็นลู่จิ้นยวน เพียงแต่ที่ไม่เหมือนกับชีวิตจริงก็คือ ในฝันลู่จิ้นยวนเชื่อคำพูดของเธอ พวกเขารอให้ลูกเกิดมาอย่างมีความสุข ไม่ทะเลาะ ไม่เคลือบแคลง
ส่วนชีวิตจริง……..
แน่นอนว่าห่างกันไกลมาก
“ฉันไม่ได้คิดอะไรมากขนาดนั้น คงเพราะว่าเหนื่อยเกินไป คุณงานยุ่งขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นก็ไปเถอะค่ะ อย่าเสียเวลาเพราะฉันเลย”
เวินหนิงไม่มีอารมณ์จะทะเลาะอะไรกับลู่จิ้นยวน ตอนนี้เธอยังคงรู้สึกไม่สบายตัว ถึงแม้ว่าหลับไปตื่นหนึ่งอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง แต่เพราะว่าสองสามวันมานี้ไม่อยากอาหาร ไม่ได้กินข้าวดีๆ ตอนนี้เธอรู้สึกว่าสมองยังมึนๆเบลอๆ
ลู่จิ้นยวนมองเธอยกมือขยี้หัวอย่างไม่รู้ตัว “ผมดูคุณกินยาเสร็จแล้วค่อยไป”
เวินหนิงเอามือลง หัวเราะเยาะกับตัวเอง เธอไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าลู่จิ้นยวนอยากทำอะไร
ทุกครั้งในตอนที่เธอนึกว่าเขานั้นขยะแขยงตัวเอง ลู่จิ้นยวนมักจะทำอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอเข้าใจผิด ดูแล้วเหมือนกับว่าเป็นห่วงเธอจริงๆ
แต่รอจนเธอเชื่อว่าใจของเขามีเธอแล้วจริงๆ เขาก็เริ่มเปลี่ยนไปอีกครั้ง สงสัยขึ้นมาอีกครั้ง
การเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนี้ เธอนั้นทนมามากแล้วจริงๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันกินยาเองได้ ฉันไม่มีทางแกล้งป่วยเพื่อขู่คุณหรอก ไม่จำเป็นที่จะต้องให้คุณชายลู่ที่กำลังงานยุ่งมาเป็นห่วง”
ความเป็นห่วงของลู่จิ้นยวน ก็เหมือนกับการดื่มยาพิษดับกระหาย เธอไม่อยากจะจมลงไปไม่อยากจะโดนหลอก เพราะฉะนั้น ยอมที่จะปฏิเสธไปตรงๆ
สีหน้าของลู่จิ้นยวนเคร่งขรึมขึ้นมา เขาจำเป็นที่จะต้องยอมรับ ผู้หญิงคนนี้มีความสามารถที่พูดไม่กี่คำแล้วทำให้เขานั้นโมโหขึ้นมาได้
“เวินหนิง คำพูดที่ผมบอก ไม่จำเป็นให้คุณมาสอนว่าต้องทำยังไง คุณแค่ฟังก็พอแล้ว”
พูดไป ลู่จิ้นยวนก็ลุกขึ้น “อีกเดี๋ยวผมจะเรียกให้คนเอายามาให้ คุณกินยาเข้าไปดีๆ อย่าสร้างปัญหา”
พูดจบ ชายหนุ่มก็เดินออกไป
เวินหนิงมองแผ่นหลังของเขา ไม่พูดอะไรทั้งนั้น
ผ่านไปครู่หนึ่ง ลู่จิ้นยวนถือยากลับมา เพราะว่าตอนนี้เวินหนิงกำลังท้อง เป็นสถานการณ์พิเศษ ยาที่กินได้ก็น้อยมากๆ คุณหมอบอกว่าทำได้เพียงแค่การลดอุณหภูมิจากทางกายภาพเท่านั้น ดังนั้น เขาก็เลยหยิบมาแค่วิตามินซีแบบเม็ดกลับมาสองสามแบบ
หลังจากที่เวินหนิงเห็น ก็หยิบมาอ่านเอกสารประกอบยาอยู่แป๊บหนึ่ง หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าไม่มีส่วนประกอบที่ตัวเองกินไม่ได้ ถึงเปิดออก
ลู่จิ้นยวนมองท่าทางระวังของเธอ ความไม่พอใจที่อยู่ภายในก็เพิ่มมากขึ้น นี่หมายความว่าอะไร กังวลว่าเขาจะใช้วิธีลอบกัดมาทำร้ายเด็กนอกคอกในท้องเธอ?
เขาไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น
“เวินหนิง คุณอย่าคิดมาก ผมเป็นคนรักษาคำพูด ตอนที่เด็กนี่ยังอยู่ในท้องคุณ ผมจะไม่ทำอะไรมัน คุณไม่จำเป็นที่จะต้องทำเรื่องที่ไม่จำเป็นพวกนี้”
เวินหนิงฟังจบ มือที่ขยับอยู่ก็ชะงักไป คำพูดของลู่จิ้นยวนไม่ได้ทำให้เธอผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย แต่กลับกำลังเตือนเธอ อีกไม่กี่เดือนต่อจากนี้ เธอจำเป็นที่จะต้องแยกจากกับลูกที่อยู่ในท้องของเธอ
มือก็กำเม็ดยาเอาไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว
ตอนนี้ระยะห่างจากกำหนดคลอด รวมๆแล้วก็ไม่ถึงห้าเดือน แถมพอถึงเวลาช่วงใกล้คลอด ร่างกายก็จะหนักมาก แถมจะคลอดเมื่อไหร่ก็ได้ เธอก็ยิ่งหมดโอกาสที่จะหนีแล้ว…….
เธอจำเป็นที่จะต้องรีบไปจากที่นี่
คิดไป เวินหนิงก็เงยหน้าขึ้นมาเอายาใส่เข้าไปในปาก ดื่มตามให้ยาลงไป การกระทำทั้งหมดไม่ได้ชักช้าเลยแม้แต่น้อย
หลังจากนั้น ถึงได้มองลู่จิ้นยวน “ฉันกินแล้ว โอเคแล้วใช่ไหมคะ?”
ตอนนี้เธอต้องการอยู่เงียบๆคนเดียว คิดว่าอนาคตจะเอางยังไงต่อดี
ลู่จิ้นยวนอยู่ที่นี่ หัวใจของเธอก็เอาแต่เต้นแรงอยู่ตลอด คิดอะไรไม่ออกเลยสักนิด
ลู่จิ้นยวนเห็นว่าเวินหนิงอยากจะไล่ให้ตัวเองไป ก็ยิ่งไม่อยากจะไป ทำไมเขาจะต้องปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้ๆด้ตามที่หวัง อยู่คนเดียว อยากจะคิดถึงใคร?
“ไม่ หมอบอกแล้ว ต้องลดอุณหภูมิจากทางกายภาพ”
ลู่จิ้นยวนโบกของที่อยู่ในมือ “นอนลง เด็กดี”
เวินหนิงเบิกตากว้างมองเขา “ไม่ต้องค่ะ ฉันทำเองก็ได้ ไม่ก็ ให้พวกเธอช่วยก็ได้แล้ว”
ลู่จิ้นยวนเลิกคิ้วอย่างอารมณ์เสีย “คุณอยากให้ใครช่วยคุณ? ลดอุณหภูมิจากทางกายภาพ คุณรู้ไหมว่ามันเป็นยังไง?”
เมื่อกี้หมอบอกแล้ว วิธีที่ทำให้อุณหภูมิลดเร็วที่สุดก็คือการใช้น้ำอุ่นเช็ดตัว หลังจากที่น้ำระเหยออกไปก็จะทำให้อุณหภูมิลดลง
เธอคิดจะถอดเสื้อผ้าให้ใครดูอีก?
“อะไร?”
เวินหนิงกลับไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนี้ ที่เธอจำได้ก็คือไม่ใช้ว่าใช้ผ้าเปียกมาวางไว้บนหน้าผากก็เสร็จแล้วเหรอ?
“คุณนี่ไม่มีความรู้รอบตัวบ้างเลยจริงๆสินะ” ลู่จิ้นยวนมองท่าทางตกใจของเวินหนิง ยกยิ้มขึ้นมา “ถอดเสื้อผ้า ผมเช็ดตัวให้คุณเอง”
เวินหนิงหน้าแดงขึ้นมาทันใด “ไม่เป็นไรค่ะ……”
เธอไม่ต้องการให้ลู่จิ้นยวนมาดูแลเธอแบบนี้ ต่อหน้าผู้ชายแบบนี้ น่าอายเกินไปแล้ว
โดยเฉพาะ ทำอย่างนี้ในตอนที่เธอยังมีสติอยู่ครบ เอาเสียเธอไม่มีหน้าไปเจอใครแล้ว
“ฉันไปอาบน้ำเองก็ได้ค่ะ ไม่จำเป็นต้องให้คุณลงมือทำให้”
ลู่จิ้นยวนมองท่าทางเขินอายจนหน้าแดงหูแดงของเวินหนิง ความหงุดหงิดเมื่อกี้ก็หายไปมากแล้ว หัวเราะแล้วมองเธอ “บนตัวคุณมีตรงไหนที่ผมยังไม่เคยมองอีกบ้าง?”
เวินหนิงยิ่งลำบากใจขึ้นไปอีก เอามือกอดเอาไว้แล้วถอยหลังไปสองก้าว ลู่จิ้นยวนมองเธอที่มีท่าทางราวกลับโดนกลั่นแกล้งอย่างรุนแรง ดวงตาแดงๆเหมือนกับกระต่ายน้อยน่าสงสาร ไฟโกรธในใจที่ดับไปแล้วกลับปะทุขึ้นมาใหม่
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม มองเห็นผู้หญิงคนนี้ เขามักจะวู่วามขึ้นมา ต่อให้ในเวลาทั่วไปมีผู้หญิงมากมายพุ่งเข้าหา เขาก็สามารถที่จะบังคับตัวเองได้ แต่ว่าสิ่งที่ดึงดูดเขาจนขนาดสติไปโดยสิ้นเชิงแบบนี้ มักจะเกิดขึ้นต่อหน้าของเวินหนิง
แววตาของชายหนุ่มนั้นอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ…….
