บ่วงแค้นแสนรัก – ตอนที่ 245 ความยากลำบากที่หนักอึ้ง

ลู่จิ้นยวนที่กำลังนั่งอยู่บนเครื่องบิน ฉับพลันนั้นก็ถูกความรู้สึกอันทรมานปกคลุมเข้ารอบกาย

ราวกับว่าที่อกมีบางสิ่งกำลังกดทับ ความรู้สึกที่หนักคับแน่นขึ้นทุกที จนทำให้เขาแสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมา

นี่มันอะไรกันเนี่ย

ลู่จิ้นยวนอดไม่ได้ที่จะเอามือกดคลายบริเวณที่สร้างความเจ็บราวกับฝันเมื่อสักครู่ ทั้งๆ ที่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่ทำไมถึงได้เจ็บปวดทรมานแบบนี้กัน

ราวกับมีสิ่งสำคัญอะไรบางอย่างกำลังจะหายไปอย่างไรอย่างนั้น

“คุณลู่ ไม่ทราบว่าเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”

ลู่จิ้นยวนเวลาขึ้นเครื่องบินก็จะนั่งที่นั่งชั้นเฟิร์สคลาสมาโดยตลอด ดังนั้นทุกคนก็เลยล้อมรอบเพื่อดูแลเขาคนเดียว

เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่สู้ดีนักของเขา พนักงานแอร์โฮสเตสจึงรีบเดินเข้ามาหาโดยทันที แล้วเอ่ยถามด้วยความห่วงใย

“ไม่เป็นไร” ลู่จิ้นยวนโบกมือปัด ความรู้สึกนั้นได้หายไปเป็นการชั่วคราวแล้ว เพียงแค่ว่า ในใจเขากลับถูกปกคลุมไปด้วยลางสังหรณ์ที่ทำให้ใจไม่สงบ “อีกนานแค่ไหนกว่าจะถึง?”

ความรู้สึกที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกในตอนนี้นั้น สร้างความรู้สึกที่ทำให้จิตใจว้าวุ่นอย่างไม่มีที่มาที่ไป

“เหลืออีกประมาณ 5 ชั่วโมงค่ะ” แม้ว่าลู่จิ้นยวนจะเอ่ยออกมาว่าตนเองไม่เป็นอะไร แต่แอโฮสเตสก็ยังคงเอาน้ำอุ่นหนึ่งแก้วกับผ้าขนหนูมาให้ “คุณลู่อาจจะล้ามากเกินไปแล้ว ไม่ทราบว่าต้องการพักผ่อนสักหน่อยไหมคะ”

ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้นั้น ลู่จิ้นยวนทั้งจัดการเรื่องของบริษัทที่อยู่ต่างประเทศ ทั้งยังต้องแบ่งร่างวิญญาณไปจัดการปัญหาขวากหนามในชีวิตของเวินหนิง

แม้จะพูดได้ว่า เรื่องราวชีวิตของเวินหนิงนั้นก็สามารถที่จะส่งต่อไปให้คนอื่นจัดการได้ แต่เขาก็กลับรับผิดชอบด้วยตัวเองทั้งหมด

การที่สามารถจะทำอะไรเพื่อเธอให้เพิ่มมากขึ้นได้แม้เพียงสักนิด การที่สามารถจะมองเธอให้ได้มากขึ้น ล้วนแต่ทำให้เขารู้สึกสงบใจ ต่อให้เหนื่อยสายตัวแทบขาดแต่ก็ยังคงเป็นสิ่งที่หอมหวาน

“อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ ปลุกฉันหนึ่งชั่วโมงก่อนถึงด้วย”

ลู่จิ่นยวนผ่อนคลายคิ้วที่ขมวดมุ่นของตน หรือว่าเขาอาจจะต้องการการพักผ่อนจริงๆ ก็ได้

………

เวินหนิงอยู่ในห้องระบายอารมณ์ไปสักพัก ถึงพึ่งจะค่อยๆ เรียกคืนสภาพจิตใจให้กลับมาคงที่

ตอนนี้เรื่องก็กลายเป็นเสียแบบนี้ไปแล้ว เธอจะละทิ้งยอมแพ้อีกต่อไปไม่ได้ ถ้ายอมแพ้ไป ก็จะไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยวของความหวัง และถ้ายังคงยืนหยัดต่อไป ก็อาจจะยังมีโอกาสที่เป็นไปได้อยู่

เวินหนิงครุ่นคิด แล้วจึงเปิดประตู ก็หันไปเห็นคนอารักขาที่ยืนอยู่หน้าประตูอย่างไม่คาดคิด “คุณหนูเวิน มีอะไรหรือเปล่าครับ”

เวินหนิงส่ายหัว เธอแค่อยากเห็นสถานการณ์ข้างนอกเท่านั้นเอง แต่เพียงได้มองออกไปหนึ่งทีก็ทำให้เธอรู้สึกไร้กำลังได้มากพอแล้ว เย่หวานจิ้งลงทุนใช้แรงกับเธอมากอย่างเห็นได้ชัด เธอเป็นเพียงแค่ผู้หญิงท้องเพียงคนเดียว แต่กลับใช้ผู้ชายอกสามศอกมาดูเธอเป็นสิบๆ คน

ถ้าเป็นเช่นนี้ ต่อให้เธอคิดจะหนีก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลย

“ฉันอยากจะกินข้าวเย็น”

เวินหนิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ

คำพูดประโยคนี้ของเธอทำให้คนคุมตัวเธอนั้นรู้สึกประหลาดใจจนต้องมองเธอใหม่ การที่ถูกลักพาตัวมาเสียขนาดนี้แล้วยังมีความอยากอาหารอยากทานอะไรอยู่ นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทำเลยจริงๆ

แต่ว่า เย่หวานจิ้งได้ออกคำสั่งไว้แล้ว ต้องรักษาชีวิตของเวินหนิงเอาไว้ให้ดี ห้ามให้กระทบต่อเด็กที่อยู่ในท้องเธอโดยเด็ดขาด ดังนั้นเขาจึงเรียกคนมารับคำไปทันที

เวินหนิงพูดเสร็จก็ปิดบานประตูลง ไม่อยากที่จะสนใจพวกคนที่สามารถช่วยทรราชก่อกรรมทำเข็ญได้เลยจริงๆ

เธอกลับมาที่ห้อง ก็เจอกระดาษกับปากกา จึงได้วาดตำแหน่งของคนพวกนั้นที่เธอพึ่งจะเห็นเมื่อสักครู่นี้ รวมไปถึงตำแหน่งโครงสร้างของอาคารที่เธอยังจำได้

ตอนนี้ เธออยู่ที่ห้องชั้นสามของคฤหาสน์ที่แยกตัวออกมาอยู่เดี่ยวๆ ภายใต้สถานการณ์นี้สำหรับคนท้องแล้ว จะกระโดดหนีออกไปทางหน้าต่างนั้นไม่มีทางเป็นไปได้เลย แถมที่ด้านนอกประตูก็มีคนคอยคุ้มกันอยู่ถึงสี่คน ที่ปักหลักไม่ยอมไปไหน นอกจากนี้ยังมีคนคอยคุมอยู่ที่บริเวณบันไดอีกหลายคน

พูดง่ายๆ ก็คือเหมือนกับป้อมปราการเหล็กชัดๆ

คิ้วของเวินหนิงขมวดผูกเป็นปมแน่น กำปากกาที่อยู่ในมือ แทบที่จะหักปากกาเป็นสองท่อนด้วยแรงกำลังที่มี

หรือว่า……..จะไม่มีทางหนีแล้วจริงๆ

ขณะที่เธอกำลังเค้นสมองว่าจะสามารถหนีออกไปจากที่นี่ได้อย่างไร ก็มีเสียงคนเคาะประตูดังขึ้น เวินหนิงเดินไปหา ก็เห็นว่ามีคนนำอาหารเย็นมาให้

ภายในเวลาอันสั้นนี้ ก็สามารถที่จะทำอาหารสำหรับบำรุงคนท้องมาได้ เวินหนิงมองแล้วก็รู้สึกขันอยากจะหัวเราะออกมา นี่มันอะไรกัน ราวกับเป็นมื้ออาหารดีๆ ก่อนที่จะถูกจับขึ้นแท่นประหารอย่างไรอย่างนั้น

ในสายตาของตระกูลลู่แล้ว เกรงว่าเธอก็จะเป็นเพียงแค่เครื่องผลิตเด็ก

“ขอบคุณ”

เวินหนิงตัดสินใจปิดประตูลง แต่ทันใดนั้นคนที่พึ่งจะคุยกับเธอเมื่อก่อนหน้านี้ได้ขยับปากพูดขึ้นมาอย่างฉะฉานว่า “คุณหนูเวิน ถ้าคิดไม่ผิดล่ะก็ เมื่อสักครู่คุณคงไม่ได้อยากจะกินอะไรหรอก เพียงแต่อยากจะดูตำแหน่งของพวกเราใช่ไหมครับ”

เพื่อที่จะให้เรื่องราวในครั้งนี้ไม่มีข้อผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว เย่หวานจิ้งตั้งใจหากลุ่มคนที่มีประสบการณ์ที่ได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวดมาเป็นพิเศษ ความสามารถนั้นมีมากกว่าบอดี้การ์ดทั่วไปราวฟ้ากับเหว

เมื่อสักครู่นั้นเป็นเพียงการพบเจอเพียงแค่ครู่เดียว เขาก็สังเกตหาสิ่งที่ดูผิดแปลกได้

“ฉันไม่เข้าใจว่าคุณพูดถึงเรื่องอะไร” เวินหนิงแสร้งทำท่าราวกับไม่มีอะไร แต่ที่ฝ่ามือก็มีเหงื่อเย็นชื้นซึมออกมาแล้ว

ไม่คาดคิดเลยว่า ไม่เพียงแต่ว่ามีจำนวนที่เยอะกว่าเท่านั้น แต่กลับสังเกตมองออกถึงเรื่องที่ละเอียดขนาดนี้ได้

“ถ้าคุณหนูเวินไม่อยากจะยอมรับก็ไม่เป็นไร แต่ว่า ผมอยากพูดสักเรื่องหนึ่ง”

“ตอนนี้ตระกูลลู่ไม่ต้องการที่จะทำร้ายคุณและเด็กที่อยู่ในท้องคุณ ขอเพียงแค่คุณหนูเวินให้ความร่วมมือ งั้นพวกเราก็จะทำตัวสงบเสงี่ยมไม่ให้เกิดปัญหา แต่ถ้าคุณหนูเวินไม่คิดให้ดีๆ ล่ะก็ ก็ไม่ถือว่าพวกเราจะไม่มีวิธีรับมือเสียทีเดียว ถ้าหากว่าคุณไม่ถือสาล่ะก็ตลอดภายในช่วงหนึ่งเดือนนี้ของกำหนดคลอดจะถูกมัดเอาไว้ และจะให้คนคอยจับตาดูอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง………. ”

เวินหนิงรับรู้ได้ถึงน้ำเสียงข่มขู่ในคำของเขา “คุณไม่คิดว่าการข่มขู่ผู้หญิงท้องแบบนี้มันน่าละอายบ้างหรือไง”

“พวกเราก็แค่ทำงานตามที่ได้รับเงินมาเท่านั้น ส่วนเรื่องละอายหรือไม่ละอายใจนั้น รบกวนคุณหนูเวินไปคุยกับคนของตระกูลลู่จะดีกว่านะครับ”

เวินหนิงหมุนตัวหันหลังกลับแล้วปิดประตูให้สนิท ด้วยความโกรธที่ปะทุขึ้นมาจึงล็อคลงกลอนอีกหลายอันที่บานประตู และตั้งใจแผดเสียงกรีดร้องจนบาดแก้วหู

แต่ว่า นอกจากตัวเธอเองที่รู้แล้ว ทำแบบนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย

เธอในตอนนี้ ก็คือก้อนเนื้อที่วางอยู่บนเขียง ไม่ว่าใครก็สามารถมาชำแหละเชือดเธอได้

ตระกูลลู่……ได้เชิดชักใยตัวเธอมานานแสนนานแล้ว แต่ว่าจนถึงกระทั่งตอนนี้ ก็ยังคงที่จะคอยควบคุมชีวิตของเธออยู่อย่างงั้นเหรอ

ทันใดนั้นเวินหนิงก็รู้สึกเหนื่อยล้าเกินทน ตั้งแต่ที่ได้ไปชนเข้ากับลู่จิ้นยวนในตอนนั้น ชะตาชีวิตของเธอก็ราวกับมีเส้นด้ายที่มองไม่เห็นเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเส้น และได้ดึงชีวิตของเธอให้เข้ามาเชื่อมติดกันกับของตระกูลลู่

เธอคิดที่อยากจะแหกกรงหนีออกมา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะดิ้นรนขัดขืนได้เลย หรือว่า นี่จะเป็นสิ่งที่เรียกว่าชะตาชีวิตกำหนดเส้นทางของคนอย่างงั้นหรือ

แววตาของเวินหนิงปรากฏความอ้างว้างว่างเปล่าขึ้นมา

ตอนนั้นเอง ที่ลูกน้อยที่อยู่ในท้องก็ดิ้นขึ้นมาหนึ่งที

ตอนนี้ก็ใกล้กำหนดคลอดขึ้นมาทุกที บางทีลูกก็จะพลิกตัวไปมาบ้างในบางครั้ง ราวกับต้องการที่แสดงถึงการมีตัวตนอยู่ของตัวเองขึ้นมา

ปกติเวลาเจอเหตุการณ์แบบนี้ เวินหนิงควรที่จะบันทึกช่วงเวลาแห่งความสุขเอาไว้ แต่ว่าตอนนี้ เธอไม่มีอารมณ์ที่จะทำแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย

ลูบหน้าท้องตัวเองไปมาอย่างเศร้าโศก ในตอนนี้นั้นเพียงทันทีที่เด็กได้ออกไปจากตัวเธอแล้ว ก็กลัวว่าตระกูลลู่จะเริ่มลงมือเคลื่อนไหวในทันที

แต่ทว่า ในตอนนี้เด็กก็ยังคงอยู่ในร่างกายของเธออยู่ แล้วนี่จะให้เธอไปทนรับไหวได้อย่างไรกันล่ะ

เวินหนิงกัดริมฝีปากแน่น สลัดไล่ความคิดวุ่นวายที่อยู่ในหัวทิ้งไปเสีย อย่าไปคิดถึง หลังจากนั้นก็บังคับตัวเองให้ฝืนยกตะเกียบขึ้นมา เริ่มกินอาหารที่คนพวกนั้นเตรียมมาไว้ให้

แม้ว่าไม่มีความอยากอาหารเลย แต่เธอจะยอมแพ้ละทิ้งไปไม่ได้ เด็กที่อยู่ในท้องนั้นต้องการสารอาหารไปบำรุง เธอจะไม่ดื่มไม่กินไม่ได้ แบบนี้คนที่ถูกทำร้ายก็จะเป็นตัวเธอเอง มีเพียงแต่ต้องรักษากำลังกายเอาไว้ ถึงจะมีโอกาสในการหนีออกไปได้

บ่วงแค้นแสนรัก

บ่วงแค้นแสนรัก

ของขวัญวันเกิดอายุ18ปีของเวินหนิง คือเธอต้องติดคุก10ปี เพื่อการแก้แค้นเธอจึงตอบตกลงคำขอร้องของปีศาจ เธอต้องแต่งงานกับสามีที่นอนอยู่ในสภาพเหมือนผัก แต่คิดไม่ถึงว่า…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset