ผมคือนักบุญหญิงที่เป่ายิ้งฉุบมาเกิดใหม่ครับ – ตอนที่ 10

“อย่างที่อธิบายไปเมื่อกี้นะครับ เวทมนต์นั้นคือสิ่งที่สามารถสืบทอดจากสายเลือดสู่รุ่น ในโบราณในผู้ที่เวทมนต์ได้จะได้รับความเคารพนับถือจากชาวบ้านและได้รับอภิสิทธิ์ต่าง ๆ ในฐานะผู้วิเศษ ซึ่งอาจจะเชื่อได้ว่านี้อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของระบบชนชั้นในอดีตที่มีผลมาสู่ปัจจุบัน ดังนั้นจึงอธิบายได้ว่าในปัจจุบันคนที่มีพลังเวทมนต์ส่วนใหญ่ถึงเป็นขุนนาง ซึ่งแน่นอนแม้เวทมนต์นั้นอาจจะเกิดขึ้นสืบทอดจากสายเลือดได้ แต่ก็ยังมีผู้มีพลังเวทมนต์ปรากฏขึ้นมาในหมู่สามัญชนบางส่วนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดขุนนางเลยก็ตาม แต่ถึงจะเป็นยังไงก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายนัก เนื่องจากมีโอกาศเพียง 1 ใน 10,000 เท่านั้นที่จะเกิดขึ้น ซึ่งแตกต่างจากขุนนาง ซึ่งมีเพียง 1 ใน 100 เท่านั้นที่จะไม่ได้รับสือทอดพลังเวทมนต์มา แต่ท่าหากพ่อแม่เป็นผู้มีเหมือนกันก็ก็เพียง 1 ใน 1,000 เท่านั้นที่จะเกิดขึ้น ดังนั้นผมขอถามพวกท่านเพียงคำถามเดียวเท่านั้น ท่าหากผู้เป็นพ่อคือผู้มีพลังเวทมนต์และผู้เป็นแม่ไม่มีพลังเวทมนต์แต่ผู้เป็นแม่มีพ่อแม่ที่เป็นผู้มีพลังเวทมนต์ จะมีโอกาศเท่าไหร่ที่ลูกที่เกิดมาจะเป็นผู้ไร้พลังเวทมนต์”

“คะ!!”

เด็กสาวคนหนึ่งยกมือขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“เชิญครับท่านไคร่า”

“มีโอกาศ 1 ใน 250 เท่านั้นคะ แต่ท่าหากทั้งสองเป็นผู้ไร้เวทมนต์แต่หากมีสายเลือดของพลังเวท ก็มีโอกาศที่ลูกจะมีพลังเวท 1 คน ใน 3 คน อย่างแน่นอนคะ”

“วิเศษมากครับท่านไคร่าสมแล้วที่ได้คะแนนท็อป 10 จากการสอบเข้าครับ”

“ขอบคุณคะท่านอาจารย์บลันโด้”

ไคร่ายิ้มตอบอาจารย์หนุ่มเล็กน้อยก่อนจะนั้งลง

“ในปัจจุบันแม้ผู้มีพลังเวทมนต์จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ที่ถึงแม้ผู้พลังเวทมนนต์จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ผู้มีความสามารถใช้ได้นั้นก็กลับมีเพียงหยิบมือเท่านั้นมนต์จะสามารถใช้และควบคุมมันได้ ซึ่งเวทมนต์ส่วนใหญ่มีธาตุประจำตัว โดยจะแยกได้เป็น 4 ประเภทหลักๆ อย่าง ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่สามารถใช้ได้อย่างแน่นอน แต่จะเชี่ยวชาญแค่ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่การฝึกฝนและพรสวรรค์ของเวทมนต์ในธาตุนั้นๆ หากใช้เวทมนต์จนอยู่ในระดับเชี่ยวชาญพอ ก็สามารถใช้เวทผสมซึ่งก่อให้เกิดธาตุใหม่ๆ ได้อย่าง เวทน้ำแข็ง และ ลาวา และนอกจากนี้ยังมีเวทมนต์อื่น ๆ อย่างเวท เสริมพลัง และเวทสนับสนุนต่าง ๆ อย่างการเยียวยา แม้ผู้มีพลังเวทมนต์เองจะสามารถใช้พลังได้อย่างอิสระ แต่ก็มีเวทมนต์ที่เป็นธาตุพิเศษที่สามารถใช้ได้เพียงผู้ถูกเลือกเท่านั้น อย่างเช่น แสง ความมืด ซึ่งในห้องนี้เองก็มีคนที่สามารถใช้เวทมนต์แสงได้เหมือนกันครับ ซึ่งก็คือ คุณมีเรีย ที่พึ่งย้ายเข้ามาใหม่”

“””””………”””””

   บลันโด้พูดพร้อมชี้นิ้วไปทางโต๊ะที่มีเด็กสาวย้ายมาใหม่นอนอยู่

   ทั้งห้องเงียบแล้วมองไปที่เด็กสาว ที่กำลังนอนหลับฝันดีโดยใช้หนังสือเรียนเล่มหนาใช้แทนหมอน

   หากสังเกตุดีๆ ปกหนังสือที่ทำมาจากหนังนั้นเลอะน้ำลายของเด็กสาวที่ไหลออกมาจากปากราวกับสายน้ำที่ไหลออกจากถ้ำ

“เหะๆ..หน้าอก..นุ่มจางเย้ย~”

“”””……..””””

   ทั้งห้องเงียบไม่มีใครพูดอะไรเพราะทุกคนต่างรู้วีรกรรมที่เธอก่อขึ้นมาเมื่อคืน ทำให้ผู้หญิงทั้งห้องไม่มีใครอยากยุ่งกับเธอซักเท่าไหร่นักเพราะกลัวจะถูกจู่โจม

   เธอสามารถโจมตีคามิลล่าที่เธอเป็นรุ่นพี่ที่ถือว่าเก่งกาจและเป็นที่เชิดชู่ของสถาบัน ตกอยู่ในสภาพพ่ายแพ้ย่อยยับทำให้เธอร้องอ้อนวอนในสภาพโชกเลือดได้อย่างไร้บาดแผล

   ในคืนที่เกิดเหตุหลายๆคนได้ยินเสียงร้องโหยหวนและเสียงคำร้องของสัตว์ร้าย ลือกันว่าเธอจับคามิลล่าได้เธอร้องคำรามออกมาราวกับนักล่าในสภาพโชกเลือดขอเหยื่อ ข่าวลือนั้นแพร่ไปอย่างรวดเร็วจนเธอได้รับฉายา’สาวน้อยสีเลือด’ โดยอิงจากลักษณะเด่นของตัวเธอเองนั้นตอนนั้นที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด(ของตัวเอง)

“เนี้ยเหรอ? คนที่มีธาตุแสงที่ถูกเลือกฉันไม่อยากจะเชื่อ”

“ฉันว่าคงมีอะไรเข้าใจผิดแหงๆ ยัยสามัญชั้นสันหลังยาวอย่างหล่อนคงแอบอ้างมาจับผู้ชายแหงๆ”

“ฉันก็ว่างั้นแหละ”

   เสียงนินทาดังขึ้นเรื่อยๆ มีหลายคนไม่พอใจกับการย้ายมาของเธออยู่แล้ว แล้วยิ่งพฤติกรรมของเธอนั้นมันเหลือทนสำหรับหลายคน

   แม้กระทั้งในกลุ่มสามัญชนในห้องเองที่เข้ามาที่ตั้งใจเพื่อมาเรียนรู้ก็ไม่พอใจเธอเช่นกัน

“เอ่อ.. คุณมีเรียเธออาจจะเหนื่อยก็ได้..อย่าพึ่งไปกวนเธอเลยเอาเป็นพวกเรามาเรียนต่อกันเถอะครับ”

   บลันโด้เป็นอาจารย์ใหม่เองก็พึ่งเคยเจอสถานะการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรก แล้วไม่รู้จะทำยังไงจึงเลือกที่จะไม่สนใจแล้วปล่อยให้เด็กสาว นอนหน้าจุ่มกับน้ำลายต่อไป

.

.

.

.

.

“คุณมีเรียคะ ตื่นได้แล้วคะ”

   ผมได้ยินเสียงเรียกของผู้หญิงคนหนึ่งน่าแปลกเหมือนกันนะ ทั้งๆที่ชื่อที่เรียกก็ไม่ใช่ชื่อผมแท้ๆ ทำไมถึงรู้สึกว่าตัวเองถูกเรียกกันนะ น่าแปลกจริงๆ

“คุณมีเรียคะ!! จะนอนไปถึงเมื่อไหร่กันคะ!!”

“อะไร!! อะไร!!–แอ้กก!?”

   ผมสะดุ้งตื่นจากการถูกตะโกนใส่หูจนเผลอหงายหลังหัวกระแทกกับพื้น เจ็บโว้ยยย!!!! นี้ท่าความจำเสื่อมไปนี้มำไงดีเนี้ย ช่วยปลุกกันแบบธรรมดาหน่อยไม่ได้รึไงฟะ

“ในที่สุดก็ตื่นแล้วสินะคะ นี้มันพักเที่ยงแล้วนะคะ จะมัวนอนน้ำลายยืดไปถึงเมื่อไหร่กัน”

   หญิงสาวผมน้ำเงินเข้มยาวปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าผม เธอมีหน้าที่จัดว่าดีเลยทีเดียว ใบหน้าเรียวมีขนตางอนตาสีมรกต แม้จะมองจากมุมต่ำก็ยังรู้ว่าเธอเป็นคนที่สวยมากคนหนึ่งแม้จะมีหน้าอกหน้าใจที่ต่ำกว่าในอุดมคติของผม แต่ก็ถือว่าอยู่ในเกรดAเลย ที่สำคัญแม้จะมองไม่ชัดเพราะมันมืดแต่ชุดชั้นในของเธอเป็นแบบล้ำสมัยสุดๆ!!

“ยินดีที่ได้รู้จักฉันชื่อ ไคร่า กีส เป็นหัวหน้าห้องนี้คะ ฉันมีหน้าที่แนะนำสถานที่ต่างๆในโรงเรียนให้คุณได้รู้จักคะ”

   เธอโน้มตัวและยิ้มให้ผม แม้จะไม่มีหน้าอกก็เถอะ.. แต่หญิงงามมายิ้มให้ผมแบบนี้สภาพจิตใจผมมันจะต้านทานไม่ไหวเอานะ

“หืม? อะไรอะไรไปรึเปล่าคะ?”

“ไม่มีอะไร!! ก็แค่เบลอๆนิดหน่อยนะฮ่าๆ”

   ผมรีบลุกขึ้นมาทันที ก็นะจะบอกว่าตะลึงในความน่ารักของเธอก็ไม่ได้ด้วยสิ อีแบบนี้ดูเสี่ยวแดกแหงๆ ว่าแต่เธอตัวใหญ่จังนะ ไม่สิเราเองต่างหากที่ตัวเล็กต่างหาก ท่าจำไม่ผิดร่างนี้ก็อายุ15แล้ว สำหรับผู้หญิงถือว่าหยุดสูงไปแล้วน่าจะหมดหวังที่จะโตขึ้นกว่านี้แล้วละ

“ก็เพราะคุณนอนเยอะเกินไปไงคะ!! แบบนี้มันไม่ดีต่อสุขภาพหรอกนะคะรู้ไหม?”

“นั้นสินะ ก็เพราะฉันเป็นคนประเภทไม่ถูกกับการเรียนพอเจออะไรที่คิดว่าน่าเบื่อแหงๆก็เหลอหลับไปอะนะ”

“ก็พอเดาได้อยู่แหละคะ แต่ว่าถึงอย่างงั้นมันก็ไม่ดีอยู่ดีนั้นแหละการที่สามัญชนอย่างคุณได้รับโอกาศมาศึกษาที่นี้ก็นับว่าได้รับโอกาศมากกว่าคนอื่นๆ ในชนชั้นเดียวกันแล้ว คุณน่าจะลองตั้งใจเรียนซักหน่อยก็ดีนะคะ”

   ก็แหมแบบว่าผมยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยนี้น่าแถมหนังสือเองก็อ่านไม่ออกด้วยจะให้ทำยังไงละ เรื่องเวทมนต์เองก็ไม่เข้าใจหลักการมันเลย ตอนที่นั้งเหม่อๆตอนเช้าอยู่ๆตามันก็ปิดเองอะนะ แต่ตอบไปว่าจะลองพยามดูละกัน มันจะดูแปลกๆท่าคนที่ไม่มีความรู้อะไรเลยเข้าโรงเรียนมาได้ไง ถ้าหนังสือยังอ่านไม่ออกละจริงไหม?

“หลังจากนี้ไปก็คิดจะลองพยามดูละกัน คิดว่านะ…”

“แค่ได้ยินอย่างงั้นก็น่าชื่นชมแล้วคะ แม้จะมีข่าวลือเสียๆหายๆเกี่ยวกับคุณไปบ้างแต่ด้วยหน้าตาอันดูเยาว์วัยของคุณและคุณสมบัติเวทแสงของคุณเองที่เป็นที่ต้องการมากในบรรดาสายเลือดจอมเวท ฉันเชื่อว่าคุณคงหาสามีที่ดีได้แน่นอนคะ”

“แล้วไหงทำไมฉันต้องหาต้องหาสามีด้วยละนั้น?”

“อ๊ะ ขอโทษคะ ได้ยินคุณมาจากศาสนจักรสินะคะ ท่างั้นขอเปลี่ยนเป็นฉันเชื่อว่าคุณจะสามารถกลายเป็นซิสเตอร์ที่เปี่ยมไปด้วยความสง่างามที่รับใช้เทพธิดาแห่งแสงคะ”

“นั้นก็ไม่เอา แล้วทำไมฉันถึงต้องกลายเป็นซิสเตอร์ด้วยละ ไม่มีอย่างอื่นที่ฉันเป็นได้นอกจากหาผู้ชายกับบวชเป็นแม่ชีแล้วรึไง นี้สรุปฉันมาเรียนเพื่ออะไรเนี้ยท่ามีแค่ตัวเลือกสองทางเนี้ย?”

“เอ๋? แต่ท่าทางคุณดูเหมือนหัวจะไม่ดีด้วยสิ ท่าไม่เลือก2ทางนี้คุณเองก็ไม่จำเป็นต้องมาที่นี้เลยนี้คะ อ๊ะ!! หรือว่าคุณจะไปเป็นเมียเก็บของพวกขุนนางชนสูงกันคะ”

“สะ..เสียมารยาท!! เห็นอย่างงี้ฉันก็คำนวณได้นะเฮ้ย!! แถมยังทำบัญชีขั้นพื้นฐานเป็นด้วย!! แล้วที่สำคัญใครมันจะยอมไปเป็นเมียน้อยกันวะ!!”

   ไม่ได้โกหกนะเออ แม้จะไม่เก่งคณิตมากแต่บัญชีได้เล็กน้อยจากการเรียนเมื่อนานมาแล้ว ถึงแม้จะหลงๆลืมๆไปบ้างแต่หากต้องทำจริงๆก็คงนึกออกเองแหละ

“โกหกน่า!! คุณตั้งใจจะจับพวกพ่อค้าเหรอคะ!!”

“โธ่โว้ยยย!!”

   ผมร้องตะโกนออกมาด้วยความหงุดหงิด ยัยนี้มันพูดไม่รู้เรื่องเลยนี้หว่า ทำไมถึงวนมาพูดเรื่องผู้ชายตลอดเลยฟะ คุณค่าของตูมีแค่ตกไปเป็นเมียใครสักคนรึไงฟะ ในสายตาเธอฉันเป็นคนไร้ความสามารถขนาดไหนเนี้ย!!

“ท่าไม่ใช่แล้วคุณมาทำไมเหรอคะ? คุณมีเรีย”

   นั้นสินะครับ ผมก็อยากรู้เหมือนกันจู่ๆก็โดนโยนมาต่างโลกแถมยังอยู่ในฐานะแปลกๆอีก ที่รู้ก็แค่ตัวเองคือนักบุญเท่านั้นแหละ

“ก็มาเรียนเพื่อไปทำงานละมั้ง?”

“แต่คุณดูท่าทางคุณเองก็ไม่ได้มีความสามารถขนาดนั้นนี้คะ? แม้อาจจะฟังดูน่าหงุดหงิดก็เถอะ ในฐานะผู้หญิงแล้ว ถ้าคุณไม่มีความสามารถพอก็ไม่มีใครจ้างผู้หญิงทำงานหรอกนะคะ รู้ไหม? เพราะงั้นทางเดียวที่คุณจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ได้ก็คือแต่งงานมีลูกกับพวกจอมเวทไม่ก็ขุนนาง เพื่อสืบเชื่อสายคุณสมบัติแสงในตัวของคุณคะ นี้คือคุณค่าเดียวที่คุณต้องแบกรับไว้ในฐานะผู้หญิงที่ถูกเลือกคะ”

   ไคร่าพูดออกมาด้วยความมั้นใจราวกับมันเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ว่าแล้วเชียวเราอยู่ในยุคกลางจริงๆด้วยแหะ แม้จะมีบางอย่างที่มันดูทันสมัยอยู่บ้าง แต่สุดท้ายมันก็คือยุคกลางอยู่ดีนะแหละ เป็นยุคที่ผู้หญิงโดนกดเรื่องสิทธิพื้นฐานสินะ อีแบบนี้ท่าได้อยู่ในฐานะ’มีเรีย’คงไม่ง่ายแหงๆ

   แต่ว่าที่นี้คือโลกแฟนซาซีใช้มั้ยละ ทางออกง่ายๆก็มีไอ้นั้นอันเดียวนะแหละ คือการเป็นนักผจญภัคไงละ!! ท่าผมสามารถใช่เวทรักษาได้ผมเองก็สามารถเป็นพวกซัพพอทได้ ต่อให้ร่างกายไม่อำนวยแต่ท่าหากมีเวทมนต์ละก็ทุกอย่างต้องไปได้สวยแน่!!! ก็นี้มันโลกแฟนตาซีนี้น่าอย่างน้อยผมเองก็น่าจะมีความสามารถโกงๆอยู่บ้างละนะ

.

.

.

.

.

.

.

ตูมมมมมมมมมมม!!!

   แสงจากเสาเพลิงสว่างไปทั้วบริเวณแม้จะเป็นตอนกลางวันก็ตาม มันเผาพลาญเป้าหมายที่เป็นหุ่นฟางโง่ๆ จนไม่เหลือแม้แต่ฝุ่นผง ทุกคนต่างตะลึงให้กับความสามารถของเธอในด้านวิชาการและปฏิบัติ แม้จะหน้าตายไปหน่อยแต่นี้แหละคือเธอ ไคร่ากีส นั้นเอง!!!

“เป็นเสาเพลิงที่ยอดเยี่ยมมากคะ ท่านไคร่า สมแล้วจริงๆที่ท่านเป็นหลานจอมเผาพลาญเฟรมจริงๆคะ ไม่จำเป็นต้องร่ายก็ยังมีพลังทลายล้างขนาดนี้”

   คุณฟรานเซ็ทกล่าวชมเธออย่างดีอกดีใจ ยัยนั้นมันเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ? แถมยังเป็นหลานคนดังอีก ยัยขี้งกที่พูดวนๆอยู่กับเรื่องผู้ชายคนนั้นอะนะ

“ก็แค่เวทมนต์พื้นฐานเท่านั้นเองคะ ท่านอาจารย์ฟรานเซ็ต เมื่อเทียบกับท่านปู่แล้วนี้ก็เหมือนของเด็กเล่นคะ”

   ของเล่น? ท่าไอ้เสาไฟตะกี้ที่ดูเหมือนจะสามารถเผาคนเป็นขี้เถ้าได้สบายๆ นั้นคือของเล่นเหรอ ปู่เธอนี้มันเป็นปีศาจรึไงวะ อีแบบนี้มันจะเหนือสามัญสำนึกไปแล้ว!! ไอ้เวทมนต์พื้นฐานที่ควรสอนก่อนมันไม่ใช่ของอย่าง fire ball นี้มันไปไหนฟะ ไอ้ของที่ดูเหมือนเวทมนต์ชั้นสูงแบบนั้นมันจะข้ามขั้นไปแล้ว!!

“ต่อไปคุณมีเรียเชิญคะ”

   คุณฟรานเซ็ทดีดนิ้วหลังจากนั้นหุ่นฟางก็โผล่มาจากความว่างเปล่า จะมองกี่ทีก็สุดยอดจริงๆแหะ

   ผมเดินก้าวออกไปข้างหน้ายื่นมือซ้ายออกมา ส่วนคำร่ายเองก็จำได้หมดแล้วหลังจากที่ฟังมาจากนักเรียนชายที่ท่องวนไปวนมา เดี๋ยวจะแสดงให้ดูเองเวทมนต์จากคนที่มาจากต่างโลกนะ มันสุดยอดขนาดไหน

“ไฟแห่งเทพผู้โกรธเกรี้ยวเอ๋ย จงแสดงสัญญาลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่เพื่อลบล้างความโง่เขลาที่บังอาญท้าทายท่าน [Pillar Fire]”

“””…….”””

   ผมร่ายเวทพร้อมกับเก๊กท่าเพื่อให้เข้าถึงฟิลลิ่งแต่หุ่นฟางมันก็ยังอยู่นิ่งๆ ไม่มีวี่แววของไฟที่จะมาเผามันเลยสักนึด

“คุณมีเรียคะ ช่วยลองใหม่อีกครั้งดู รอบนี้ลองตั้งสมาธิไปที่หุ่นฟางนั้นดีๆแล้วลองร่ายใหม่อีกครั้งดูคะ”

“อะ..คะ”

“ไฟแห่งเทพผู้โกรธเกรี้ยวเอ๋ย จงแสดงสัญญาลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่เพื่อลบล้างความโง่เขลาที่บังอาญท้าทายท่าน [Pillar Fire]”

   ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทุกคนต่างเริ่มซุบซิบกัน เอ่อนี้เราทำอะไรผิดไปรึเปล่าหว่า?

“คุณมีเรียรู้จักการ[รวบรวม]และ[ปลดปล่อย]ไหมคะ?”

“ไม่รู้จักคะ”

“ว่าแล้วเชียว.. ท่านไคร่าคะ ไม่ทราบว่าตอนนี้ท่านสามารถใช้เวทมนต์ได้ถึงระดับกลางรึยังคะ”

“แน่นอนคะ ท่าเป็นเวทไฟท่านปู่ได้สอนจนถึงระดับสูงแล้วค่ะ”

“งั้นก็ดีเลยคะ งั้นดิฉันฝากท่านสอนเกี่ยวกับพื้นฐานเวทมนต์คร่าวๆ ให้กับคุณมีเรียหน่อยได้ไหมคะ

“เรื่องนั้นก็–“

“แน่นอนว่ามีค่าตอบแทนให้ภายหลังแน่นอนคะ เพราะงั้นช่วยกรุณาหน่อยนะคะ”

“เข้าใจแล้วคะ เรื่องนั้นเชื่อมือดิฉันได้เลยคะท่านอาจารย์ฟรานเซ็ท!!”

   เมื่อกี้เธอจะปฏิเสธใช่มะ? พอได้ยินว่าจะมีค่าตอบแทนให้ก็กระตือรื้อล้นเลยนะหล่อน!!!

“คุณมีเรียคะ เดี๋ยวช่วยไปนั้งข้างๆสนามซ้อมตรงนั้นกับท่านไคร่าหน่อยนะคะ”

“คะ”

   ผมทำตามอย่างว่าง่าย เวทมนต์เนี้ยไม่ใช่ของที่แค่ร่ายแล้วมันจะใช้ได้จริงๆด้วยสินะ เหมือนเราจะดูถูกที่นี้ไปหน่อยแหะ

“คุณมีเรีย การรวบรวมคืออะไรคะ? ลองอธิบายตามที่ตัวเองเข้าใจมาได้เลยคะ”

“เอ่อ.ก็เหมือนกับเอาของที่กระจายกันอยู่มารวมกันใช่ไหม?”

“ถูกต้องคะ แต่ในกรณีนี้มันคือการตั้งสมาธิเพื่อรวมมานาไว้เพื่อเตรียมรวมที่จะ[ปลดปล่อย]คะ ท่าให้ยกตัวอย่างเวทที่กำลังจะเรียนกันอยู่นี้ก็[Kindle]”

   เพลิงออกมาจากปลายนิ้วของไคร่าเหมือนไฟเช็คแบบปืนที่อยู่ในความทรงจำของผม

“นี้คือ[Kindle]คะ มันคือเวทจุดไฟง่ายๆ หลักการง่ายๆคือการรวบรวมพลังพลังเวทไว้ที่ปลายนิ้วและปลดปล่อยมันออกมาเป็นรูปร่างคะ แต่เวทมนต์อันนี้ยังขาดอะไรรู้รึเปล่าคะ?”

“คำร่ายยาวๆละมั้ง?”

“น่าเสียดายที่ตอบผิด คำตอบคือ[เจตนา]ของเวทมนต์คะ เวทมนต์ทุกอย่างที่เป็นเวทมนต์จำเป็นต้องมีความคิดอันมุ่งมันที่จะทำอะไรบางอย่างส่วนคำร่ายเป็นเพียงสิ่งที่ประกาศเจตนานั้นให้ชัดเจนมากขึ้น ส่วนที่สำคัญคือชื่อของเวทมนต์ต่างหาก ยกตัวอย่างเช่น”

   ไคร่าหยิบเด็ดหญ้าขึ้นมาจากนั้นก็จ่อไปที่ไฟที่อยู่บนนิ้ว ท่าตามหลักตรรกะทั้วไป หากของอย่างใบไม้โดนไฟก็จะไหม้แต่หญ้าที่อยู่ในมือเธอนั้นยังไม่ไหม้แม้ยอดมันจะอยู่ในไฟแล้วก็ตาม

“นี้คือเวทมนต์ไฟที่ไร้เจตนาที่จะเผาคะ ต่อให้สัมผัสหรือจับมันก็ไม่อาจทำอะไรได้ หรือก็คือเป็นเพียงแค่กลุ่มก้อนพลังเวทที่ก่อตัวมีรูปร่างเป็นไฟเท่านั้นคะ ทีนี้ฉันจะลองใส่เจตนาที่จะเผาให้ดูนะคะ”

   ต้นหญ้านั้นถูกเผาอย่างที่มันควรจะเป็นแล้ว เวทมนต์เนี้ยสุดยอดกว่าที่คิดเลยแหะ

“ทีนี้ลองทำดูสิคะ เพียงแค่ตั้งสมาธิไปที่ปลายนิ้วดูกำหนดรูปร่างของมันให้ชัดเจน หลังจากนั้นก็ร่ายว่า[ไฟแห่งการดำรงชีพ[Kindle]]ดูคะ”

“แต่เธอบอกว่าคำร่ายมันไม่จำเป็นไม่ใช่รึไง แถมเธอเองก็ไม่เห็นจะร่ายเลยนี้ท่างั้นก็แค่พูด[Kindle]ก็พอแล้วนี้”

“ฉันจำไม่ได้เลยสักนึดเลยนะคะ ว่าบอกไปแบบนั้น ฉันบอกแค่ว่าคำร่ายเป็นเพียงการประกาศเจตนาของเวทมนต์ให้ชัดเจนขึ้นซึ่งมันจำเป็นสำหรับนักเวทมือใหม่อย่างคุณคะ ถ้าให้พูดให้เข้าใจง่ายๆคุณกับฉันมันคนละระดับกันคะ”

“อุ๊ก..แม้จะจริงก็เถอะแต่เธอมาได้ยินจากปากคนที่บอกให้ฉันหาผู้ชายรวยๆแต่งงานเพื่อประสบความสำเร็จในชีวิตเนี้ยมันก็ยังไงๆอยู่นะ”

“ฉันแค่แนะนำเส้นทางที่ดีที่สุดสำหรับคุณเท่านั้นเองนะคะ สำหรับผู้หญิงไร้ค่าที่โง่เง่าและไร้ค่าอย่างคุณที่มีคุณสมบัติแห่งแสงก็มีค่าเป็นแค่เครื่องปั้มลูกเพื่อให้สายเลือดของจอมเวทดีขึ้นเท่านั้น แค่นี้คุณเองก็น่าจะเข้าใจแล้วไม่ใช่แล้วเหรอคะ?”

“ไม่ต้องมายิ้มเลย!!! มันไม่ช่วยทำให้คำพูดโหดร้ายของหล่อนมันดูซอฟขึ้นมาเลยสักนึด!! ที่สำคัญฉันไม่มีวันแต่งงานกับผู้เฟ้ย!!”

“เรื่องตลกไว้เพียงเท่านี้เองเถอะคะ เอาเป็นว่ามาลองใช้เวทมนต์กันเถอะ”

“นี้เธอพยามจะเปลี่ยนเรื่องสินะ.. ก็ได้รอบนี้จะยอมไปก่อนละกัน[ไฟแห่งการดำรงชีพKindle]”

   ผมเพ่งสมาธิไปที่ปลายนิ้วชี้ ไฟดวงเล็กๆก็ปรากฏมาอยู่ที่ปลายนิ้วผมและก็ดับไป

“เชี่ย!! ร้อน!!ๆ”

   ผมลองด้วยความเจ็บและสะบัดมือไปมา ความรู้สึกนี้เหมือนเผลอเอานิ้วไปจี้หม้อเดือดๆเลย

“และนี้ก็คือความรู้แม้จะเป็นเวทมนต์ของตัวเองก็สามรถทำร้ายเจ้าของได้ ถ้สโดนตัวคะ”

“แล้วทำไมไม่ยอมบอกตั้งแต่แรกฟะ!! ไม่ดิ!! ทำไมหล่อนถึงใช้ได้สบายๆโดยไม่โดนไฟของตัวเผาเลยฟะ”

“ก็บอกแล้วไงคะ ว่าคุณกับฉันมันคนละระดับกันส่วนบทเรียนต่อไปก็คือการรวบรวมภายนอกคะ [Kindle]”

   ไฟดวงน้อยปรากฏขึ้นบนกลางอากาศ เหมือนพวกบอลวิญญาณเลยแหะ

“การรวบรวมภายนอกคือการปล่อยพลังเวทภายในร่างกายให้ออกมารวมในที่ๆหนึ่งจากนั้นก็ก่อเป็นรูปร่างคะ โดยการทำแบบนี้จำเป็นต้องอาศัยสมาธิค่อนข้างสูง โดยระยะห่างจากตัวผู้ใช้เวทมนต์นั้นมีผลต่อความเร็วในการเตรียมปลดปล่อยเวทมนต์และจำนวนพลังเวทที่ต้องใช้ ซึ่งเวทมนต์เหล่านี้จะมีวิธีใช้อยู่ 2 ประเภทใหญ่ๆ 1.การถ่ายพลังเวทต่อเนื่องเพื่อให้เวทมนต์คงอยู่ซึ่งคือวิธีที่ฉันกำลังทำอยู่หากหยุดถ่ายพลังเวทไปเวทมนต์ก็จะหยุดทำงานทันที วิธีนี้จะมีข้อดีตรงที่เวทมนต์จะคงอยู่ตลอดเวลาและสามารถควบคุมได้ตลอดเวลาแต่หากระยะยิ่งห่างพลังเวทที่จำเป็นต้องถ่ายไปก็จะเยอะตามไปด้วย 2.รวบรวมเวทมนต์ไว้จุดๆหนึ่งไว้ให้เยอะๆ หลังจากนั้นก็ปลดปล่อยโดยวิธีนี้ไม่ต้องจำเป็นไปตั้งสมาธิตลอดเวลาเพียงแค่ใส่เจตนาของเวทมนต์ลงไปเท่านั้น โดยระยะเวลาที่มันจะคงอยู่นั้นขึ้นอยู่กับพลังเวทบรรจุไว้ในเวทมนต์ วิธีนี้จะนิยมใช้กับพวกเวทมนต์อย่างFire Ballหรือท่าให้พูดง่ายคือเหมาะกับพวกเวทมนต์ที่ใช้แล้วทิ้งนั้นเอง พอจะเข้าใจบ้างรึเปล่าคะ”

   แบบแรกเหมือนพวกรถบับคับกับแบบที่ส่งเหมือนพวกรถของเล่นที่ถอยหลังไว้และปล่อยให้มันไปเองตามทางที่หันไว้ น่าจะประมาณนี้ละมั้ง

“อืม พอจะนึกภาพออกแล้วละ แล้วจะรู้ได้ไงว่าพลังเวทมันไหลออกมาแล้วละ”

“คุณยังสัมผัสพลังเวทไม่ได้อีกเหรอคะ!! น่าทิ่งจริงๆที่ยังสามารถเข้ามาที่นี้ได้ คุณนี้มันเหมาะกับการเป็นแม่พันธ์อย่างเดียวจริงๆ”

   ก็ไอ้คนที่ไอ้ตูเข้าโรงเรียนเวทมนต์มันไม่ใช่ตูอีกนี้หว่า จู่ๆก็โดนจับส่งมาแบบไม่รู้เรื่องอะไรเลยที่รู้ก็แค่ตัวเองเป็นนักบุญเท่านั้นแหละ แล้วใครจะไปรู้ว่าเวทมนต์มันจะใช้ยากขนาดนี้ไอ้เราก็นึกว่าแค่ร่ายเวทมนต์มันจะออกมาเองหรือไม่ก็จิตนาการสูงๆก็สามารถใช้ได้แล้ว

   แต่ช่างเถอะนี้ก็แค่เริ่มต้นเท่านั้นท่าเราได้เรียนรู้ละก็ทำได้แน่!! ร่างกายนี้มีคุณสมบัติแห่งแสงอยู่แม้จะไม่เข้าใจแต่มันต้องเป็นความสามารถพิเศษของผมแน่ๆ!! เพราะงั้นสิ่งที่ต้องทำมีเพียงอย่างเดียวก็คือ..

“ก็นะ..ฉันนะเป็นมือใหม่สุดๆเลยนี้นะ เพราะงั้นช่วยสอนฉันด้วยเถอะ!!”

   เรียนจากคนที่เก่งกว่ายังไงละ!!

“ไม่จำเป็นต้องก้มหัวขอร้องฉันจะสอนให้อยู่แล้วละคะ จนกว่าคุณจะมีความสามารถพอที่ปล่อยไฟบอลได้ ฉันจะไม่หยุดสอนคุณเพราะงั้นสบายใจได้คะ”

“ขอบคุณมากเธอนี้ใจดีกว่าที่คิดเลยนะ”

“ไม่เป็นไรหรอกคะ ส่วนค่าตอบแทนทางนี้ก็ขอไปคิดกับท่านอาจารย์ฟรานเซ็ทเองเพราะงั้นสบายใจได้เลยคะ”

“เธอนี้มัน…ขี้งกชะมัดเลยแหะ”

“การทำงานเพื่อค่าตอบแทนนั้นก็เป็นหนึ่งในหนทางแห่งความสำเร็จของฉันเช่นกัน ฉันไม่ยอมทำอะไรให้เหนื่อยฟรีๆหรอกนะคะ”

   ไคร่าพูดพร้อมกับยิ้มอย่างร่าเริง ยัยนี้เป็นคนประเภทนั้นสินะ พวกขี้งกที่ไม่ยอมทำอะไรให้ใครฟรีๆ นะ

“ไอ้หนู!! กระต่ายมันหนีไปทางนั้นแล้วรีบจับไว้เร็ว!!”

   เสียงของชายร่างใหญ่ตะโกนขึ้นมาด้วยเสียงอันล้นลานไปด้วยพลัง เขามีผิวสีเข้มสูงประมาณ200กว่าๆ ร่างกายของเขาเองก็ประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อ เพียงแค่มองภายนอกก็รู้แล้วว่าเขาแข็งแกร่งขนาดไหน

“ครับ!!”

   ชายคนหนึ่งรีบวิ่งไปดักกระต่ายตามคำสั้ง เขากระโดดคว้ากระต่ายด้วยความรวดเร็วแต่น่าเสียดายที่กระต่ายนั้นรวดเร็วกว่าที่เขาคิดมากนัก ทำให้มันหลุดรอดจากการพุ่งกระโจนของเขาอย่างง่ายดาย

“โธ่เว้ว!! แกรน!! ที่เหลือฝากนายด้วย!!”

“อ่า เข้าใจแล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันได้เลย!!”

   ผมตอบรับคำพูดของเขาผมรีบวิ่งไปดักหน้ากระต่ายทันทีด้วยความรวดเร็วด้วยขาที่เสริมพลังจากเวทมนต์อย่าง[Boot] ผมคว้ากระต่ายไว้ในอุ้มมือผมไว้จนได้

“ฉันจับได้แล้วเว้ย!! เจล!! –อุ๊กบ้าเอ๊ยย!!”

   มันใช้ฟันแหลมๆของมันกัดที่นิ้วของผมและในจังหวะที่ผมเผลอมันก็กระโดดออกไปจากมือของผม ไอ้กระต่ายเวรนี้ท่าไม่ติดว่าต้องจับเป็นแก ผมเผาแกด้วยดาบไปแล้ว!!

“พวกนาย2คนนี้มันไม่ได้เรื่องจริงๆ ให้ตายสิ แต่เอาเถอะถ่วงเวลาได้ดีมาก [สายลมอันอ่อนโยนด้วยโอบอ้อมศักตรูของข้าไว้ในออมกอดของท่านได้เถอะ!! [Hug]]

“กีสสสสสสส!!!!”

   กระต่ายนั้นร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด มันค่อยๆลอยขึ้นเหนือพื้น ตอนนี้มันไม่สามารถเคลื่อนไหวไปไหนได้แล้ว!! เป็นไงละอย่ามาดูถูกจอมเวทของปาตี้เรานะเฟ้ย!!

“มัวยืนบื้ออะไรอยู่ยะ!! พวกนาย2ตัวรีบๆจับกระต่ายเร็วๆเข้าสิ!! มันเปลืองพลังเวทนะยะ”

“เข้าใจแล้วน่า นี้ไง!!”

   ผมจับกระต่ายที่ลอยอยู่มาไว้ในอ้อมกอด ฮิๆ ทีนี้แกก็หนีฉันไม่ได้แล้วละนะ กลายมาเป็นค่าอาหารเย็นของพวกเราซะดีๆเถอะ

“ทำได้ดีมาคุณหนูเนียร์ ไม่ว่าจะเห็นกี่ครั้งมันก็สุดยอดจริงๆเลยนะเนี้ย”

“แค่นี้ไม่เอาไหร่หรอกคะ จริงๆมันจะดีกว่านั้นท่าอีตาไม่ได้เรื่องนั้นจับกระต่ายไว้ดีๆตั้งแต่แรก หนูคงไม่จำเป็นต้องใช้เวทมนต์หรอกคะ”

“อย่ามาเรียกไม่ได้เรื่องนะเฟ้ย ยัยกระดานทวิลเทล!!”

“อะไรยะ? จะเอารึไงไอ้เตี้ยเป็นแค่ตัวถ่วงประจำตี้เราแท้ๆ ยังจะปากมากอีกนะ”

“เตี้ยแล้วไงฟะ อย่างน้อยฉันก็ไม่บ้าเหมือนเธอที่ชอบไปยืนแนวหน้าหรอกนะ!! คิดว่าหน้าอกแบนๆของเธอเป็นโล่รึไง!! ห๊า!! ยัยทวิลเทลงี่เง่า”

“นี้แก!!! คิดจะล้อปมด้อยคนอื่นไปถึงเมื่อไหร่กันห๊า!!”

“ก็เธอเริ่มก่อนนี้หว่า!!”

ผมกับเนียร์ส่งสายตาอาฆาตกันไปมา

“น่าๆ พอเถอะทั้ง2คน ภารกิจของเราก็เสร็จแล้ววันนี้เราไปฉลองกันเถอะ”

“เชอะ!! วันนี้ฉันจะปล่อยแกไปก่อนไอ้เตี้ยนี้ไม่ใช่เพราะฮาลขอร้องป่านนี้แกตายไปนานแล้ว”

“จ้าๆ เพราะฮาลเหรอจ๊ะ เข้าใจแล้วๆ อย่างงี้นี้เอง”

   ผมยิ้มอย่างมีเลสนัยไปทางเนียร์ ผมรู้นะว่าเธอชอบฮาลอยู่นะ ไม่ต้องมาเขินไปหรอกนะ

“อยากพูดอะไรก็พูดมาสิยะ!!”

   ผมเมินคำพูดของเธอที่กำลังโวยว้าย แล้วหันไปคุยกับคุณแบล็คแทน

“แต่ผมไม่อยากจะเชื่อเลยนะครับ ว่าไอ้กระต่ายโง่ๆนี้จะมีค่าตัวตั้ง30เหรียญเงินนะ”

“ก็นะไอ้หนูหน้าบาก ก็ไอ้เจ้าเนี้ยมันเป็นสัตว์เลี้ยงของลูกสาวบารอนคนเล็กเขานะ เห็นไหมละ มันมีปลอกคอที่มีเหรียญประจำตระกูลติดอยู่นะ เห็นว่าตัวลูกสาวคนเล็กเองก็ร้องไห้ไม่หยุดก็เลยจ้างมาเป็นงานด่วนแบบนี้ไงละ”

“แต่คุณแบล็คเองก็เก่งเหมือนกันนะ ไม่คิดว่าคุณจะมีสกิลตามรอยด้วยแบบนี้ผลงานต้องยกให้คุณเต็มๆเลยนะครับ คุณแบล็ค”

   สกิลคืออีกสิ่งที่โลกนี้มีมันเป็นสิ่งลึกลับที่มีพลังแปลกประหลาด บางทีก็ได้จากการฝึกฝน บางทีก็ได้จากการผ่านเงื่อนไขอะไรบ้างอย่าง มันเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกที่ใช้งานได้ง่ายและยอดเยี่ยมซึ่งต่างกับเวทมนต์ที่ใช้งานยากและมีหลักการมากมายเหลือเกิน

“ไม่ต้องหรอกน่า ฉันไม่อยากรับส่วนแบ่งจากพวกนายหรอกนะ ทางนี้ทางกิลเองก็ขอร้องให้ฉันมาช่วยด้วย พวกนายเอาเงินนั้นไปฉลองเถอะ”

   คุณแบล็คยิ้มโชวฟันขาวให้พวกเราเขาคือนักผจญภัคระดับCที่ได้รับหน้าที่มาฝึกสอนให้พวกเราซึ่งเป็นแค่ระดับGซึ่งเป็นมือใหม่ซึ่งเอาจริงๆในตี้นี้จะมีแค่ผมที่เป็นแร๊งGก็เถอะ เขาทั้งแข็งแกร่งและนิสัยโคตรดีเลยละ แม้ตอนแรกที่เจอผมจะตกใจเพราะส่วนสูงของเขาก็เถอะ

“คุณแบล็ค…เงินเหล่านี้ผมจะเก็บไว้ที่[ฝันถึงทะเล]ไว้ดีๆเลย”

“สุดท้ายนายก็ไปลงร้านเหล้าอีกแล้วเหรอแกรน.. นายเนี้ยไม่คิดจะเก็บไว้บางรึไง”

   สมาชิกและหัวหน้าทีมของพวกเราเขาคือชายหนุ่มที่มีหน้าตาดีมีความเป็นผู้นำนิสัยของหมอเนี้ยมันโคตรจะดีเลยและที่สำคัญเขาเป็นเพื่อนสมัยเด็กกับเนียร์ซึ่งไม่แปลกที่เนียร์ที่อยู่กับเขามาตั้งแต่เด็กๆจะหลงรักเขามาตลอด

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฉันเหลือเงินไว้พอไปงานเลี้ยงแต่งงานของนายกับเนียร์อยู่แล้วน่า”

“”พะ..พูดอะไรของนายกันนะ/ยะ””

   ทั้งสองพูดออกมาพร้อมกันด้วยความเขินอาย ก็นะยังไงพวกนายก็รู้ตัวกันอยู่แล้วทำไมถึงไม่คบๆไปเลยละ ผมเองก็มีความสุขนะท่าเห็นสองคนนี้เลิฟๆอย่างเปิดเผยกันซักที

“เอ้าๆ ไปกันเถอะกลับเมืองกันเถอะ!! รอบนี้ฉันเลี้ยงเองถือว่าฉลองให้กับความรักของพวกนายยังไงละ!! หวังว่าฉันเองจะได้อุ้มหลานเร็วๆเหมือนกันนะ”

“เดี๋ยวสิแกรนฉันกับเนียร์ยังไม่ได้เป็นอะไรกันนะ”

“ชะ..ใช่แล้วอย่างที่ฮาลพูดนั้นแหละเราสองคนยังไม่ถึงขั้นนั้นซักหน่อย!!”

“เนียร์!!”

“อุ๋ย!!”

   เนียร์รีบปิดปากทันที เธอรู้ตัวทันทีว่าเผลอหลุดปากคำที่ไม่สมควรพูดออกมาแล้ว

“อย่างงี้นี้เองยังไม่ถึงขั้นนั้นสินะ ทั้งสองคนไปพัฒนาความสัมพันธ์กันตอนไหนน้า~ หุๆ”

“”…..””

   ทั้งสองคนไม่พูดอะไรต่างคนต่างเขินหน้าแดงหันหน้าหนีไปคนละทิศละทาง ผมกับคุณแบล็คมองหน้าก่อนจะยิ้มให้กันพวกเรารู้ดีว่าควรทำอะไรต่อ

“อ๊า~นั้นสินะๆ ลืมไปวันนี้ฉันสัญญาไว้กับคุณแบล็คแล้วนี้เนอะ ว่าวันนี้จะดื่มแบบโต้งรุ้งกันนะ”

“นั้นสินะ ฉันเองก็อยากล้างตาที่ดื่มแพ้ไอ้หนูหน้าบากเหมือนกันนี้นะ เพราะงั้นมาดื่มให้เต็มที่กันเถอะ!!”

“ก็อย่างที่ว่านะแหละ คืนนี้ฉันจะไปกับคุณแบล็คไม่กลับไปที่ห้องพักของพวกเราจนกว่าจะถึงเช้าเพราะงั้นเชิญพวกนาย’สนุก’กันให้เต็มที่เลยนะ”

“……”

“……”

   ผมเดินอุ้มกระต่ายเอาไว้และเดินไปกับคุณแบล็คโดยมีจุดมุ่งหมายไปที่เมือง โดยทิ้งสองคนนั้นอยู่ตามลำพังสองคน วันนี้คงต้องไปนอนข้างถนนอีกแล้วสินะ

ผมคือนักบุญหญิงที่เป่ายิ้งฉุบมาเกิดใหม่ครับ

ผมคือนักบุญหญิงที่เป่ายิ้งฉุบมาเกิดใหม่ครับ

Status: Ongoing
อ่านผมคือนักบุญหญิงที่เป่ายิ้งฉุบมาเกิดใหม่ครับชาย2คนที่เป่ายิ้งฉุบแย่งตัวละนักบุญหญิงเพราะอยากเล่นตัวละครผู้หญิงกัน แต่เมื่อเขาสามารถเอาชนะเพื่อนของตัวเองได้ ก็พบว่าตัวเองได้มาอยู่ต่างโลกในฐานะของนักบุญจริงๆ เสียแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset