ผมคือนักบุญหญิงที่เป่ายิ้งฉุบมาเกิดใหม่ครับ – ตอนที่ 59

“โชคดีละยัยหนู!! อย่าลืมอ่านหนังสือก่อนนอนด้วยละ โฮะๆๆ”

   เมื่อร่ำลาคนในโบสถ์เสร็จผมก็รีบวิ่งออกมาทันที อย่างที่คิดยังไงก็เป็นห่วงจริงๆนั้นแหละ มันจะแปลกเกินไปแล้ว ทำไมถึงไม่มีพวกแนวหน้ากลับมากันเลยละ แถมนี้ก็เย็นมากแล้วด้วย อีแบบนี้ต้องเกิดเรื่องอะไรสักอย่างแหงๆ ไปถามพวกยามที่ประตูให้รู้เรื่องไปเลยดีกว่า

ตูม!!!

   ในขณะที่ผมกำลังวิ่งอยู่บนท้องถนนที่ไร้ซึ่งผู้คนจู่ๆพื้นตรงหน้าผมก็ระเบิดขึ้น ร่างที่ปรากฏคือร่างของผู้หญิงที่เปลือยเปล่าอยู่ เธอมีผิวสีแดงที่ดูเงาสะท้อนกับแสงได้ และมีปีกใสๆทั้ง4ปีกอยู่ด้านหลัง มีปากที่ดูปกติเหมือนคนทั้วไปแต่กลับมีขากรรไกรที่เหมือนมดติดอยู่ตรงแก้มและมีหนวดเหมือนแมลงสาปอยู่บนหัว ส่วนช่วงขาเองก็ดูเรียวเล็กแหลมและมีอะไรสักอย่างที่คล้ายๆหนามติดอยู่เต็มไปหมด นี้มันอะไรวะ? สาวแมลง? เอาจริงดิ

“เจอกุญแจแล้ว..”

    เธอพูดออกมาเบาๆ และค่อยๆหันกลับมามองที่ผม เอาจริงๆนะ นี้มันโคตรสยองเลยอะ เหมือนกับหนังสยองขวัญสักเรื่องที่เคยดูเมื่อก่อนเลย อารมแบบหาเธอเจอแล้วนะ แล้วก็แฮร่!! ตัวเอกตายจบ.. หวังว่าจุดจบผมคงไม่เป็นเหมือนอย่างงั้นนะ

“เอ่อ..สวัสดีพี่สาว ไม่ทราบว่ามีอะไรกับผมรึเปล่า?”

“เลือด..ประตู..ต้องเปิด..”

   อืม..คุยกันไม่รู้แหง แถมท่าทางยังดูอันตรายอีก เอาเป็นว่าโกยดีกว่าเนอะ

“[Botts Up]”

   ผมร่ายบัฟเพิ่มพลังทุกอย่างเต็มที่และวิ่งอีกครั้งโดยเปลี่ยนเป้าหมายกลับไปที่โรงแรมแทนที่จะไปที่จะไปที่ประตูเมืองตามที่คิดเอาไว้ตั้งแต่แรก อย่างน้อยด้วยความเร็วระดับนี้น่าจะหนีพ้นแล้วละมั้ง

“เอ้าจับได้แล้วจ้า~”

“!!!!!”

   ในระหว่างที่ผมกำลังวิ่งอยู่ผมก็ถูกจับโดยแขนปริศนาสีขาว ในขณะที่กำลังจะเขัาตรอกเล็กๆข้างหน้า แม้จะไม่รู้ว่าเป็นแขนใครก็เถอะ แต่คงไม่ใช่พวกมนุษย์แหงๆ ทำไมนะเหรอ? ก็แขนมันขาวจัวะ ไม่มีสีเนื้อปนเลยนี้น่า ทำไมถึงได้ซวยแบบนี้กันนะ

“ให้ตามหาซะแทบแย่ ในที่สุดก็เจอตัวซักทีนะ”

   ฟุดๆ กลิ่นหอมเหมือนดอกไม้แถมยังสัมผัสนุ่มๆที่ด้านหลังอีก ตัวเมีย? ไม่สิตัวเมียแหงๆ แถมหน้าอกหน้าใจก็ไม่ธรรมดาซะด้วย ถ้าฟังจากเสียงนั้นคงเป็นสาวสวยอกสะบึ๋มแหงๆ ไม่ผิดแน่นอน เซนเซอร์ของผมมันบอกว่าอย่างงั้นเพราะงั้นมันจะไม่มีวันผิดแน่นอน

“มะ..ไม่ทราบว่าพี่สาวมีธุระอะไรกับผมเหรอกั๋บ”

   แย่ชิบ!! ดันประหม่าจนพูดผิดจนได้ น่าอายชิบ!!

“ธุระ? แน่นอนสิว่าต้องมีแน่นอน แต่ก่อนอื่นฉันอยากให้เธอสูดกลิ่นของฉันเข้าไปลึกๆก่อนได้รึเปล่า”

“…สูดเข้าลึกๆ….”

“ช่าย~ ค่อยๆสูดมันเข้าไปอย่ารีบร้อนละ กลิ่นหอมๆของตัวฉันนะ”

   แย่ละ ทำไมถึงรู้สึกเบลอๆจังเลยนะ..ทำไมกัน..ชักง่วงนอนแล้วสิ แม้จะยังอยากสัมผัสหน้าอกนั้นก่อนก็เถอะ..แต่เอาไว้หลังจากตื่นละกัน… แต่เหมือนเราจะลืมอะไรบ้างอย่างไปรึเปล่านะ..

เปลือกตาของแกรนค่อยๆ ปิดลงอย่างช้าๆ จนสนิทตอนนี้เธอได้เข้าสู่ห้วงนิทราเป็นที่เรียบร้อย หญิงสาวสีขาวที่จับตัวเธออยู่ก็ยิ้มออกมาอย่างพึ่งพอใจเป็นอย่างมาก และใช้มือสีขาวของเธอลูบไปที่ใบหน้าของแกรนเบาๆ

“อยากรู้จังเลย ว่าตอนนี้เธอกำลังฝันถึงอะไรอยู่กันนะ”

“[Dark Ball]!!!”

   เมื่อสิ้นสุดเสียงบอลสีดำจำนวนมากก็พุ่งใส่หญิงสาวสีขาวและมีเรียทันที

“เป็นวิธีทักทายที่รุนแรงจังเลยนะ”

   ผู้หญิงสีขาวใช้มือของเธอปัดไปทางลูกบอลเหล่านั้นเบาๆ ละอองสีขาวที่ออกมาจากฝ่ามือของเธอก็กลายเป็นบาเรียรับการโจมตีเหล่านั้นจนหมดสิ้น

“อย่างที่คุณแม่บอกจริงๆด้วย ว่าเรื่องนี้มันมีอะไรแปลกๆ ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของเธอสินะ ผีเสื้อราตรี ฟาว”

   หญิงสาวหันไปทางชายหนุ่มที่กำลังอยู่ในสภาพดูอ่อนแรงที่กำลังชี้ไม้เท้ามาทางเธออยู่

“แหมๆ รู้สึกดีใจจัง ที่ยังมีคนจำชื่อของฉันได้ แถมยังเป็นลูกหลานของศัตรูคู่แค้นของเราแม่มดอสูรทองเสียด้วยสิ”

“ปล่อยคุณมีเรียเดี๋ยวนี้!!”

   ลำแสงสีขาวพุ่งออกทาจากวงเวทย์ด้านหลังของเขาเป็นจำนวน6เส้น โดยมันมีเป้าหมายคือผู้หญิงสีขาวที่กำลังจับตัวมีเรียเอาไว้อยู่ แต่ลำแสงก็ถูกหยุดไว้ได้ด้วยผู้หญิงอีกคนที่มีรูปร่างคล้ายกับมด

“ใจเย็นๆสิ พ่อหนุ่มน้อย คู่ต่อสู้ของเธอไม่ใช่ฉันหรอก แต่เป็นเธอคนนี้ต่างหากละ”

“อ๊อกกกก!!”

   ราชินีมดพุ่งใส่เอเลนอย่างรวดเร็ว แม้จะป้องกันไว้ได้ด้วยบาเรียเวทมนต์แต่การโจมตีที่หนักหน่วงนั้นก็ยังสามารถทะลุผ่านเข้ามาจนเขากระเด็นไปไกล

“อย่าทำให้เขาตายซะละ ตอนนี้ฉันไม่อยากจะสร้างหนี้แค้นไว้กับอสูรสีทองหรอกนะ”

“ค่ะ…”

   เมื่อพูดจบเธอก็พุ่งไปหาเอเลนทันที

“เอาละ ทีนี้ก็เหลือเราแค่สองคนแล้วนะ ไหนขอฉันดูหน้าของเธอชัดๆหน่อยสิ”

    เธอใช้เล็บของเธอค่อยๆกรีดไปทั้วร่างของมีเรียที่กำลังสลบ เมื่อเธอกรีดจนจนถึงส่วนใบหน้าเวทลวงตาที่ร่ายเอาไว้ก็คลายออก เผยให้เห็นใบหน้าของเด็กสาวที่มีแผลเป็นขนาดใหญ่อยู่กลางใบหน้า

“ตายจริง!! น่ารักจังแถมยังมีกลิ่นที่ดีมากด้วย อยากจะเก็บเอาไว้จังเลยน้า~”

   เมื่อพูดจบเธอก็ค่อยใช้มือของเธอล้วงเขาไปในเสื้อคลุมตัวใหญ่ของมีเรีย และก็ไซต์ไปที่ซอกคอน้อยๆของมีเรีย ก่อนจะค่อยๆ สูดกลิ่นเข้าไปด้วยจมูกเล็กๆของเธอ

“เนื้อตัวก็นุ่มนิ่มกลิ่นก็หอม..รสชาติจะเป็นยังไงนะ”

   เธอฝังคมเขี้ยวลงไปที่คอของมีเรียจนเกิดแผล และดูดเลือดที่ไหลลินออกมาด้วยปากของเธอ เธอค่อยๆดูดมันไปเรื่อยๆ มือของเธอที่ล้วงเข้าไปก็ค่อยๆลึกลงเรื่อยๆ อย่างช้าๆ

“อะ..อื้ม~”

“แม้แต่เสียงครางก็ยังน่ารัก อ๊า~ น่าเสียดายจังน้า~ อยากจะสนุกกับเธอมากกว่านี้จัง แต่ถ้าอยู่นานกว่านี้ละก็ฉันจะโดนดุเอานะซี่~ แผล่บ”

   เธอเลียน้ำนิ้วของที่ตัวเอง ก่อนที่จะใช้มือข้างในจับไปที่ใบหน้าของมีเรียและค่อยๆสอดลิ้นเข้าไป ปากของพวกเธอประกบเข้าด้วยกัน เมื่อเสร็จกิจแล้วเธอก็ค่อยๆวางร่างของมีเรียลงไปกับพื้น ซึ่งริมฝีปากของพวกเธอยังคงมีเส้นใยใสๆเชื่อมถึงกันอยู่

“หวังว่าเราจะได้เจอกันตอนที่เธอคงจะกลายเป็นดอกไม้เบ่งบานมากกว่านี้นะมีเรีย และเมื่อถึงตอนนั้นแล้วละก็เธอคงอร่อยมากกว่านี้แน่นอน หุๆๆๆ”

   เมื่อพูดจบหลังเธอก็กางปีกผีเสื้อสีขาวออกมา กระพือมันไปมาละอองสีขาวจากปีกของเธอเริ่มปกคลุมพื้นที่ก่อนมันจะถูกพัดปลิวไปกับสายลมในฤดูหนาวพร้อมกับร่างของเธอที่หายไปจากตรงนั้น เหลือไว้เพียงร่างของมีเรียที่ยังคงสลบอยู่

“คะ..คุณมีเรีย”

   เอเลนเดินโซซัดโซเซเข้าไปหามีเรีย เสื้อผ้าของเขาขาดรุ่งริ่งและมีบาดแผลตามตัวเต็มไปหมด

“คุณมีเรียครับ!! คุณมีเรีย!!”

   เขาเขย่าร่างของมีเรียที่กำลังนอนหลับอยู่บนพื้นหิมะ เลือดที่คอของมีเรียนั้นยังคงไหลออกมาอย่างต่อเนื่องจนย้อมหิมะให้กลายเป็นสีแดง ทำให้เขานึกว่ามีเรียได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติไป

“หนวกหูเว้ย!! คนจะหลับจะนอน!! แม่งมาตะโกนข้างหูอยู่ได้!!”

   เธอตื่นขึ้นมาโวยวายทันทีหลังจากที่การนอนถูกรบกวนโดยเอเลน

“เย็นโว้ย!! แถมยังเจ็บอีก ใครมันทำอะไรกับคอ…เลือดนี้หว่า!! มันเกิดอะไรขึ้นวะเนี้ย!!”

   มีเรียจับไปที่คอตัวเองก็พบว่าตัวเองกำลังเลือดออก แม้จะยังงงๆอยู่แต่เธอก็ตั้งสติและรักษามันจนหายในทันที

“ยังมีชีวิตอยู่สินะครับ คุณมีเรีย”

“หืม? เสียงนั้น ไอ้หน้าหล่อเหรอ? รอแปปเดี๋ยวค่อยคุย”

   มีเรียพยามจับไปที่แผลซ้ำๆ เพื่อเช็คอาการดูอีกครั้ง เมื่อมั้นใจว่าไม่มีแผลแล้วเธอจึงค่อยหันหน้าไปทางเอเลนเพื่อเริ่มต้นการสนธนาอย่างที่ควรจะเป็น

“เป็นอะไรไปเหรอครับ?”

   เอเลนถามแกรนด้วยความเป็นห่วง เธอทำหน้าดูตกตระลึกเป็นอย่างมากที่เห็นหน้าของเขา

“ทะ..ทำไม..ละ..”

  มีเรียพูดด้วยน้ำเสียงฟังดูสั้นเครือ และค่อยๆถอยห่างจากเขา

แกร่กๆ

   เสียงปริแตกเริ่มดังขึ้น ดูเหมือนเขตแดนแห่งนี้จะเริ่มแตกออกแล้ว

“เราต้องรีบออกจากที่นี้แล้วครับ เขตแดนที่นี้กำลังจะพังลงแล้ว คนที่ใช้เป็นแต่เวทสนับสนุนอย่างคุณท่ายังอยู่ที่นี้ต่อไปอันตรายแน่นอนครับ”

“ไม่เอา..อย่าเข้ามาใกล้นะ”

    เมื่อเอเลนพยามยื่นมือไปหามีเรีย เธอก็ถอยหนีไปไกลเข้าไปอีก ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความสับสนและหวาดกลัวเป็นอย่างมาก

“คุณมีเรียครับ ตั้งสติหน่อยตอนนี้พวกเราต้อง–“

“ก็บอกว่าอย่าเข้ามาใกล้ไง!!!”

ตูมมมม!!!!

    มีเรียตะโกนออกทั้งน้ำตาพลังเวทของเธอก็ปะทุขึ้นมาจนผลักเอเลนออกไป

“ทำไมละ..ทำไมแกยังยืนอยู่ตรงหน้าฉัน!! แกตายไปแล้วไม่ใช่แล้วรึไง!!”

“อุก..”

   เอเลนครางออกมาด้วยความเจ็บปวด บาดแผลที่ได้รับจากการต่อสู้กับราชินีไจแอนท์แอ็นยังไม่หายดีนัก แม้เขาจะรักษาไปบ้างแล้ว แต่หลังจากโดนพลังเวทกระแทกไปทำให้บาดแผลของเขาสาหัสกว่าเดิม

“มะ…ไม่นะ…ไม่เอาห้องนั้น..หยุดนะ..อย่าขังหนู จะให้ทำอะไรก็ได้ แต่อย่าขังหนูเลยนะ”

   จู่ๆ มีเรียร้องโวยวายออกมาในขณะที่มองไปที่ความว่างเปล่า เธอพยามขอร้องทั้งน้ำตากับความว่างเปล่าท่ามกลางหิมะ

“ไม่ๆ!! อย่าปิดประตูนะ หนูไม่อยากอยู่ที่นี้คนเดียว!!! เปิดประตูก่อน ขอร้องละ!! เปิดสิ!! เปิด!!!!”

   เธอพยามทุบไปที่กำแพงของบ้านหลังหนึ่งด้วยมือเปล่าๆของเธออย่างสุดแรง จนมือของเธอแตก เธอทุบไปเรื่อยๆ เมื่อเธอเห็นว่ามันไม่มีประโยชน์เธอก็กลับมานั้งที่เดิมอีกครั้ง

“มองอะไรไม่เห็นเลย..หนาวจัง..แถมยังหิวอีก..ทำไม ฉันต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย..”

   เธอค่อยๆ ร้องไห้ออกมาท่ามกลางหิมะที่เริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ สิ่งก่อสร้างของที่นี้ก็เริ่มพังลงทีละน้อย โดยเริ่มจากอาคารที่เริ่มผุกร่อนไปเรื่อยๆ

“ถ้าฉันอยู่ที่นี้นานๆ จะมีหนอนมากินตัวฉันเหมือนแกไหมนะ…”

“…..”

“ไม่ตอบเหรอ..ช่างเถอะ ยังไงฉันก็ต้องอยู่นี้คนเดียวอยู่แล้วนี้นะ ชินแล้วละ ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไรๆ ไม่เป็นอะไรเลยสักนึด อืม ไม่เป็นไรๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”

   มีเรียพูดซ้ำๆไปมาๆ ดวงตาตาของเธอเริ่มว่างเปล่าขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่พูดออกมา

“ทุกๆคนมีความสุขฉันไม่มี ไม่เป็นไร ตุ๊กตาโดนฉีก ไม่เป็นไร เสื้อผ้าไม่มี ก็ไม่เป็นไร หิวก็ไม่เป็นไร โดนทิ้ง ก็ไม่เป็นไรอย่างน้อยฉันก็มี….อ๊ะ!!….อันนั้นโดนเผาไปแล้วนี้น่า ลืมไปซะสนิทเลย ตอนนี้ฉันเหลืออะไรบ้างนะ”

   เธอทำท่าเหมือนพยามนึกอะไรบ้างอย่างอยู่พร้อมกับนับนิ้วตัวเองอยู่ เอเลนที่เห็นมีเรียสติหลุดไปแล้ว จึงค่อยๆ รวบรวมพลังเฮือกสุดท้าย ปล่อยบอลแสงเล็กๆไปหามีเรียโดยหวังจะเรียกสติของเธอกลับมาอีกครั้ง

กึกกกก!!!

“บาเรีย…ไม่สิ..พลังเวทที่ปะทุออกมามันกำลังปกป้องเธอ..แถมยังแข็งแกร่งมากด้วย เวทมนต์ทั้วไปฝ่าไปไม่ได้แน่”

   บอลแสงหายไปก่อนที่จะถึงตัวของมีเรีย รอบตัวของเธอเริ่มมีแสงปะทุขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆ

“ไม่มี..ไม่มีอะไรเหลือ..ไม่มี….ไม่ยุติธรรม…ทำไมละ….ทำไม..”

“คุณมีเรียครับตั้งสติหน่อย!! สิ่งที่คุณกำลังเห็นมันเป็นเพียงภาพหลวงตาไม่ใช่ของจริงครับ!!!”

เอเลนพยามตะโกนเพื่อเรียกสติของมีเรียที่กำลังพูดเพ้ออยู่คนเดียว แต่นั้นกลับทำให้มีเรียตื่นตัวมากกว่าเดิม

“ทะ…ทำไมแกยังร้องออกมาได้ละ ฉันน่าจะ… ไม่นะ.. อย่าเข้ามาใกล้.. ไม่.ไม่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆม่ายยยยยย!!!”

ตูมมมมมม!!!

   พลังเวทระเบิดออกมาโดยมีมีเรียเป็นจุดศูนกลาง เขตแดนสั่นไหวอย่างรุนแรงและปรึแตกจนเกิดเป็นรอยบนท้องฟ้าเหมือนกับกระจกที่มีรอยร้าว

“บ้าน่า..เป็นไปไม่ได้ แสงกำลังกลืนกินเขตแดน ธาตุแสงมันไม่น่ามีคุณสมบัติแบบนั้นนี้”

   เขาพูดออกมาด้วยความตกตระลึงในขณะที่กำลังมองมีเรียที่กำลังส่องประกายอยู่ แสงเริ่มห่อหุ้มตัวเธอมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่อาจมองเห็นร่างของเธอได้อีกต่อไป

“พลังเวทที่เหนือกว่าราชินีแม่มดมันเป็นแบบนี้เองสินะ.. หากปล่อยไว้แบบนี้ต่อไปคงต้องเกิดความเสียหายต่อคนนอกเขตแดนแน่.. แม้จะไม่อยากทำแต่ก็คงไม่มีทางเลือกแล้ว”

   เขาหยิบโพชั่นสีฟ้าจากกระเป๋าๆเล็กๆในผ้าคลุมขึ้นมาดื่มและเขี่ยงมันออกไป และยกคทาที่ใช้พยุงร่างขึ้นเหนือหัวด้วยมือทั้งสองข้าง

“แสงสว่างผู้ให้กำเนิดพลังงานแก่ชีวิตทุกชีวิต และความมืดผู้นำพาความสงบและความร่มเย็นแก่ทุกสิ่ง”

   คลื่นพลังสีขาวออกมาจากร่างของเขาจากด้านซ้ายและสีดำสีดำอยู่ด้านขวา

“นามของข้าคือ เอเลน บรอน ผู้ถือครองพลังของทั้งสองสิ่ง และจะเป็นผู้หล่อหลอมเข้าด้วยกัน”

   คลื่นพลังสีขาวและดำที่ออกมาจากร่างเขาเริ่มลอยเข้าหากัน มือของเขาเริ่มสั่นและใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ

“แสงสว่างจะไม่ทำให้ความมืดสูญสลาย แต่จะทำให้ความมืดเด่นชัด และความมืดจะยังคงอยู่ท่ามกลางแสงเพื่อให้แสงสว่างมีตัวตน”

คลื่นพลังเริ่มก่อตัวเป็นรูปร่างเป็นวงกลมโดยแสงและความมืดผสมปนเปอยู่ในวงกลมนั้นในรูปแบบพายุที่กำลังหมุนวนอยู่ในวงกลม

“….อึก..อีกนึดเดียว..”

   พายุเริ่มหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มกลายเป็นเนื้อตัวเดียวกัน จนกลายเป็นลูกบอลขนาดใหญ่สีดำส่องประกายสู้กับแสงสว่างสีขาวจากทางฝั้งของมีเรีย ราวกับแสงของทั้งสองกำลังต่อสู้ซึ่งกันและกัน

“ความแข็งแกร่งของทั้งสองหลอมรวมกันเป็นหนึ่ง เพื่อขจัดภัคร้ายที่พยามรุกรานมาตุภูมิของข้า”

   เขาชี้คฑาไปทางมีเรียซึ่งกำลังถูกแสงสว่างกลืนกิน อัญมณีที่ถูกประดับไว้บนคฑาส่องประกายราวกับมันตอบรับคำของเขา พลังงานจำนวนมหาศาลจากคฑาพวยพุ่งออกมาเสริมทำให้แสงสว่างสีดำนั้นส่องประกายมากขึ้นจนสามารถดันแสงนั้นกลับไปได้

“จงทำลายแสงสว่างที่เป็นภัคและพาสันติสุขกลับมาสู่มาตุภูมิของข้า ไปซะ!!! [Dark light of swallow]!!!”

    ลูกบอลแสงสีดำเคลื่อนตัวโดยมีจุดมุ่งหมายคือกลางแสงสว่าง ลูกบอลสีดำปะทะกำลังพลังเวทที่แผ่ออกมาตรงๆ มันค่อยๆ ดูดกลืนแสงที่ถูกปล่อยออกมาและเพิ่มพลังให้กับตัวเอง แสงสว่างสีดำเริ่มกลืนกินแสงสีขาวและแทนที่ด้วยแสงสีดำของตัวมันเอง

ครืนนนน!!

   เมื่อลูกบอลสีดำเคลื่อนตัวไปถึงจุดศูนกลาง มันก็ค่อยๆ หดตัวและสูญสลายไปพร้อมแสงสว่างทั้งหมดที่ถูกปล่อยออกมาและแทนที่มันด้วยความว่างเปล่า

“จบ..แล้วสินะ”

   เขาทรุดลงไปทันทีเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างหายไป พลังเวทย์ทั้งหมดที่เขาเหลืออยู่ได้หมดสิ้นไปจนหมดแล้ว ทำให้ตอนนี้เขารู้สึกอ่อนล้าอย่างมาก เขาใช้มือทั้งสองข้างจับทฑาไว้แน่นเพื่อร่างกายของเขาลงไปกองกับพื้น

“ทุกอย่างมันเป็นเพราะความประมาทของเรา ถ้าเราเฉลี่ยวใจถึงคำเตือนเรื่องแสงนั้นสักนึดละก็มันคงมันจบลงแบบนี้แน่….”

   เขาพูดออกมาด้วยความเจ็บใจ ในขณะที่เขตแดนแห่งนี้ใกล้จะพังทลายแบบสมบูรณ์

“ขอโทษด้วยนะครับ ที่ผมไม่อาจช่วยคุณได้เพราะความโง่เขลาของตัวเอง ความผิดในครั้งนี้ในสักวันผมจะชดใช้ให้อย่างสาสมแน่นอน..”

   เขาใช้มืออีกข้างล่วงเข้าไปในผ้าคลุมอีกครั้งและหยิบขวดโพชั่นอีกขวดขึ้นมาดื่ม และค่อยๆยืนขึ้นอีกครั้ง

“จงเปลี่ยนผลัดอีกครั้งเพื่อกลับสู่จุดเริ่มต้น”

ตึก ตึก ตึก

   เขาใช้ไม้คฑาเคาะไปที่พื้น3ครั้งทิวทัศที่พังทลายได้กลับกลายเป็นเมืองตามเดิมอีกครั้ง ผู้คนที่สัญจรไปมาต่างมองเขาที่จู่ๆก็โผล่ออกมาจากความว่างเปล่า

“เอเลน!!”

   อัศวินหนุ่มที่หน้าตาดูคุ้นเคยตะโกนขึ้นมาและรีบวิ่งมาหาเอเลน

“อ่า..เคลนี้เอง เป็นอะไรไปละ ท่าทางแตกตื่นเชียว ทำน้องสาวของผมหายอีกแล้วรึไง”

“ยังจะพูดเล่นอีก!! จู่ๆก็หายตัวไปแล้วก็กลับมาในสภาพนั้นอีก มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่เผลอทำเรื่องที่ไม่อาจให้อภัคลงไปอีกแล้วนะ”

“พูดเรื่องอะไร นายบอกจะไปตามหาท่านมีเรียไม่ใช่รึไง มันจะเป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัคได้ยังไง”

เคลเหมือนหยุดพูดและทำท่าเหมือนจะเริ่มนึกอะไรบ้างอย่างออก

“อย่าบอกนะว่านาย….ถึงขั้นกล้าขโมยกางเกงในเด็กผู้หญิงคนอื่นในขณะที่พวกเธอกำลังสวมใส่มันแล้วนะ”

“ฮ่าๆ นายนี้พูดอะไรตลกซะจริง ถึงผมจะชอบกางเกงในของเด็กผู้หญิงก็จริง แต่ผมก็ไม่กล้าที่จะไปขโมยมันตรงๆหรอกนะ”

“ไอ้คนที่กล้าแม้แต่ขโมยกางเกงในแม้กระทั้งแม่แท้ๆของตัวเองมาดมอย่างนาย พูดแล้วฟังไม่ค่อยขึ้นเท่าไหร่เลยนะ”

“ฮ่าๆๆๆ นั้นสินะ..มันคงเป็นอย่างที่นายพูดจริงๆ นั้นแหละ….”

“เอาเถอะ ท่านายไม่ได้ทำก็ดีแล้วละ..แล้วสรุปนายไปทำอะไรมากันแน่ละเอเลน”

   เคลจ้องไปที่เอเลนด้วยสายตาจริงจัง เขาต้องการคำตอบที่แท้จริงจากเพื่อนสนิทของเขาที่เปรียบดั้งพี่น้องของเขา

“มันมีเขตแดนน่าสกสัยถูกสร้างขึ้นในเมืองผมเลยลองฝ่าเข้าไปก็พบผีเสื้อกับราชินีไจแอนท์แอ็นกำลังจับตัวคุณมีเรียไว้”

“ว่ายังไงนะ!! แบบนี้ต้องรีบไปแจ้งที่ป้อมให้ส่งสัญญาณพาพวกที่อยู่นอกเมืองกลับมาแล้ว!!”

    เอเลนคว้ามือจับเคลที่กำลังจะวิ่งออกไปทันที และส่ายหน้าไปมา

“ไม่ต้องแล้วละ ราชินีไจแอนท์แอ็นถูกผมกำจัดไปแล้ว ส่วนผีเสื้อราตรีเองก็ถอยไปแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องเรียกคนที่กำลังสู้อยู่กลับมาหรอก”

“งั้นเหรอ…..แล้วท่านมีเรียอยู่ไหนละ”

“….เธอถูกพวกนั้นทำให้บ้าคลั้งและไม่อาจควบคุมพลังเวทย์อันมหาศาลของตัวเองได้ ทำให้ผมต้องกำจัดเธอเพื่อตัดปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นหากเธอออกมาจากเขตแดนได้นะ”

“งั้นเหรอ..เป็นเรื่องที่ฟังดูแย่สำหรับนายน่าดูเลยนะ”

“อืม…”

   เคลก็เข้าไปช่วยพยุงร่างของเอเลนที่กำลังทำท่าซึ่มๆอยู่ทันที

“พอจะเดินไหวรึเปล่าเอเลน”

“ถ้าผมตอบว่าไม่ไหวจะช่วยอุ้มกลับไหมละ”

“บ้ารึเปล่า คนที่อัศวินจะอุ้มนะมีแต่ผู้หญิงและสหายที่บาดเจ็บหนักจนขยับไม่ได้เท่านั้นแหละ อย่างนายที่ยังหัวเราะหน้าระรื่นได้แค่ช่วยพยุงก็เหลือแล้วละ”

“…ขอบคุณมากนะเคล..”

“ด้วยความยินดี”

    เคลค่อยพยุงร่างของเอเลนเดินต่อไปเพื่อพากลับไปที่คฤหารถ์บรอน ในระหว่างที่เขาเดินไปได้สักพักแสงสว่างก็ส่องประกายลงมาจากท้องฟ้า

“นั้นมันอะไรกัน..”

   เคลพูดออกมาด้วยความตกตะลึงในขณะที่กำลังมองร่างๆหนึ่งที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าและส่องประกายแสงออกมาอยู่เหนือหัวคลอบคลุมทั้งเมือง แม้จะอยู่ไกลจนมองยากแต่ร่างนั้นเป็นร่างของผู้หญิงที่มีใบหน้าดูงดงามเธอมีผมยาวสีดำยาวถึงกลางหลังและมีแสงสว่างสีดำปกคลุมร่างกายเอาไว้

“บ้าน่า..เธอดูดกลืนพลังเวทย์ของผมไปอย่างงั้นเหรอ!!”

“นายรู้จักผู้หญิงคนนั้นเหรอเอเลน!! อย่างบอกนะว่านั้นคือผีเสื้อราตรีที่นายบอกว่าหนีไปแล้ว ใช่มั้ย?”

“เธอไม่ใช่ผีเสื้อราตรีหรอกเคล เธอคือคุณมีเรียต่างหากละ”

“ห๊า? นายพูดอะไรของนายท่านมีเรียเธอเป็นผู้หญิงร่างเล็กนะ รูปลักษณ์ภายนอกของผู้หญิงคนนั้นไม่เหมือนกับท่านมีเรียเลยสักนึด”

“นายคงมองไม่ออกสินะ แม้รูกลักษณ์ภายนอกจะเปลี่ยนไปมาก แต่กระแสพลังเวทย์แบบนั้นคือคุณมีเรียไม่ผิดแน่นอน แถมตอนนี้ดููเหมือนว่าเธอยังไม่ได้สติด้วยสิ”

“ท่างั้นเธอจะทำอันตรายกับเมืองรึเปล่า”

“ผมก็ไม่รู้หรอกเคล แต่ท่าเท่าที่ผมสังเกตุเธอจะไม่ทำอะไรทั้งนั้นท่าไม่ใครเข้าใกล้เธอเกินไป ผมคิดว่าตอนนี้คงไม่เป็นอะไรหรอก”

“แสดงว่าในตอนนี้เธอจะไม่ทำอะไรสินะ…. นายพอจะทำอะไรสักอย่างกับเธอได้รึเปล่า ปล่อยเธอไว้แบบนี้ชาวเมืองแตกตื่นกันแน่”

“ทำไม่ได้หรอกตอนนี้พลังเวทของผมก็หมดไปแล้ว แถมยังถึงขีดจำกัดในการฟื้นฟู่อีก คงได้แต่เพียงเฝ้ามองเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ได้อย่างเดียว และภาวนาว่าเธอคงจะอยู่ตรงนั้นเฉยๆ ไปเรื่อยๆจนกว่าคุณริสกับคุณฮันจะกลับมาทำอะไรสักอย่างกับเธอนั้นแหละ”

    เขาจ้องมองหญิงสาวที่กำลังล่องลอยอยู่บนอากาศตัวคนเดียวอย่างสงบสเงี่ยมอยู่บนท้องฟ้าและไม่มีท่าทีจะเคลื่อนไหวไปไหน เธอแค่ลอยอยู่ตรงนั้นเพื่อส่องแสงสว่างออกมาเพื่อแข่งกับแสงอาทิตย์ยามเย็นเพียงเท่านั้น

ผมคือนักบุญหญิงที่เป่ายิ้งฉุบมาเกิดใหม่ครับ

ผมคือนักบุญหญิงที่เป่ายิ้งฉุบมาเกิดใหม่ครับ

Status: Ongoing
อ่านผมคือนักบุญหญิงที่เป่ายิ้งฉุบมาเกิดใหม่ครับชาย2คนที่เป่ายิ้งฉุบแย่งตัวละนักบุญหญิงเพราะอยากเล่นตัวละครผู้หญิงกัน แต่เมื่อเขาสามารถเอาชนะเพื่อนของตัวเองได้ ก็พบว่าตัวเองได้มาอยู่ต่างโลกในฐานะของนักบุญจริงๆ เสียแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset