ผมคือนักบุญหญิงที่เป่ายิ้งฉุบมาเกิดใหม่ครับ – ตอนที่ 64

“ดูเหมือนจะทันเวลาแบบเฉียดฉิวเลยสินะ”

     ริสต้าพูดขึ้นในขณะที่กำลังมองแสงสว่างกำลังขยายตัวกินพื้นที่ครอบคลุมบริเวณที่อยู่รอบๆอย่างรวดเร็ว ก่อนที่มันจะค่อยๆจางหายไป

“ม…เมืองของพวกเรามัน…”

    บ้านเรือนมากกว่าครึ่งที่ถูกแสงสว่างกลืนกินหายไปอย่างไร้ร่องรอยโดยที่ไม่เหลือแม้แต่เศษซากทิ้งเอาไว้ให้ดูต่างหน้าเลยแม้แต่น้อย หลายๆคนที่ต้องเสียบ้านที่เป็นที่อยู่อาศัยของตนต่างโกรธแค้นผู้หญิงที่ลอยอยู่บนฟ้าที่เป็นตัวตนเหตุของเรื่องราววุ่นวายนี้ทั้งหมด

“คุณริสต้าเป็นอะไรรึเปล่าครับ”

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันยังเหลือพลังเวทอีกตั้งเยอะ หาย…ห่วง”

   เอเรนเข้าไปรับร่างของริสต้าที่กำลังจะล้มลงทันที

“จะฝืนไม่ได้นะครับ แม้พลังเวทย์คุณจะยังเหลือเยอะก็ตาม แต่การคุณใช้เวทย์มนต์หลายๆครั้งติดต่อกันแบบไม่พักมันจะส่งผลเสียกับคุณมากกว่านะครับ”

“ไม่ต้องบอกฉันก็รู้อยู่แล้วน่า… ว่าแต่นายเถอะ ไม่เสียใจหน่อยรึไง ที่เมืองที่อยู่ในการปกครองของครอบครัวตัวเองหายไปมากกว่าครึ่งแบบนี้นะ”

“จริงๆ ก็เสียใจอยู่นึดๆอยู่เหมือนกันนะครับ แต่ว่าการที่เห็นทุกคนปลอคภัคแบบนี้ ผมก็รู้สึกสบายใจมากกว่าเสียใจแล้วละครับ”

    เอเรนพูดพร้อมกับมองไปที่เหล่าผู้คนที่ถูกเทเลพอร์ตมาพร้อมกับเขา

“ที่ทุกคนกับผมรอดมาได้นั้นได้คุณช่วยเหลือเอาไว้ เพราะอย่างงั้นได้โปรดให้ผมดูแลคุณเพื่อตอบแทนสักเล็กน้อยก็ยังดีนะครับ”

   เอเลนหยิบขวดยาโพชั่นขึ้นมาอีกขวดและป้อนให้ริสต้าดื่มด้วยมือของตัวเอง

“ขอบใจสำหรับโพชั่นมากนะเอเลน”

“เรื่องเล็กน้อยเล็กๆครับ”

   เอเลนค่อยๆประคองร่างของริสต้าไปผึ่งกับต้นไม้เพื่อให้เธอได้พักก่อน

“แล้วนายจะทำยังไงต่อดีละเอเรน จะสู้ต่อหรือจะปล่อยให้ยัยเด็กบ้านั้นทำลายเมืองนั้นต่อดีละ”

“ตอนนี้พวกเราคงทำอะไรมากไม่ได้หรอกครับ อีกสักพักพายุหิมะก็จะเข้าแล้ว ในวันนี้เราคงต้องไปรวมกลุ่มกันที่ค่ายฉุกเฉินก่อน และค่อยมาคิดกันอีกทีว่าจะทำอะไรต่อไปดีนั้นแหละครับ”

“ท่านเอเลนครับ!!”

  ทหารคนหนึ่งวิ่งมาหาเอเลนด้วยท่าทีที่ดูแตกตื่น

“มีอะไรเหรอครับ? ดูท่าทางแตกตื่นเชียว”

“ทะ..เทพสงครามดูเหมือนว่าเธอ..ไม่ได้เทเลพอทมาด้วยครับ”

“!!!”

   เอเรนตกใจเล็กน้อยก่อนที่เขาจะกลับมาสงบอีกครั้ง

“เป็นไปไม่ได้!! ฉันมั้นใจว่าเทเลพอร์ตทุกคนมาแล้วแน่ๆ มันจะเป็นไปได้ยังไง”

“ใจเย็นๆครับ คุณริสต้า เดี๋ยวรอฟังเขาพูดให้จบก่อนเถอะครับ”

เอเรนห้ามริสต้าที่

“ไหนลองว่าต่อมาสิ”

“ครับ จากที่ได้พวกนักพจญภัคบอกตอนที่กำลังร่วมกลุ่มกันที่วงเวท เทพสงครามเป็นคนเดียวที่ไม่ได้มาร่วมกลุ่มด้วยกันครับ”

“เธอได้บอกเหตุผลรึเปล่า ว่าทำไมถึงทำแบบนั้น”

“จากที่พวกนั้นบอก…ดูเหมือนว่าเธอยังย่างนกไม่เสร็จ ก็เลยไม่ยอมเข้ามาในวงเวทครับ”

“”……””

.

.

.

.

.

.

   ณ ใจกลางเมืองที่เหลือแต่เพียงความว่างเปล่า แม้ในตอนนี้พระอาทิตย์จะลับตาไปเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังมีมีเรียที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าคอยส่องแสงให้อยู่

“ทำไม…”

   มีเรียยังคงลอยอยู่พร้อมกับพูดพร่ำคำเดิมซ้ำไปซ้ำมาก่อนที่เธอจะค่อยๆ ร่อนลงมาอยู่บนพื้น และนั้งกอดเข่าท่ามกลางพายุหิมะที่กำลังพัดอย่างรุนแรง

“ทำไม..ถึงมีแค่คนเดียว…กันละ”

   น้ำตาของเธอค่อยๆไหลออกมาอาบแก้มของเธอ ก่อนที่มันจะร่วงลงสู่พื้นและกลายเป็นแค่ก้อนน้ำแข็งเล็กๆ ที่อยู่ตามพื้น เพียงเท่านั้น

“ย่าง เสร็จแล้ว กิน ไหม?”

“!!!!!!”

   ก้าก้าเดินเข้ามาหามีเรียพร้อมกับนกย่างทั้งสี่ไม้ที่อยู่มือของเธอ

“อย่าเข้ามานะ!!!”

   มีเรียกลับมาอยู่ในอาการตื่นกลัวอีกครั้ง ลูกธนูแสงมากมายปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง และพุ่งใส่ก้าก้าที่กำลังเดินตรงดิ่งเข้ามาหาเธอ

“ทำไมละ!! ทำไมถึงยังไม่ยอมถอยออกไปอีก!!”

   ลูกธนูทั้งหมดที่พุ่งเข้าไปหาก้าก้าต่างเบี่ยงออกไปคนละทิศคนละทางก่อนที่มันจะถึงร่างของก้าก้า หิมะที่เข้ามาใกล้ลูกธนูต่างถูกเผาไหม้เป็นไอน้ำท่ามกลางพายุหิมะ แต่ถึงอย่างงั้นก้าก้าก็ยังคงเดินฝ่ามันไปโดยที่ไม่เกรงกลัวมันเลยแม้แต่น้อย

“ก็บอกว่าอย่าเข้ามาไง!!!!”

   พลังเวทปะทุออกมาพลักของที่อยู่รอบๆ มันออกไป หิมะที่อยู่รอบมีเรียนั้นกระจายออกไปรอบๆ ก้าก้าที่ไหวตัวทันเธอใช้คฑาของเอเลนปักเข้าไปที่พื้นเพื่อยื้อร่างของเธอไม่ให้ถูกพัดออกไปและเธอก็ทำมันสำเร็จ

“ไม่นะ…ไม่เอาแล้ว….”

   มีเรียถอยมือถอยร่อนออกไปเมื่อเห็นว่าสิ่งที่เธอทำมันไม่ได้ผลก็ใช้มือถอยร่อนออกไป แสงสีดำที่ห่อหุ้มร่างกายของเธอเอาไว้ก็พุ่งเข้าไปให้ก้าก้าที่กำลังเดินเข้าใกล้มีเรียขึ้นเรื่อยๆ แต่ถึงอย่างงั้นก้าก้าเองก็ใช้ก้าก้าก็ใช้คฑาที่อยู่ในมือฟาดพวกมันจนแตกสลายไป ทำให้ตอนนี้้มีเรียอยู่ในสภาพโป๊เปลือยทันที

“มีเรีย ทำไม ร้องไห้ เหรอ?”

    เธอเอ่ยถามมีเรียที่ตอนนี้กำลังตัวสั่นด้วยความกลัวอยู่ตรงพื้น ก้าก้าจึงค่อยๆ ยื่นมือเข้าไปหามีเรียอย่างช้าๆ

“ไม่เอา.. อย่า–อุ๊บ!!!”

   ก้าก้าจับหัวของมีเรียและนำมันมาซุกกับหน้าอกของตัวเอง และก็กอดมีเรียไว้แน่น

“โอ๋ๆ เด็ก ดี”

  ก้าก้าพยามปลอบมีเรียด้วยน้ำเสียงเรียบๆของเธอ เธอพยามเลียนแบบสิ่งที่เธอจำได้มาจากคนอื่น เธอกอดมีเรียเอาไว้ในอ้อมอกและก็ลูบหัวของมีเรียจนผมของเธอยุ่งเยิ่งไปหมด การกระทำของเธอนัั้นไม่มีเศษเสี้ยวของความอ่อนโยนเลยแม้แต่น้อย

“……”

    มีเรียที่หยุดสั่นและก็เงียบลงทันทีก่อนที่เธอจะค่อยๆ จับไปที่ไหล่ของก้าก้าเบาๆ

“หน้าอกของเธอเนี้ย..ก็ใหญ่ใช้ได้เลยนะ ก้าก้า”

“มีเรีย เหรอ?”

“อืม… ใช่แล้วละ แต่ก่อนอืนช่วยปล่อยก่อนได้รึเปล่า แม้มันจะรู้สึกดีก็เถอะ แต่ท่าเธอกอดฉันนานกว่านี้ฉันได้ขาดอาการหายใจตายคาหน้าอกของเธอแน่”

“ขอโทษ”

    ก้าก้าค่อยๆคลายมือที่กอดมีเรียเอาไว้ ทำให้ตอนนี้มีเรียเป็นอิสระ อีกครั้ง มีเรียค่อยๆยืนขึ้นอีกครั้งและมองไปรอบๆ ก่อนจะหันกับมาสำรวจร่างกายของตัวเองอีกครั้ง

“ผมยาวสีดำ ร่างกายเองก็เติบโตขึ้นจนมีหน้าอก…. แถมยังเปลือยอยู่กลางหิมะอีก นี้ใครมันทำอะไรกับร่างกายของฉันเนี้ย?”

      มีเรียพูดพร้อมขย้ำหน้าอกของตัวเอง มันเป็นประสบณ์การที่เรียกได้ว่าแปลกใหม่เลยทีเดียว

“แล้วสรุปที่นี้มันที่ไหน ฉันจำได้ว่าล่าสุดว่าฉันกำลังวิ่งอยู่ในเมืองนะ”

“อยู่ใน เมือง”

“เมืองเหรอ? เธอจำอะไรผิดรึเปล่า ที่นี้มันว่างเปล่าไม่มีอะไรเลยนะ”

“มีเรีย ปล่อย แสง ออกมา บ้าน เลย หาย”

“ห๊า?”

     มีเรียงงงวยกับคำพูดของก้าก้า แต่ถึงอย่างงั้นเธอก็พยามจับใจความและพยามทำความเข้าใจกับสิ่งที่ก้าก้าพูด

“คือแบบว่าฉันปล่อยลำแสงออกมาจากฝ่ามือและบ้านก็หายไปเหรอ?”

“ไม่ใช่ แสง มัน แว่บ!! บ้าน ก็ หายไป”

“ยิ่งพูดยิ่งทำให้ฉันงงนะ เอาเป็นว่าขอเวลาฉันพิสูจอะไรสักหน่อยได้รึเปล่า”

“อืม…”

    เมื่อพูดจบมีเรียก็เริ่มขุดหิมะใต้เท้าของตัวเอง ก็พบกับพื้นหินที่เป็นของเมือง หลังจากนั้นเธอก็เดินไปเรื่อยๆ ในทางที่เธอคิดว่าเป็นทางของถนน

“หนาว เหรอ?”

“ก็หนาวนะสิ ถามแปลกๆ ใครมันเดินเปลือยท่ามกลางหิมะแล้วไม่หนาวบ้างละ”

“ให้”

     ก้าก้าถอดเสื้อนอกสีแดงของเธอและยื่นให้กับมีเรีย

“ไม่ต้องหรอกเสื้อของเธอมันเป็นแบบเอวลอยใส่ไปก็ไม่ต่างอะไรกับเปลือยหรอก”

“อืม..”

    มีเรียพยามใช้แขนทั้งสองกอดร่างของตัวเองไว้เพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกายของตัวเอง เท้าของเธอถูกหิมะกัดจนเริ่มรู้สึกเจ็บ แต่ถึงอย่างงั้นเธอก็คงเลือกที่จะเดินต่อไปเพื่อพิสูจพ์อะไรบางอย่าง

“หายไปจริงๆด้วย…”

ตรง     มีเรียเดินมาเรื่อยๆ จนเห็นบ้านเรือนต่างๆ ที่อยู่หน้า ให้เธอก็จำได้ว่าตรงที่เธอยืนอยู่นั้นมันต้องเป็นบ้านที่ควรอยู่ต่อกันมา ไม่ใช่พื้นที่ว่างเปล่าเหมือนที่เธอเห็นในตอนนี้

“นี้ก้าก้า ที่บ้านมันหายไปแบบนี้ฉันเป็นคนทำเหรอ”

“อืม”

“งั้นเหรอ…”

    มีเรียฟังดังนั้นดูเศร้าเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเริ่มเดินต่อไปเรื่อยๆ เพื่อดูบ้านหลังอื่นๆ

“ไม่มีร่องรอยของการถูกทำลายเลย พื้นเองก็ยังอยู่ดีด้วย.. พอจะเข้าใจอะไรบ้างอย่างแล้วละ”

   มีเรียทำท่าครุ่นคิดสักพักก่อนจะหันหน้าไปหาก้าก้าที่ยืนอยู่ข้างๆเธอ

“ก้าก้า ตอนที่ฉันปล่อยลำแสงหรืออะไรสักอย่าง ฉันได้พูดอะไรบ้างรึเปล่า”

“มีเรีย บอกว่า เกลียด”

“เกลียดงั้นเหรอ… อย่างงี้นี้เอง เริ่มจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้วละนะ”

“อัน อ๋อ”(งั้นเหรอ)

“แล้วเธอไปเอานกย่างมาจากไหนละนั้น”

“เอา ไหม?”

“ขอไม้1ละกันนะ”

   มีเรียหยิบนกย่างจากมือของก้าก้ามา1ไม้ และก็กัดลงไปเบาๆ

“อร่อยดีนะ เจ้านกนี้นะ”

“อืม นก อพยพ อร่อย ท่า ย่าง”

   ก้าก้าตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ก่อนที่จะลงมือกินนกย่างไม้ที่2 ต่อทันที

“ขอบคุณมากนะที่ช่วยฉันไว้นะ”

“เอือนไอ?”

“นั้นสินะ ฉันขอบคุณเธอเรื่องอะไร ฉันเองก็ลืมไปแล้วละ”

    มีเรียพูดเบาๆ พร้อมกับยิ้มให้กับก้าก้า ก่อนที่จะเริ่มลงมือกินนกย่างในมือต่อ ท่ามกลางหิมะที่กำลังตกหนักพร้อมกับก้าก้า น่าแปลกเหมือนก้นทั้งที่ตอนนี้เธอควรจะหนาวจนแทบขาดใจแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกอบอุ่นแบบแปลกๆ

    เธอกินนกย่างในมือและเงยหน้ามองดูท้องฟ้าย่ามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาวในตอนนี้

“เธอชอบเมืองนี้รึเปล่าก้าก้า”

“ชอบ คน ที่นี้ ใจดี”

“งั้นก็ดีแล้วละนะ เพราะฉันเองก็ชอบเมืองนี้เหมือนกัน รวมถึงเธอด้วยนะ ก้าก้า”

    มีเรียพูดจบเธอก็เดินไปข้างหน้าและยกมือข้างหนึ่งขึ้นไปบนฟ้า แสงสว่างที่เจิดจ้ายิ่งกว่าแสงของดวงดาวก็ส่องประกายขึ้นมาจากมือบของเธอ

“เอาละ ท่าฉันเป็นคนทำให้มันหายไปละก็ ฉันก็ต้องเอามันกลับมาให้ได้ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม!!!”

    มีเรียพูดออกมาเสียงดังและก็ปล่อยปลดปล่อยพลังเวทในตัวทั้งหมดออกมาผ่านฝ่ามือของเธอ

“นึกให้ออก… ความสุขที่ได้อยู่ที่เมืองนี้นะ ภาพในตอนนั้นยังอยู่ในหัวอยู่เลย ไม่ใช่รึไง!!”

    พลังเวทยังคงไหลออกจากตัวเธอเรื่อยๆ แต่ถึงอย่างงั้นก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่ดี แต่ถึงอย่างงั้นเธอก็ยังคงไม่ยอมแพ้

“มีเรีย สู้ สู้?”

    ก้าก้าส่งเสียงเชียร์มีเรีย แม้จะไม่เข้าใจว่าตอนนี้มีเรียกำลังพยามทำอะไรอยู่ก็ตาม มีเรียที่เห็นอย่างงั้นจึงยิ้มออกมาเล็กน้อย

“ก็บอกแล้วไง!! ท่าอยู่ที่นี้ฉันคือแกรนต่างหากละ!! หัดจำไว้หน่อยสิ ยัยบื้อนี้!!”

    แสงสว่างส่องประกายเจิดจ้าขยายตัวจนครอบคลุมไปทั้ว ทั้งเมืองโดยมี มีเรียที่เป็นจุดศูนย์กลาง ในครั้งนี้แสงสว่างส่องประกายมากกว่าครั้งไหนๆ จนสามารถมองเห็นได้จากระยะไกลได้ไม่ยาก

    และเมื่อแสงสว่างเริ่มจางหายเมืองก็กลับมาเป็นแบบเดิมอีกครั้ง บ้านเรือนและสิ่งของทั้งหมดที่หายไป ได้กลับมาเป็นแบบเดิม ร่วมทั้งมีเรียที่ตอนนี้ส่วนสูงและร่างกายของเธอกลับไปเป็นตามเดิมอีกครั้ง

“นี้คงเป็นครั้งแรกที่ใช้พลังเวทจนหมดก๊อกเลยละมั้งเนี้ย..”

    เมื่อพูดจบเธอก็หมดสติล้มลงไปกองกับพื้นหิมะทันที ก้าก้าที่เห็นดังนั้นก็ลนลานทำอะไรไม่ถูกทันที

“มีเรีย ตื่น สิ มีเรีย”

    ก้าก้าพยามเรียกชื่อของมีเรียซ้ำๆพร้อมกับเขย่าตัวของเธอซ้ำไปซ้ำมา

“เธอไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ คุณก้าก้า เธอแค่หมดสติไปเพราะใช้พลังเวทเกินตัวก็เท่านั้นเอง”

    สาวน้อยที่แบกกระเป๋าใบใหญ่ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งต่อหน้าของก้าก้า

“ช่วย มี- แกรน หน่อย”

“ได้สิค่ะ รอสักครู่นะ”

    เธอหยิบผ้าหนาๆอันหนึ่งออกมาจากกระเป๋าและก็ห่อร่างของมีเรียเอาไว้ในนั้นจนเหมือนตัวหนอน ผีเสื้อ

“เอาละ แค่นี้ก็ไม่เป็นหวัดแล้ว ที่เหลือก็แค่พากลับไปนอนที่โรงแรมตอนเช้าตื่นมาเดี๋ยวก็กลับมาเป็นปกติแล้วละคะ”

“อืม”

“ว่าแต่คุณก้าก้านี้เก่งมากๆ เลยนะคะ ไม่คิดเลยว่าคุณจะสามารถเอาชนะได้โดยที่ไม่บาดเจ็บเลย ฉันคิดว่าคุณจะบาดเจ็บหนักซะอีก ถึงได้ให้ยาฟื้นฟู่ที่ดีที่สุดไปนะ”

“เวทมนต์ ไม่มี เจตนา ฆ่า ไม่ น่า กลัว…”

    ก้าก้ารู้อยู่แล้วหลังจากที่ลองปัดธนูเวทมนต์ เธอไม่อาจสัมผัสได้ถึงเจตนามุ่งร้ายในเวทมนต์ได้เลยแม้แต่น้อย ทุกครั้งที่เวทมนต์จะโดนตัวเธอมันก็จะเบี่ยงไปอีกทางเสมอ ทำให้เธอไม่กลัวเวทมนต์ที่มีเรียปล่อยมาเลยแม้แต่น้อย

“อย่างงี้นี้เอง เพราะอย่างงั้นคุณถึงเลือกที่จะไม่หนีสินะคะ”

“????”

“ดูเหมือนจะไม่เข้าใจสินะ แต่ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่ได้เห็นพวกคุณปลอดภัคฉันก็มีความดีใจมากแล้วละคะ”

    สาวน้อยยิ้มให้ก้าก้าก่อนที่เธอยืนขึ้นและมองไปรอบๆ

“ขอยืมคฑาอันนั้นหน่อยได้ไหมค่ะ”

“อืม”

    ก้าก้ายื่นคฑาเวทมนต์ให้กับสาวน้อย และสาวน้อยก็หยิบคฑาอันนั้นก่อนที่จะชูมันขึ้นไปเหนือหัว แสงสว่างก็แว่บขึ้นมาเพียงสั้นๆ ก่อนที่มันจะหายไปอย่างรวดเร็วจนแทบไม่ทันสังเกตุ

“แค่นี้ส่วนที่เสียหายก็ซ่อมแซมหมดแล้ว ขอบคุณที่ให้ยืมคฑาเวทมากเลยนะคะ”

“อืม…”

“ทำท่าทางแบบนั้นมีอะไรจะถามฉันรึเปล่าคะ?”

“มี”

“ฉันยังมีเวลาอีกนึดหน่อยที่จะอยู่คุยกับคุณ อยากถามอะไรก็ถามมาได้เลยคะ”

“ทำไม พลังเวท เหมือน ของ แกรน เหรอ?”

    สาวน้อยตกใจกับคำถามของก้าก้าเล็กน้อย แต่นั้นก็เกินตามความคาดหมายของเธอเลยแม้แต่น้อย

“เรื่องนั้นคงตอบให้ไม่ได้หรอกค่ะ”

“ทำไม?”

“เรื่องนั้นก็ตอบให้ไม่ได้เหมือนกันค่ะ”

“อือ… หน้าอกเต็มไปหมดเย้อ แหะๆ”

    ในขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันมีเรียที่นอนอยู่ก็ละเมอออกมา ทำให้สาวน้อยหัวเราะออกมาเล็กน้อย

“คิกๆ ละเมอได้น่าเอ็นดูมากๆเลยนะคะ”

   สาวน้อยคุกเข่าลงและก็ลูบหัวของทั้งสอง

“จากนี้ไปจะมีเรื่องราวอันหนักหนามากมายเข้ามาในชีวิตของเด็กคนนี้ ฉันขอให้คุณช่วยอยู่เคียงข้างเธอเหมือนวันนี้ด้วยนะคะ”

   เมื่อพูดจบสาวน้อยก็ลุกขึ้นและเดินจากไปท่ามกลางพายุหิมะที่เริ่มรุนแรงขึ้น เธอเดินจากไปไกลเรื่อยๆ จนไม่อาจมองเห็นร่างเล็กๆของเธอที่สะพายกระเป๋าใบใหญ่ได้อีกต่อไป

“แหะๆ …ในที่สุด ฉันก็กลายราชาฮาเร็มสักที…คราวแหละ ฉันจะ….”

มีเรียยังคงละเมอออกมาถึงความฝันอันไร้สาระของเธอต่อไป

.

.

.

.

.

“หยุดซะแล้วเหรอ นึกว่าจะอาละวาดมากกว่านี้ซะอีก”

   ฟาวที่สัมผัสได้ถึงพลังเวทได้อ่อนลงพูดขึ้น ในขณะที่เธอกำลังดื่มสาเกแก้วเล็กๆ ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาอย่างอารมดี

“ช่างมันเถอะ แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับการกระตุ้นให้นายท่านตื่นขึ้นมาแล้วละนะ”

   เธอยกแก้วสาเกขึ้นมาซ้อนกับพระจันทร์ก่อนที่จะยกซดมันอีกครั้ง

“กลิ่นเน่าเหม็นของศพเนี้้ย ช่างไม่เหมาะกับค่ำคืนนี้ซะเลยนะ คุณเองก็คิดเหมือนกันรึเปล่า คุณผีลืมหลุม”

   ฟาวหันหลังกลับไปพูดกับชายหนุ่มที่ยืนทำหน้าบึ้งตื่นอยู่ข้างหลังเธอ

“ไม่เห็นต้องทำหน้าเครียดแบบนั้นเลย ฉันเพียงแค่ล้อคุณเล่นเท่านั้นเอง มาร่วมดื่มด้วยกันดีกว่า ไม่ต้องห่วง ในคืนนี้ฉันจะเลี้ยงเหล้าคุณเอง”

    ชายหนุ่มตอบรับคำเชิญของฟาวแบบเงียบๆ เขาเดินไปเข้าไปช้าๆ และนั้งข้างๆลงเธอ

“มิมิเอาสาเกให้ท่านชายคนนี้หน่อยสิ”

“ค่ะ นายหญิง”

    หญิงสาวหูแมวตอบรับคำสั้งของฟาว เธอรินสาเกจากขวดดินเผาใส่ในแก้วไม้ทรงสี่เหลี่ยมอย่างอย่างปราณีต กลิ่นสาเกอุ่นๆนั้นลอยขึ้นมาตลบอุ่บอ่วน ก่อนที่สาวหูแมวจะเสริฟให้กับชายหนุ่ม

“ขอบใจ”

“ด้วยความยินดีค่ะ นายท่าน”

   หญิงสาวหูแมวก้มหัวให้กับชายหนุ่มและเดินถอยหลังกลับไปและกลับไปนั้งประจำที่เดิม

“เป็นอะไรไป ไม่คิดจะลิ้มรสมันสักหน่อยเหรอนี้นะ เป็นสาเกชั้นหนึ่งในตอนนี้เชียวนะ”

“….”

    ชายหนุ่มไม่พูดอะไรเขายกแก้วไม้สี่เหลี่ยมขึ้นมาจิบอย่างช้าๆ

“สงครามครั้งสุดท้าย…กำลังจะเริ่มแล้วสินะ”

“ใช่แล้วละ ในที่สุดสงครามครั้งสุดท้ายที่พวกเรารอคอยก็จะมาถึงแล้ว แม้จะไม่ใช่เร็วๆนี้ก็ตาม”

    ฟาวพูดตอบและยกสาเกขึ้นมาดื่ม

“ยังไงพวกเธอก็จะไม่หยุดจริงๆเหรอ..เรื่องสงครามนั้นนะ”

“คุณนี้พูดได้น่าข้นเหลือเกินนะ ทั้งๆที่พวกเราแพ้ไปตั้ง7ครั้งแล้วแท้ๆ จะให้มาหยุดเอาตอนสุดท้ายแบบนี้ทั้งหมดก็สูญเปล่าหมดนะสิ”

“งั้นเหรอ..”

เพล้ง!!!

“แหมๆ คิดจะตัดกำลังกันรึไง สงครามยังไม่เริ่มสักหน่อย ทำไมถึงต้องรีบร้อยขนาดนั้นด้วยละ”

    ฟาวพูดขึ้นในขณะที่จับใบดาบของชายหนุ่มเอาไว้ด้วยมือเปล่า

“ก็เพราะสงครามยังไม่เริ่ม ฉันถึงได้รีบยังไงละ”

     ชายหนุ่มทิ้งดาบเล่มนั้นและก็ชักดาบสั้นออกมาโดยมีเป้าหมายฟันไปที่คอของฟาว

เคร้ง!!!

     ดาบนั้นเด้งสะท้อนกลับมาก่อนที่จะถึงคอของฟาว ในจังหวะนั้นเพียงไม่ถึงเสี่ยววิฟาวได้โจมตีสวนกลับไป ทำให้ร่างของชายหนุ่มกระเด็นไปไกล

“ตายจริง หนีกลับเข้าหลุมไปแล้วเหรอ นึกว่าจะได้ปะมือกับเขามากกว่านี้สักหน่อย ช่างน่าเสียดายจริงๆ”

    ฟาวที่สัมผัสได้ถึงตัวตนของชายหนุ่มที่หายไปบ่นขึ้นมาก่อนที่จะยกสาเกขึ้นมาดื่มจนหมด

“มิมิแขกไปแล้ว มาเก็บสาเกแก้วนี้ไปทีสิ”

“ค่ะ นายหญิง”

    สาวหูแมวตอบแบบเรียบๆ ก่อนที่จะเดินเข้ามาเก็บแก้วสาเกที่ชายหนุ่มทิ้งเอาไว้

“อยากจะรู้จริงๆ ว่าจากนี้ไปเธอจะเบ่งบานกลายเป็นดอกไม้ที่งดงามแบบไหนกันนะ มีเรีย”

   ฟาวเงยหน้ามองพระจันทร์อีกครั้ง ก่อนจะยกสาเกอุ่นๆี่ ที่มิมิรินให้ใหม่ขึ้นมาดื่มท่ามกลางหิมะที่กำลังถูกพัดตามแรงลมของฤดูหนาวในค่ำคืนอันเงียบสงบ

ผมคือนักบุญหญิงที่เป่ายิ้งฉุบมาเกิดใหม่ครับ

ผมคือนักบุญหญิงที่เป่ายิ้งฉุบมาเกิดใหม่ครับ

Status: Ongoing
อ่านผมคือนักบุญหญิงที่เป่ายิ้งฉุบมาเกิดใหม่ครับชาย2คนที่เป่ายิ้งฉุบแย่งตัวละนักบุญหญิงเพราะอยากเล่นตัวละครผู้หญิงกัน แต่เมื่อเขาสามารถเอาชนะเพื่อนของตัวเองได้ ก็พบว่าตัวเองได้มาอยู่ต่างโลกในฐานะของนักบุญจริงๆ เสียแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset