ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 1075 มีอุดมการณ์อะไร

ไม่เหมือนกับรูปร่างของมิเชล กอร์ดอนที่สูงหนึ่งเมตรเจ็ดเซนติเมตรแล้วกลับตัวกำยำไม่ต่างจากหมี
เขากำลังวิ่งอย่างลิงโลด โดยร่างกายท่อนบนชื้นเหงื่อ จนเขาต้องถอดเสื้อนอกออกพร้อมดึงคอเสื้อยืดเพื่อระบายความร้อน เผยให้เห็นขนจางๆ ที่เริ่มขึ้นบนหน้าอกหนา
เมื่อเห็นดังนั้นฮิวจ์คนน้องก็แทบจะร้องไห้ พระเจ้า เจ้าเด็กนี่ยังแค่ชั้นประถมปีห้าเองนะ ทำไมถึงมีขนขึ้นแล้วล่ะ?
กอร์ดอนยืนอย่างไม่ยี่หระตรงหน้าฮิวจ์ มองอีกฝ่ายที่เปลี่ยนสีหน้าไปมาไม่หยุด เขาถามด้วยความระแวง “เฮ้ มีธุระอะไรกับผมเนี่ย? เห็นท่าทางดูโรคจิตของคุณแล้ว คงไม่ใช่ว่าสนใจหนุ่มละอ่อนแบบผมหรอกนะ?”
ฮิวจ์สำลักกับประโยคดังกล่าว แล้วมองค้อนอย่างทนไม่ไหว “พูดบ้าอะไรน่ะ อย่างลุงฮิวจ์จะเป็นคนแบบนั้นหรือไง?”
กอร์ดอนพยักหน้าจริงจัง ตอบว่า “คนในเมืองก็พูดเหมือนกันหมดว่าคุณชอบผู้ชาย ไม่งั้นทำไมคุณอายุปูนนี้แล้วถึงยังไม่แต่งงานล่ะ? เนี่ย ขนาดฉินยังมีลูกแล้วเลย”
ฮิวจ์กำหมัดแน่น เอ่ยเสียงเหี้ยมเกรียม “ไอ้คนในเมืองที่พูดนี่มันใครกัน? ฉันจะไปอัดมัน!”
“อีวิลสันเป็นคนพูด” กอร์ดอนบอกชื่อ
ฮิวจ์คอตกเงียบๆ เขารู้ตัวว่าตัวเองโดนกอร์ดอนปั่นหัวเข้าแล้ว เหนือฟ้ายังมีฟ้า คนรุ่นหนึ่งย่อมวุ่นวายกว่าคนอีกรุ่น
เขาถอนหายใจด้วยความจนใจ “ปีนั้นที่พี่กับฉันได้หลงผิดไปในเส้นทางที่ไม่ควร และโดนด่าว่าเป็นอันธพาลมาตลอด แต่พอเทียบกับนายแล้ว ฉันถึงรู้ว่าตัวฉันในตอนนั้นยังดูใสซื่อเกินไปด้วยซ้ำ นายมันเด็กเหลือขอหน้าไม่อายชัดๆ!”
กอร์ดอนโมโหกับคำนั้น ถลึงตาตอบ “ผมเป็นนักเรียนดีเด่นต่างหาก ขอโทษเสีย! ไม่งั้นผมจะไปหาครูเชอริล บอกว่าคุณลากผมไปห้องน้ำชายแล้วจะให้ผมหนึ่งร้อยดอลลาร์ถ้าผมเลีย DD น้อยของคุณ!”
การพรากผู้เยาว์ในแคนาดาถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรงยิ่งกว่าการใช้ความรุนแรงกับผู้เยาว์เสียอีก พอกอร์ดอนพูดแบบนั้นออกมา ฮิวจ์ก็ไม่มีทางเลือกยกมือยอมแพ้ คุกเข่า!
“ก็ได้ ฉันขอโทษ ฉันพูดไม่ดีเอง…”
“เอาหนึ่งร้อยดอลลาร์ให้ผมด้วย ฮ่าๆ”
ฮิวจ์พลันหน้าตึง “นายคิดจะแบล็คเมล์ฉันใช่ไหม? ฉันคงต้องไปบอกวินนี่แล้ว!”
“งั้นคุณไม่ต้องขอโทษผมแล้วก็ได้ ถือว่าเราเสมอกันโอเคไหม?” กอร์ดอนรีบยอมแพ้
ฮิวจ์ทำเป็นครุ่นคิดก่อนส่ายหน้า “กอร์ดอน ตอนนี้นายมันเป็นเด็กเวรดีๆ นี่เอง ดูจากที่นายใส่ร้าย พูดจาไร้สาระ แบล็คเมล์ นิสัยเสียขนาดนี้ ฉันจำเป็นต้องไปบอกวินนี่ถึงสิ่งที่นายเป็นตอนนี้แล้ว!”
ในที่สุดกอร์ดอนก็เริ่มกลัว “อย่านะ พี่ฮิวจ์ ทำไมคุณต้องจริงจังขนาดนั้นด้วย? ผมแค่ล้อเล่นกันเห็นๆ คุณมองไม่ออกเหรอว่ามันเป็นมุกน่ะ?”
ฮิวจ์ยิ้มเย็น “ล้อเล่น? เด็กประถมที่ไหนจะล้อเล่นแบบนายได้กัน? จะไม่ให้ฉันไปฟ้องวินนี่ก็ได้ แต่นายต้องตอบฉันมาเรื่องหนึ่ง”
“ลองว่ามาสิ” กอร์ดอนพึมพำพลางกรอกตากลมเจ้าเล่ห์ ไม่ยอมตกหลุมพราง
ฮิวจ์รู้ว่าเด็กคนนี้หลอกไม่ได้ง่ายๆ จึงพูดไปตามตรง “เดี๋ยวพวกเราจะมีการแข่งบาสของปีสี่ถึงปีหกกัน ตอนนี้ทีมกำลังขาดคน ฉันอยากให้นายเข้าร่วมด้วย!”
ใช่ นี่คือเป้าหมายของเขาเพื่อที่เขาจะได้แสดงศักยภาพตัวเอง เขาพบว่ากอร์ดอนเองก็มีพรสวรรค์ทางด้านกีฬาไม่ต่างจากมิเชล ถ้าได้ฝึกฝนสักหน่อย ไม่แน่อาจได้เป็นดาวดังคนหนึ่งในเอ็นบีเอก็ได้
หากฝึกกอร์ดอนสำเร็จ ฮิวจ์ก็คงรู้สึกว่าตัวเองได้มีเรื่องให้คุยโวไปถึงชาติหน้าแล้ว
แต่หลังได้ฟังเขา กอร์ดอนกลับส่ายหน้าทันที “ไม่ๆๆ ผมไม่ไป ผมไม่ยอมเสียหน้าหรอก! ดูนักกีฬาแต่ละคนสิ แซมไม้เสียบผี หมูตอนเกรย์ ไอ้ขี้ขลาดโจ ฮูเอล นอกจากมิเชลก็มีแต่พวกโง่ ใครจะไปเล่นกับพวกนั้นได้กัน?”
ฮิวจ์โมโห “ดูตัวเองเข้า กอร์ดอน นายพูดอะไรออกมา? นายเรียกเพื่อนร่วมชั้นตัวเองแบบนี้ได้อย่างไร?”
กอร์ดอนถามกลับอย่างไม่ยอม “งั้นผมถามคุณหน่อย มิเชลตอนนี้มีฉายาว่าอะไร?”
“แบนชี!”
“ดูตัวเองเข้า ฮิวจ์ คุณพูดอะไรออกมา? คุณเรียกนักบาสทีมตัวเองแบบนั้นได้อย่างไร?” กอร์ดอนโต้กลับทันที
ฮิวจ์โกรธฮึดฮัด “เจ้าบ้า ก็ฉายามิเชลคือแบนชีนี่นา”
กอร์ดอนยักไหล่เห็นใจ “ฉายาของแซมก็คือไม้เสียบผี เกรย์คือหมูตอน ส่วนโจ ฮูเอลก็ไอ้ขี้ขลาด ผมไม่ได้เป็นคนตั้งเอง ตอนผมมาถึงโรงเรียน พวกเขาก็เรียกกันอย่างนี้แล้ว”
ฮิวจ์จ้องกอร์ดอน พูดอะไรไม่ออก รู้สึกว่าที่เด็กนี่พูดมาก็มีเหตุผล
เมื่อเห็นว่าเล่นสกปรกไม่ได้ ฮิวจ์จึงเปลี่ยนกลยุทธ์ “เจ้าหนู นายมีความฝันไหม? ตอบมาตามตรงนะ”
“การที่อยากให้คุณรีบๆ ปล่อยผมไปเสียทีนี่นับไหม” กอร์ดอนถามอย่างจริงใจ
ฮิวจ์พยายามห้ามใจไว้ไม่ให้อัดคน กล่าวว่า “ฉันบอกว่าความฝัน ความฝันไงเล่า! ไม่ใช่ความปรารถนาของนาย นายรู้จักความฝันไหมเนี่ย? ชายที่ไร้ความฝัน…”
“ก็ไม่ต่างอะไรจากปลาเค็ม?” เสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง พร้อมไวส์ที่วิ่งเข้ามาหา
พอวิ่งมาหยุดตรงหน้าฮิวจ์ ไวส์ก็พูดแบบฮีโร่ว่า “กอร์ดอนเกิดอะไรขึ้น? เจ้าหมอนี่มันรังแกนายใช่ไหม? บอกมา ถ้าบังอาจมารังแกคนที่อ่อนแอกว่า ฉันจะใช้นิ้วพิฆาตจิ้มให้ตายเลย!”
กอร์ดอนตอบอย่างไม่พอใจนัก “รังแกคนที่อ่อนแอกว่าอะไรกัน? ฉันไปรังแกเขาตอนไหน?”
ฮิวจ์ “…”
พอเห็นเด็กวัยรุ่นสองคนเตรียมจะประชันฝีปากกัน ฮิวจ์เลยรีบเปลี่ยนหัวข้อคุย “ไวส์ นายมีความฝันไหม?”
ไวส์พยักหน้าจริงจังตอบ “แน่นอนครับ ถ้าไม่มีฝันก็ไม่ต่างอะไรกับปลาเค็มนี่นา? ผมมีครับ ผมฝันว่าสักวันหนึ่งจะได้ท่องไปทั่วยุทธภพพร้อมนกอินทรีเกาะไหล่ ถือฉินและดาบ ตอนนั้นผมจะนั่งร้องเพลงดีดกู่ฉิน ร่ำสุราด้วยกระดองตะพาบ เคร่งศึกษา ฝึกปรือดาบจนเลื่องลือไปเลย!”
ฮิวจ์ฟังไปกะพริบตาปริบๆ เหมือนไอ้งั่งไป จากนั้นจึงถามกอร์ดอน “เขาพูดเรื่องอะไรอยู่น่ะ?”
กอร์ดอน “ไม่ต้องสนใจหรอก เขามันบ้า!”
ไวส์ยิ้มเย็นตอบ “คนบ้ามักมีความฝันไง แล้วนายล่ะ?”
กอร์ดอนเงยหน้าตะโกน “ฉันก็ต้องมีอยู่แล้วสิ”
“ลองว่ามาสิ” ฮิวจ์เชียร์
กอร์ดอนสูดลมหายใจลึกครุ่นคิดถึงสิ่งที่จะพูด แต่สุดท้ายก็กลั้นเอาไว้ เขามองฮิวจ์กับไวส์ด้วยแววตาว่างเปล่า แล้วยกนิ้วชี้ไปยังคนตรงหน้าอย่างระมัดระวังก่อนเอ่ยว่า “เขาจะไสหัวกลับไปได้หรือยัง? ผมฝันอยากกลับบ้านแล้วเนี่ย!”
ไวส์หัวเราะดูถูก
กอร์ดอนพอโดนเสียงหัวเราะเยาะใส่ก็ตะโกนว่า “แล้วนี่ไม่นับเป็นความฝันหรือไง? ทั้งชีวิตพวกเรามันก็นำไปสู่ทางกลับบ้านกันทั้งนั้นแหละ!”
เสียงหัวเราะไวส์ชะงักไป ที่จริงเขาก็อยากกลับบ้านเหมือนกัน กลับบ้านไปเจอพ่อกับแม่
ฮิวจ์แทบจะถูกเจ้าปีศาจน้อยสองตัวทรมานจนแทบคลั่งแล้ว เขาจึงได้แต่พูดไปตามตรงว่า “กอร์ดอน นายไม่อยากครองโลกเพื่อกอบโกยเงิน แล้วกลายเป็นคนดังระดับสูงที่คนเป็นหมื่นพากันจับตามองเหรอ?”
กอร์ดอนครุ่นคิด “ก็ฟังดูไม่เลวนะ งั้นคุณจะช่วยผมไหม?”
ฮิวจ์ตอบ “แน่นอน แค่นายไปแข่งบาสตามที่ฉันบอก จากนั้นนายย่อมเป็นคนดังในทีมเอ็นบีเอได้แน่ แล้วนายก็จะได้เงินสิบล้านดอลลาร์ภายในหนึ่งปี ทีนี้นายก็มีสาวสวยให้เลือกไม่หวาดไม่ไหวแล้ว!”
“ตอนนั้นผมจะซื้อโดนัทมาสองชิ้นกินชิ้นหนึ่งทิ้งชิ้นหนึ่งได้ไหม?”
“ได้!”
“ซื้อกระเป๋านักเรียนมาสองใบสะพายใบหนึ่งเผาใบหนึ่งได้ไหม?”
“ได้!”
“แล้ว…”
“ได้!”
“…คุณช่วยไสหัวไปได้ไหม?”
“…” สีหน้าฮิวจ์พลันเขียวคล้ำ
กอร์ดอนรีบหัวเราะกลบเกลื่อน “ผมล้อเล่นน่า ก็ได้ สัญญาเลยว่าผมจะเข้าร่วมการแข่งบาสเกตบอลด้วย!”
………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset