ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 1145 ลุ่มหลงเมามายใต้ผืนฟ้า

งานปาร์ตี้ยังไม่ทันเริ่ม ไอซ์ไวน์ของคุณลุงฮิคสันก็เริ่มหมุนวนอยู่ในกลุ่มผู้คนที่เพิ่งเดินทางมาถึงราวกับพายุหมุนแล้ว
เกาะแฟร์เวลมีทะเลล้อมรอบด้าน ฤดูหนาวที่ทั้งชื้นเย็นและหนาวเหน็บ ดังนั้นคนในพื้นที่จึงเริ่มดื่มเหล้าตั้งแต่มีอายุได้สิบกว่าปี กฎหมายข้อที่บอกว่าผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะไม่สามารถดื่มเหล้าได้ ที่เกาะแฟร์เวลกฎหมายข้อนี้ไม่มีประโยชน์อะไร แน่นอนว่าคงไม่มีใครมาสืบสาวหาเรื่องหาเรื่องราวที่นี่อย่างโง่ๆ หรอก
ดังนั้น ผู้คนที่นี่จึงเป็นนักดื่มชั้นดีกันทุกคน หลังจากได้ดื่มไวน์แบบนี้พวกเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงความวิเศษที่อยู่ในนั้น
ฮิวจ์ลิ้มลองไวน์ที่อยู่ในแก้ว แล้วพูดประจบประแจงว่า “ลุงครับ ต่อให้เป็นมาสเตอร์ด้านการมักไวน์ระดับโลก ทั้งชีวิตสามารถหมักไวน์ดีๆ อย่างนี้ได้สักล็อตก็เพียงพอที่จะทำให้รู้สึกภาคภูมิใจได้แล้ว ตั้งแต่วันนี้ไปพวกเราคงต้องพูดว่า บนเกาะแฟร์เวลมีปรมาจารย์ด้านการหมักไวน์อยู่ที่นี่หนึ่งท่าน”
คำพูดของเขาไม่ได้เกินไปจากความเป็นจริงเลย การที่จะหมักไวน์ดีๆ ให้ได้สักล็อตนั้น ยากยิ่งกว่าหมักไวน์ธรรมดาเป็นไหนๆ
ที่ประเทศเยอรมนี คำพูดประโยคหนึ่งที่เกี่ยวกับไวน์แบบนี้ว่าเอาไว้ว่า “ในทุกๆ ปีเจ้าของไร่องุ่นทุกคนต่างก็หวังว่าน้ำค้างแข็งจะมาถึงสวนผลไม้ในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงราวกับคนที่ปรารถนาถึงความรัก และคนที่ได้ลิ้มรสไอซ์ไวน์ที่แท้จริงก็เหมือนกับคนที่ได้พบกับรักแท้ที่หาได้ยาก”
จากสิ่งนี้ทำให้ทราบได้ว่า ขั้นตอนการผลิตไอซ์ไวน์มีความยากลำเค็ญเพียงใด ในตลาดก็หาดื่มได้ยาก ทั่วทั้งเกาะแฟร์เวล คนที่สามารถหมักไอซ์ไวน์ได้เองมีเพียงคุณลุงฮิคสันคนเดียวเท่านั้น เขามีเทคนิคของตัวเองโดยเฉพาะอีกทั้งยังผ่านการสืบเสาะเรียนรู้มาหลายสิบปีถึงจะสามารถเดินมาถึงตรงนี้ได้
คุณปู่คุณย่าของวินนี่ เออร์บัก แซนเดอร์ส อันเดร์ และบรรดาผู้อาวุโสทั้งหลายกำลังนั่งอยู่ในมุมหนึ่งของห้องรับแขก บนโต๊ะวางวิทยุแบบโบราณเอาไว้หนึ่งเครื่อง ตรงหน้าของพวกเขาทุกๆ คนมีไอซ์ไวน์อยู่หนึ่งขวด พระอาทิตย์ยามอัสดงส่องแสงเข้ามา หยุดอยู่บนตัวพวกเขาจนเกิดสีสันที่คละกันอย่างแปลกประหลาด ราวกับว่าเวลาได้หยุดเดินอยู่ที่ตรงนี้
สำหรับพวกเขาแล้ว ไวน์ดีๆ สักหนึ่งขวดกับเพลงเก่าๆ หนึ่งเพลงที่มีความหมายสำหรับพวกเขา รวมกับแสงอาทิตย์อุ่นๆ นั่นก็คือยามพลบค่ำที่งดงามสมบูรณ์แบบ
เมื่อเห็นว่าทุกๆ คนกำลังคุยกันเรื่องไวน์อยู่ ฉินสือโอวที่กำลังถือใบประกาศนียบัตรการบันทึกสถิติโลกเอาไว้ก็พูดอะไรไม่ออกอยู่ชั่วขณะ วินนี่จึงบอกเขาว่า “ไปประกาศข่าวให้พวกเขารู้สิคะ”
ฉินสือโอวยิ้มเจื่อนๆ “ตอนนี้ใครจะยังสนใจเรื่องนี้กันล่ะครับ?”
“แต่นี่เป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญของพวกเราไม่ใช่เหรอคะ?” วินนี่ปลุกใจเขาด้วยใบหน้าที่กำลังยิ้มกริ่ม “นี่เป็นครั้งแรกที่เมืองนี้ได้รับการบันทึกสถิติโลกเลยนะคะ”
ฉินสือโอวบีบมือเล็กๆ ของวินนี่เอาไว้ เขากระโดดขึ้นมาบนถังเบียร์ กำไมโครโฟนเอาไว้แล้วพูดด้วยเสียงอันดังว่า “ทุกคนครับ เหล่าสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี รบกวนฟื้นคืนสติจากไวน์ดีๆ สักครู่หนึ่งนะครับ ฟังผมทางนี้สักครู่หนึ่งโอเคไหม?”
“อันดับแรก ขอต้อนรับทุกๆ ท่านเข้าสู่งานปาร์ตี้ของผมนะครับ ต่อไปนี้ผมจะแจ้งเรื่องหนึ่งให้ทุกท่านได้ทราบ ถึงจุดประสงค์ที่สำคัญของงานปาร์ตี้ในครั้งนี้”
“อย่างแรกก็เพื่อต้อนรับครอบครัวของวินนี่ แน่นอนว่าทุกๆ ท่านคงจะรู้อยู่แล้ว พวกเขาก็เป็นคนในครอบครัวของผมเหมือนกัน มาริโอ้ มิแรนดา อาร์ม็องและฟอกส์! “
ทุกคนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เสียงเชียร์ถูกส่งออกมาจากด้านล่าง “ยินดีต้อนรับสู่เกาะแฟร์เวล! ยินดีต้อนรับสู่เกาะแห่งความสุขในแดนใต้!”
ฉินสือโอวยกใบประกาศนียบัตรบันทึกสถิติโลกที่อยู่ในมือขึ้นมา “เรื่องที่สอง เป็นเรื่องที่เพื่อนๆ บางส่วนก็พอจะทราบแล้ว…”
“สถิติโลก! บันทึกสถิติโลกกินเนสส์!” ฮิวจ์คนน้องตะโกนนำคนอื่นๆ วัยรุ่นกลุ่มหนึ่งก็พากันลากเสียงร้องวู้วๆ จากในลำคอตามเขาเช่นกัน ทั้งยังมีคนดึงพลุกระดาษที่เตรียมเอาไว้ขึ้นมาอีกด้วย ริบบิ้นหลากสีสันกองใหญ่ที่อยู่ท่ามกลางท้องฟ้าปลิวลงมาสู่ด้านล่าง
“ยังมีเรื่องอื่นอีกไหม?” มีคนถามขึ้นมา
ฉินสือโอวพูดอย่างยิ้มๆ ว่า “ต้องมีอยู่แล้ว อย่างเช่นเรื่องที่ฟาร์มปลาของพวกเรารอดพ้นภัยพิบัติครั้งใหญ่จากแมงกะพรุนแล้ว หรือจะเป็นเรื่องที่คุณลุงฮิคสันได้หมักไอซ์ไวน์ที่ดีที่สุดในโลกออกมา ถึงอย่างไรก็มีเหตุผลเพียงพอให้พวกเราได้ร่วมกันเฉลิมฉลองอยู่แล้ว คืนนี้ให้ทุกๆ คนดื่มอย่างเต็มที่ไม่เมาไม่กลับ”
“ไม่เมาไม่กลับ ที่รัก!” ทุกๆ คนร่วมกันส่งเสียงร้องตะโกนออกมา
กอร์ดอนลากไวส์มุดเข้ามาในกลุ่มฝูงชนอย่างแอบๆ ซ่อนๆ เนื่องจากปัจจัยด้านร่างกาย ไวส์จึงไม่ชอบงานแบบนี้ เขาใช้นิ้วมืออุดหูเอาไว้ แล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “กอร์ดอน นายทำอะไรน่ะ พาฉันมาทำไม?”
กอร์ดอนทำเสียงชู่ๆ พูดอย่างเบาๆ ว่า “ฉันได้ยินว่าที่นี่มีไวน์ดีๆ เลยตั้งใจพานายมาลองชิม นายเคยดื่มเหล้าไหม?”
“นายพูดดังๆ หน่อยสิ ฉันไม่ได้ยินว่านายพูดว่าอะไร!”
“ถ้าอย่างนั้นนายก็ดึงนิ้วที่อุดหูอยู่ออกมาสิ แบบที่นายทำอยู่ตอนนี้ ฉันคงต้องเอาแตรเรือมาบีบข้างๆ หูนายเท่านั้นแหละถึงจะทำให้นายได้ยิน!”
“เอาล่ะ นายพูดมาสิ”
“นายเคยดื่มเหล้ามาก่อนไหม?”
ไวส์ส่ายหัว “ไม่ กอร์ดอน ฉันยังไม่บรรลุนิติภาวะ แม่ฉันบอกว่าก่อนอายุสิบแปดฉันจะยังดื่มเหล้าไม่ได้” พอพูดจบเขาก็เริ่มระแวงขึ้นมา “นายจะมาขโมยเหล้าเหรอ? โอ้ ให้ตาย ไม่ได้เด็ดขาด ฉันจะฟ้องฉิน!”
กอร์ดอนยิ้มเยาะเขาทันที “ไปสิ ฟ้องกับผีน่ะสิ เชิญนายเชื่อแม่ของนายไปเถอะ ฉันขอถามนายหน่อยว่าในยุทธภพมีจอมยุทธ์คนไหนบ้างที่ไม่ดื่มเหล้า? ถ้านายไม่ดื่มเหล้า แล้วอย่างนั้นจะกลายเป็นจอมยุทธ์ท่องยุทธภพได้อย่างไร?”
คำพูดนี้บีบโดนจุดอ่อนของไวส์พอดี ใช่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นในนิยายหรือในหนังในทีวี เหล่าจอมยุทธ์ก็มีแต่คนที่ดื่มเหล้าเก่งๆ กันทั้งนั้น
กอร์ดอนเห็นเขาเริ่มลังเล จึงปักหลักสู้อย่างไม่ย่อท้อ “ไวส์ นายก็เห็นนี่ พวกเจสกับคราเคนน้อยก็ดื่มเหล้ากันทั้งนั้น พวกนั้นก็ไม่ได้โตกว่าเราสักเท่าไรไม่ใช่เหรอ? เหล้าสามารถต้านทานความหนาวได้นะ พวกเราไม่ได้จะดื่มจนหัวราน้ำ แต่ดื่มเพื่อรักษาสุขภาพ ใช่ไหมล่ะ?”
ในที่สุดไวส์ก็ถูกเขาเกลี้ยกล่อมได้สำเร็จ “นายพูดถูก”
กอร์ดอนดีใจจนหน้าบานเป็นกระด้ง แอบหยิบไอซ์ไวน์มาครึ่งขวดกับแก้วอีกสองใบ เอาเข้ามารินให้เขาจนเต็มแก้ว “มา ท่านจอมยุทธ์ ดื่มให้หมดแก้ว!”
พอรับมาไว้ในมือไวส์ก็แหงนหน้าขึ้นข้างบนทันที ไอซ์ไวน์เต็มๆ แก้ว ‘เอื้อกๆ’ แค่แป๊บเดียวก็เกลี้ยงหมดทั้งแก้วแล้ว!
วางแก้วที่ไม่เหลือไวน์สักหยดลง ไวส์บ่นพึมๆ พำๆ ขณะที่กำลังสะอึกไวน์ว่า “ไวน์ดีที่ไหนกัน ขมสุดๆ ไปเลย ไม่อร่อยเลยสักนิด เกลือแร่เกเตอเรดยังอร่อยกว่าอีก”
กอร์ดอนตะลึงตาค้าง ไวน์ในแก้วยังไม่ถูกแตะเลยแม้แต่นิดเดียว เขามองดูแก้วไวน์เกลี้ยงๆ สะอาดๆ ที่ถูกวางไว้บนพื้นใบนั้นอย่างเซ่อๆ แล้วพูดด้วยความรู้สึกอยากลำบากว่า “นายดื่มไวน์ทั้งแก้ว จนหมดเลยเหรอ?”
ไวส์ตอบกลับไปด้วยความรู้สึกว่ามันก็ถูกต้องแล้ว “ก็นายบอกว่าหมดแก้วไม่ใช่เหรอ? เฮ้ย ให้ตายเถอะ ทำไมนายยังดื่มไม่หมดล่ะ? เร็ว ดื่มมันให้หมดทีเดียวเลยนะ!”
กอร์ดอนมองดูไวน์ที่ถูกเทไว้เต็มจนเต็มแก้วอย่างสิ้นหวัง พร้อมกับร้องขึ้นมาว่า “เจ้าโง่ ฉันพูดว่าหมดแก้ว หมายถึงให้ดื่มหนึ่งอึก นายดื่มมันจนหมดได้อย่างไร นายอยากตายเหรอ?”
ใบหน้าเล็กๆ ของไวส์กลายเป็นสีแดงเพราะฤทธิ์เหล้า ดวงตาก็เขายื่นแล้วชี้ไปที่กอร์ดอน “รีบดื่มมันซะ ไม่อย่างนั้นฉันจะใช้วิชาดัชนีจิ้มนายให้ตาย นาย อึก จิ้ม จิ้ม อึก กอร์ดอน ฉัน ฉัน นายฝึกแยกร่าง วิชา- แยกร่างเหรอ? ฉันเห็น ฉันเห็นนายหลายคนมาก…”
กอร์ดอนรีบวิ่งไปหาฉินสือโอวอย่างรวดเร็ว พูดกับเขาอย่างลนลานว่า “แย่แล้ว ฉิน คุณไปดูหน่อย ไวส์ดื่มไวน์เข้าไปเยอะมากๆ”
“ใครให้เขาดื่มไวน์?” ฉินสือโอวขมวดคิ้ว ตวาดถามเขาเสียงดังลั่น
กอร์ดอนพูดกับเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย “ผมแค่อยากพาเขาชิมว่าสาวงามในหมู่ไอซ์ไวน์ของพวกคุณว่าจะมีรสชาติอย่างไร นอกจากถูกเชอร์ลี่ย์ดึงหู ผมยังไม่เคยได้สัมผัสกับสาวงามที่ไหนมาก่อนเลยนะ ดังนั้นผมก็เลยอยากลองดูหน่อย ใครจะรู้ว่าเขาจะดื่มมันเข้าไปทั้งแก้ว! พระเจ้า เขาดื่มไปทั้งแก้วเลย!”
ฉินสือโอวรีบไปหาไวส์ เขากลัวว่าจะเกิดปัญหาขึ้นกับร่างกายของเขา แต่ปรากฏว่าเด็กน้อยยังแข็งแรงอยู่มาก กำลังดึงมือเด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่งมากวัดแกว่ง! “ดูสิ ดูหมัดเมาของผม ผม สำนักของพวกเรา หมัดเมา หมัดเมา เป็น เป็นอย่างไรบ้าง”
…………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset