ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 1163 ฟาร์มปลาสไตล์ไร่นา

เมื่อถึงวันวิคตอเรีย ก็เป็นช่วงที่ต้องเอาฟิล์มเรือนกระจกออกพอดี
พ่อของฉินสือโอวทนว่างไม่ไหว จึงเข้าไปช่วยดึงเอาฟิล์มพลาสติกหนาออกมา ฟิล์มพลาสติกนี้ใช้มาสองปีแล้ว ฉินสือโอวตรวจดูแล้วไม่มีรอยรั่วอะไรเลย จึงทอดถอนใจแล้วพูดว่า “เป็นของดีจริงๆ ของเล่นนี้ใช้มาสองปีแล้วไม่มีปัญหาอะไรเลย ไม่น่าถึงได้ขายแพง”
พอฟังประโยคนี้ พ่อฉินก็ถามขึ้นมาด้วยความสนใจว่า “พลาสติกนี้ใช้มาสองปีแล้วเหรอ?” เขาดึงขอบฟิล์มลองเทสความเหนียวของมัน แล้วแสดงสีหน้าตกใจออกมา “นี่ใช้วัสดุอะไรทำออกมา? ใช้มาสองปีแล้วยังไม่เก่าเลย”
ฉินสือโอวอธิบายว่า “ฟิล์มนี้เรียกว่าฟิล์มอายุยืนอเนกประสงค์ เป็นฟิล์มที่พวกชาวนาที่แคนาดาใช้ ดีที่สุดในบรรดาฟิล์มอื่นๆ ตอนนี้เลยก็ว่าได้ ระยะเวลาการใช้งานก็ใช้ได้นาน ตอนนั้นพนักงานที่ขายฟิล์มนี้ให้ผมยังพูดเลยว่าใช้ได้ 4-5 ปีก็ไม่มีปัญหา”
พ่อของฉินสือโอวกล่าว “ฟิล์มดีขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นฉันเอากลับไปส่วนหนึ่งไปใช้กับที่นาที่บ้านดีไหม?”
ฉินสือโอวพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “พ่อกลับไปยังจะปลูกผักอะไรอีก? ปลูกผักลำบากขนาดนั้น พอถึงฤดูหนาวพ่อกับแม่ช่วยพักให้มันสบายๆ หน่อยได้ไหมครับ”
พ่อของฉินสือโอวหัวเราะ “พวกฉันก็แค่ปลูกผักนิดหน่อยไว้กินเอง แกอยู่นี่ก็ไม่ได้ปลูกเหมือนกันเหรอ?”
ฉินสือโอวกลับไม่อยากให้พ่อและแม่ปลูกผักต่ออีก พวกเขาบอกว่าปลูกเล็กน้อย แต่พอปลูกไปปลูกมาก็เยอะขึ้นมา เขาไม่อยู่ก็จะควบคุมอะไรไม่ได้เลย
ทำให้ความคิดของพ่อแม่ฝันสลายนั้นง่ายมาก ฉินสือโอวชี้ไปที่เรือนกระจกสองหลังแล้วพูดว่า “ฟิล์มนี้แพงมาก แค่ใช้คลุมเรือนกระจกสองหลังนี้ ผมจ่ายเงินไปทั้งหมดแสนห้า”
พ่อฉินบอกว่า “แสนห้าไม่แพงนี่ แกคิดว่าแบบที่ใช้ที่บ้านถูกเหรอไง?”
“ดอลลาร์แคนาดา” ฉินสือโอวพูดนิ่งๆ
พ่อและแม่ฉินสือโอวคิดอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างดอลลาร์แคนาดากับเงินหยวนเรียบร้อยไว้นานแล้ว พวกเขาคิดในใจอย่างรวดเร็ว เรือนกระจกสองหลังนี้เท่ากับใช้เงินเจ็ดแสนห้าหมื่นหยวน ทันใดนั้นพวกเขาก็ตะลึง “เจ็ดแสนกว่าหยวน กินผักที่กินมาตลอดทั้งชีวิตก็พอแล้วมั้ง?”
วินนี่กล่าวว่า “ไม่เหมือนกันค่ะ ผักที่พวกเราปลูกเองไม่เพียงแต่สะอาดวางใจได้ แต่ยังอร่อยมากด้วย”
เมื่อฟิล์มพลาสติกถูกดึงให้เปิดออก ไอความร้อนก็แผ่กระจาย ผักที่อยู่ด้านในก็นุ่มไม่ว่าจะเป็นผลหรือใบ เช่น พริก มะเขือเทศ ใบของมันเขียวสดจนเหมือนจะมีน้ำหยดออกมา
วินนี่ดึงไชเท้าสดขึ้นมาหัวหนึ่ง แล้วล้างตรงก๊อกน้ำ หลังจากนั้นก็แบ่งออกเป็นสองท่อนให้พ่อและแม่ฉินสือโอว พอฉงต้าเห็นไชเท้าก็รีบวิ่งมา มองไปที่วินนี่ด้วยสีหน้าขอร้อง
ช่วยไม่ได้ วินนี่บีบไปที่หน้าอ้วนๆ ของมัน แล้วจึงดึงออกมาอีกหัว ล้างดินออกให้สะอาดแล้วยื่นให้มัน
แต่ฉงต้าไม่ได้กินเอง คาบไชเท้าไปหาต้าป๋าย มันโยนลงไปที่พื้น แล้วก็ทุบหนึ่งทีด้วยเท้าจนละเอียด แล้วเลื่อนไปไว้ตรงหน้าต้าป๋ายเพื่อให้มันกิน
ต้าป๋ายใช้หัวคลอเคลียไปที่อุ้งเท้าอ้วนๆ ของฉงต้า หลังจากนั้นก็ค่อยๆ กินอย่างช้าๆ
จริงๆ แล้วถึงแม้ว่าหมีสีน้ำตาลจะเป็นสัตว์ที่กินอะไรก็ได้ แต่ก็ยังเน้นกินเนื้อเป็นหลัก โดยเฉพาะปลาตัวอวบอ้วนจะชอบมาก แต่ที่ฉินสือโอวเลี้ยงฉงต้าตอนนั้น เขากังวลว่าถ้ากินเนื้อเยอะไปจะทำให้มันมีนิสัยกระหายเลือด จึงปลูกฝังให้มันกินผลไม้และผักด้วย
ปรากฏว่าเลี้ยงจนถึงตอนนี้ ฉงต้ากลายเป็นหมีสีน้ำตาลที่แปลกแยกออกมา เน้นกินผักและผลไม้ ส่วนเนื้อเป็นอาหารรองไป แต่มันก็ใช่ย่อย กินพวกผักผลไม้จนอ้วนพียิ่งกว่าพวกที่กินเนื้อเสียอีก…
ไชเท้าสีเขียวสดกรอบมาก มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของผลไม้ โดยปกติความเผ็ดของไชเท้าจะมีไม่มาก ถึงแม้ว่าพ่อและแม่ของฉินสือโอวจะไม่ได้กินเป็นครั้งแรก แต่ก็ยังเคี้ยวอย่างเพลิดเพลิน
ผักในไร่ปลูกอย่างเป็นระเบียบ มะเขือ ถั่วฝักยาว กะหล่ำปลี ผัดกาดขาว กะหล่ำปลีป่า แครอท ไชเท้า ไชเท้าสีเขียว มะเขือเทศ พริกหวาน พริก ผักกาดหอม ผักชี ถั่วชิกพี เป็นต้น หลายชนิดหลากหลายครบครัน
พอเห็นผักพวกนี้ปรากฏออกมาสู่สายตา พวกครอบครัวกระรอกดินน้อยก็วิ่งออกมากันหมด
กระรอกดินน้อยเป็นคำเรียกพันธุ์ของกระรอกชนิดนี้ เพราะจริงๆ แล้วตอนนี้พวกมันทั้งครอบครัวไม่ใช่กระรอกตัวเล็กแล้ว พวกมันต่างก็เติบใหญ่ แต่ละตัวมีขนาดประมาณ 20 กว่าเซนติเมตรได้ อาจจะเป็นเพราะกินอาหารในฟาร์มปลาที่มีพลังโพไซดอนประกอบอยู่ แต่ละตัวจึงอวบอ้วน ขนมันเป็นเงา
ไม่รู้ว่ามุดออกมาจากรูไหน ครอบครัวกระรอกดินต่างเรียงแถวเงยหน้ามองฉินสือโอว ไม่ได้กลัวคนเยอะด้วย วิ่งไปอยู่หน้าไชเท้าเขียว อุ้งเท้าของมันขยับไปมาอย่างรวดเร็ว ขุดรอบๆ จนเป็นหลุมหลุมหนึ่งในพริบตาแล้วดึงเอาไชเท้าสีเขียวขึ้นมา
อาร์ม็องอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ขโมยนี่ใจกล้ามากเกินไปแล้วมั้ง?”
หลังจากดึงหัวไชเท้าเขียวออกมา พวกกระรอกดินกลับไม่ได้กิน แต่ยื่นส่งให้วินนี่
วินนี่ยิ้มแล้วนั่งยองๆ ลงไปรับเอาไชเท้าเขียวหัวนี้ พวกกระรอกดินต่างส่งเสียงร้องจิ๊ดๆ มีความสุขกันใหญ่ ต่อมาพวกมันก็ไปขุดมาอีกหัว พอดึงออกมาก็ใช้กรงเล็บของมันปัดๆ เศษดินออกให้สะอาด ยิ้มเห็นฟันแล้วกัดกินไชเท้าเข้าไป
“ว้าว!” มาริโอ้ มิแรนดาและคนอื่นๆ ต่างส่งเสียงอุทานด้วยความตกใจ พ่อฉินถึงกลับพูดว่า “โอ้โห เสี่ยวโอว พังพอนพวกนี้ก็มีความรู้สึกเหมือนมนุษย์ ยังรู้จักที่จะให้พวกแกก่อนหนึ่งหัว”
ฉินสือโอวยิ้มแล้วก็อธิบายว่า “พ่อ นี่ไม่ใช่พังพอน แต่เป็นกระรอกดิน”
ทั้งสองต่างกันอย่างเห็นได้ชัด กระรอกดินของอเมริกาเหนือจัดว่าอยู่ตระกูล Sciuridae เป็นญาติห่างๆ กับเสี่ยวหมิงกระรอกแดงทางอเมริกาเหนือ ส่วนพังพอนอยู่ในตระกูลเพียงพอน Mustelidae เป็นญาติห่างๆ กับตัวมิงค์
พอดึงฟิล์มพลาสติกออก ก็ต้องปลูกผักแปลงที่ว่างไว้ให้เต็ม พ่อของฉินสือโอวบอกว่าเวลานี้เหมาะกับการปลูกผักขึ้นฉ่ายพอดี โกดังของฉินสือโอวก็มีเมล็ดพันธุ์ขี้นฉ่าย ซึ่งแบ่งเป็นสองชนิด ชนิดแรกเป็นขึ้นฉ่ายตะวันตก อีกชนิดเป็นขึ้นฉ่ายเมืองจีน
เมื่อคนจีนเดินทางไปทั่วโลก ผักและผลไม้ของเมืองจีนก็มีอยู่ทั่วโลกเช่นกัน
เมื่อเทียบกันแล้ว ขึ้นฉ่ายจีนจะอร่อยกว่าแล้วก็ปลูกง่ายกว่า ของแบบนี้จะโรยเมล็ดปลูกเลย หรือจะย้ายต้นกล้ามาปลูกก็ได้
ตอนที่สภาพอากาศไม่ดี ปลูกโดยย้ายต้นกล้าจะดีกว่า แต่ตอนนี้อากาศค่อนข้างดี จึงโรยเมล็ดพันธุ์โดยตรงได้เลย
พ่อของฉินสือโอวถนัดงานนี้ที่สุด เขาปลูกผักมา 20 กว่าปีแล้ว แช่เมล็ดในน้ำอุ่นประมาณครึ่งวัน หลังจากนั้นโกยออกมาห่อด้วยผ้าก๊อซ เอาแช่ช่องแข็งในตู้เย็น แล้วพูดว่า “รอสักสองสามวัน รอให้เมล็ดมีต้นกล้าขาวๆ งอกออกมาค่อยย้ายไปปลูกในดิน”
วินนี่พูดอย่างเสียดาย “ยังต้องรออีกตั้งหลายวันเหรอเนี่ย?”
พ่อของฉินสือโอวหัวเราะแล้วพูดว่า “จริงๆ ประมาณสองวันก็พอแล้ว สภาพแวดล้อมในตู้เย็นจะดีกว่า เมื่อก่อนถ้าอยู่ที่บ้าน พวกเราจะไว้ในบ่อน้ำที่ลานหน้าบ้าน เพราะในนั้นจะอบอุ่นเมื่อฤดูหนาวและจะเย็นในช่วงฤดูร้อน”
ฉินสือโอวส่งสัญญาณให้ชาร์คและคนอื่นๆ ดึงโครงไม้ไผ่ออก เมื่อสองปีก่อนตอนที่สร้างไม้ไผ่ทรงกลมนี้เพื่อค้ำยันเรือนกระจกไว้ บิลบอกว่าโครงนี้สามารถใช้ยันได้ 10 กว่าปีซึ่งคำพูดนี้ไม่ได้เกินจริงเลยสักนิด ไม้ไผ่ที่ใช้มาสองปี ความยืดหยุ่นยังคงดีมาก ไม่มีแท่งไหนที่ต้องเปลี่ยนเลย
ซีมอนสเตอร์เข้าไปในเมืองเพื่อไปยืมเครื่องไถนาหนึ่งเครื่อง เขาขับไปที่ฟาร์มปลาแกธเธอริง ตามคำสั่งของฉินสือโอว เขาเลือกที่นาว่างเปล่าที่อยู่ด้านซ้ายของทางเข้า เครื่องไถนาทำงานเสียงดังหึ่ม หึ่ม ไถคราดที่นาไปเรียบร้อยหนึ่งผืน
ครอบครัวของมาริโอ้กำลังปลูกผักในแปลงที่ว่างอยู่อย่างมีความสุข ฉินสือโอวเตรียมซื้อเมล็ดและต้นกล้าพวกนั้นไว้ล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นจึงปลูกเมื่อไรก็ได้ แต่พ่อฉินและแม่ฉินกลับรู้สึกว่าสิ่งนี้ไม่มีความท้าทาย จึงให้ฉินสือโอวไปเปิดที่นาผืนหนึ่ง  หลังจากนั้นก็ปลูกข้าวโพดและข้าวสาลีฤดูใบไม้ผลิ!
ฉินสือโอวตะลึงกับความคิดของพ่อและแม่ของเขา ที่นี่เป็นฟาร์มปลานะ มาปลูกข้าวโพดหรือข้าวสาลีอะไรกัน?
พ่อฉินพูดว่า “แกดู ที่นาว่างๆ เหลือตั้งเยอะ ทิ้งไว้เสียเปล่าถูกไหม? ปลูกธัญพืชสักหน่อยมีอะไรไม่ดีล่ะ? ข้าวโพดกับข้าวสาลีน่ะ พอปลูกไปแล้วไม่ต้องไปสนใจอะไร แกปลูกไว้สักสองสามหมู่[1]  ก็เพียงพอให้แกได้กินแล้ว”
วินนี่ปลอบฉินสือโอวว่า “ตอนนี้ไร่นาแบบผสมผสานกำลังนิยมกันอยู่ไม่ใช่เหรอคะ? พวกเราทำแบบนี้ก็นับได้ว่าเป็นฟาร์มปลาสไตล์ไร่นา ก็ไม่เลวนะคะถูกไหม?”
……………………………………….

[1] หมู่ คือ หน่วยวัดจีน 1 หมู่เท่ากับ 667 ตารางเมตร

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset