ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 1172 อินทรีทองโบยบิน

บนขอบหลังคาของวิลล่า อินทรีทองอวบอ้วนตัวหนึ่งกำลังเดินไปมาอย่างวุ่นวาย
อินทรีทองได้ชื่อนี้มาเป็นเพราะว่าปากและปลายขนของมันเป็นสีทอง ตอนโบยบินอยู่ใต้แสงอาทิตย์ ขนของมันจะเป็นมันเงา เข้ากับปลายขนสีทอง มองดูรวมๆ แล้วเหมือนเทพเจ้าแห่งสงครามกลางอากาศในชุดเกราะทองที่ดูน่าเกรงขาม
ในความเป็นจริงแล้วพื้นฐานของขนนกอินทรีทองเป็นสีน้ำตาล โดยรวมก็เป็นสีน้ำตาล สีขนของนกตัวน้อยจะเข้มมากกว่า และไม่สวยเท่านกโตเต็มวัย
แต่แคลร์แตกต่างออกไป แม้ว่าร่างกายของมันจะไม่สง่าเท่าบรรพบุรุษ แต่ขนของมันสวยและดูดีทั้งในแง่ของรูปร่างลักษณะและสีสัน ขนบนลำตัวของมันเหมือนใบของต้นหลิว เพราะว่าวินนี่ช่วยหวีขนให้มันทุกวัน ขนของมันจึงเรียบและเรียงสวยเป็นระเบียบ พอกางปีกออกจะรู้สึกได้ถึงความสวยงามในท่วงทำนองตามปีกของมันที่โยกย้ายสลับกันไปมา
เฉกเช่นเดียวกับอินทรีโตเต็มวัย ส่วนบนของลำตัวเป็นสีน้ำตาลเข้ม ส่วนหลังและไหล่ออกสีม่วงอ่อนๆ พอมีแสงส่องมาก็เปล่งประกายราวกับรัศมีสีม่วง มีความน่าเกรงขาม หางของมันมีสีขาวและมีจุดสีดำขนาดใหญ่ที่ขนหาง ซึ่งจุดนี้แตกต่างจากนกที่โตเต็มวัยแล้ว
นอกจากนี้ขนที่ปีกของมันจะมีสีน้ำตาลดำเข้ม ปีกด้านในมีสีขาว ตอนที่มันกระพือปีกจึงสังเกตเห็นจุดขาวตรงด้านล่างได้
ดูจากรูปลักษณ์ภายนอก แคลร์เป็นอินทรีทองผู้มั่งคั่งรุ่นที่สอง แล้วยังเป็นนกอวบอ้วนที่หล่อรวยในกลุ่มรุ่นที่สองด้วย
โดยเฉพาะเสียงร้องนั้นยิ่งแสดงให้เห็นถึงความทรงพลัง เพียงแค่เห็นมันยืนชะเง้อคอสีดำของมันบนหลังคา สายตาอันน่าเกรงขามทั้งสองดวงมองกวาดไปที่พื้น อ้าปากแหลมคมส่งเสียงร้อง “แคว้กๆๆ!”
ห่านสีขาวตัวหนึ่งรีบมองขึ้นมาบนหลังคาอย่างร้อนรน เสียดายที่มันบินไม่ได้ จึงได้แต่เดินวนอยู่ที่พื้นอย่างกระวนกระวาย ส่งเสียงร้องที่ดังและกังวานกว่าเดิม “แคว้กๆๆๆ…”
พอได้ยินเสียงร้องดังไม่หยุด ฉินสือโอวจึงรีบออกมาแล้วเงยหน้าขึ้นมามอง พออินทรีทองเห็นฉินสือโอวก็ยิ่งส่งเสียงร้องหนักขึ้น
ฉินสือโอวนึกว่ามันบินขึ้นไปเองจึงรีบตะโกนเรียกวินนี่ “มาดูเร็ว มาเร็ว วินนี่ พระเจ้า แคลร์มันเก่งจริงๆ บินขึ้นไปอยู่บนหลังคาเองได้แล้ว!”
วินนี่วิ่งออกมา แล้วทุกคนก็วิ่งตามกันออกมา ต่างเงยหน้าไปมองและยกย่องอินทรีทองตัวน้อย
“อย่าไปมองแค่ว่าอินทรีทองตัวนี้มันอวบอ้วน แต่มันกลับบินเป็นได้ไวมาก เพียงพริบตาเดียวก็บินขึ้นไปอยู่บนหลังคาแล้ว!”
“ไม่มีแม่นกอินทรีคอยสอนก็บินได้ด้วยเหรอ? อินทรีทองน้อยช่างมีความสามารถในหมู่นกนะนี่ ขาดไม่ได้เลยในอนาคต!”
“บินอีก บินอีก!”
“รีบถ่ายรูปเร็ว ดูสิดู นี่คือราชาแห่งฝูงนก!”
แคลร์ที่อยู่บนหลังคา ถูกผู้คนมากมายห้อมล้อมขนาดนี้ แถมชี้โน่นชี้นี่ ไม่รู้ว่าพูดอะไรกัน มันจึงรู้สึกสับสนไปหมด
ในความเป็นจริงแล้ว มันอยากให้ฉินสือโอวช่วยพามันลงไป มันไม่ได้บินขึ้นมาเองแต่ถูกอุ้งเท้าจอมวายร้ายของบุชคว้ามันขึ้นมา แล้วบุชเจ้าปีศาจนั่นก็ร้ายเกินใคร พอคว้ามันขึ้นมาก็อันตรธานหายไปเลย!
แคลร์ร้องเรียกฉินสือโอวด้วยความหวังอยู่หลายรอบ ฉินสือโอวนายใหญ่นึกว่ามันร้องเสียงดังก่อนที่จะโบยบิน จึงปรบมือให้กำลังใจมัน คนอื่นๆ ก็ทำตาม ต่างเริ่มปรบมือทีละคนสองคน จนเสียงปรบมือดังขึ้นมา “แปะ แปะ แปะ…”
อินทรีทองน้อยมองไปที่ผู้คนด้านล่างด้วยความหงุดหงิด อยากจะร้องด่า พวกคุณมันโง่หรืออย่างไร ไม่รีบพาฉันลงไป ปรบมือให้ฉันกันทำไม? หัวใจมนุษย์ทำไมถึงได้ย่ำแย่ขนาดนี้ พวกนายอยากจะให้ฉันกระโดดลงไปเหรอ? ให้กำลังใจฉันในการฆ่าตัวตายเหรอ?!
ท้ายสุดก็มีวินนี่ที่ดูจะเข้าใจเด็กๆ มากกว่าคนอื่น เธอเห็นกรงเล็บของอินทรีทองน้อยยึดจับไม้ที่ยื่นออกมาตรงหลังคาแน่น ไม่ขยับไปไหน จึงถามด้วยความสงสัยว่า “ฉิน แคลร์คงไม่ได้บินขึ้นไปเองมั้งคะ?”
ฉินสือโอวโบกมือ “เป็นไปไม่ได้ ที่รัก ดูสีหน้าของแคลร์สิ มั่นใจเย่อหยิ่งขนาดนั้น! ถ้าลองเอาหู่จือกับเป้าจือโยนขึ้นไปอยู่บนนั้น จะแสดงสีหน้าแบบนี้ได้เหรอ?!”
แต่ไหนแต่ไรมาสีหน้าของอินทรีทองไม่เคยเปลี่ยน ได้แค่เพียงส่งสายตาเว้าวอนมองลงไปที่คนด้านล่าง พวกนายไม่รู้เลยเหรอว่าตระกูลอินทรีทองทั้งตระกูลเป็นพวกไม่แสดงสีหน้า?
ในเวลานี้เองบุชก็บินกลับมา มันเก็บปีกของมันแล้วร่อนลงไปอยู่ข้างๆ อินทรีทองน้อย แหงนหน้าไปมองมัน แล้วก็พยักหน้าให้กับความว่างเปล่าตรงหน้า
อินทรีทองน้อยพยายามทำตัวเองให้ลีบลง แต่เสียดายที่มันอ้วนไปหน่อย จึงหดตัวให้เล็กไม่ได้ มันพยายามเขยิบไปข้างๆ อย่างระมัดระวัง แล้วพยักหน้าให้บุช
ฉินสือโอวกะพริบตาปริบๆ อดที่จะตีไปที่หน้าขาไม่ได้ “แม่ง แคลร์บินไม่เป็น แต่โดนบุชจับขึ้นไปใช่ไหมเนี่ย?”
วินนี่กลอกตามองบนแสดงอารมณ์ที่หลากหลาย คุณเพิ่งดูออกเหรอไง? ก็บอกแล้วว่าแคลร์ไม่ได้เป็นประเภทที่จะบินขึ้นไปเองได้แบบนั้น! บุชเขยิบไปข้างๆ ตามไปอยู่ข้างๆ อินทรีทองน้อย หลังจากนั้นพอขยับปีกทั้งสองข้างก็บินร่อนเบาๆ ลงมาอยู่ด้านล่าง ท่วงท่ามั่นใจและหยิ่งผยอง
ปีกของอินทรีทองน้อยยิ่งพับเก็บแน่นกว่าเดิม มองไปที่บุชที่อยู่ด้านล่างด้วยท่าทางน่าสงสาร แล้วก็ส่งเสียงร้องแคว้กแคว้กอีกสักพัก
พ่อของห่านขาวรู้ว่าใครเป็นคนทำร้าย จึงกางปีกวิ่งไปจะจิกบุช บุชจึงรีบบินขึ้นไปอยู่บนหลังคาทันที
“บุชจะสอนแคลร์ให้บินได้” ฉินสือโอวและคนอื่นๆ เข้าใจความจริงนี้ จึงพูดด้วยความพึงพอใจว่า “เป็นพี่ชายที่ดีจริงๆ ฝึกฝนให้น้องชายมีทักษะ บุชเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ”
วินนี่ถามด้วยความสงสัย “ทำไมฉันถึงรู้สึกว่า บุชไม่ได้คิดเป็นอย่างนั้น?”
ฉินสือโอวตอบ “คุณอคติ อคติต่อบุช…”
บุชบินขึ้นไปบนหลังคาอีกรอบ กางปีกสยายแล้วบินลงมา บินวนไปมาอยู่หลายรอบสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่าง หลังจากนั้นก็พยักหน้าให้แคลร์แล้วส่งเสียงร้องเป็นสัญญาณให้บินลงมา
แคลร์หันหัวไปมองอีกด้าน ทำเป็นไม่เข้าใจที่บุชพยายามบอก เม้มปากแน่นและพยายามเขยิบไปด้านข้าง
วินนี่พูดถูก บุชไม่น่าจะรู้อะไรควรไม่ควรขนาดนั้น พอมันเห็นว่าชี้แนะแบบนี้แล้วไม่ได้ผล มันจึงสยายปีกผลักไปที่หลังอินทรีทองจนตัวมันเขย่าโยกไปมา!
ความตั้งใจเดิมของมันคงอยากจะผลักให้อินทรีทองตกลงไป แต่พลังของอุ้งเท้าอินทรีทองมีมาก อย่างไรก็ยังเกาะไม้ไว้แน่น เหมือนกับตุ๊กตาล้มลุกที่โดนผลักจนเกือบจะล้มลงไป แต่ก็เด้งกลับขึ้นมาได้ในทันที
บุชเข้าไปผลักมันอีกครั้ง แต่แคลร์ใช้อำนาจแห่งราชาบนท้องฟ้าอ้าปากเล็กๆ ของมันแล้วจิกไปที่บุช คิ้วของมันยกขึ้น แล้วจ้องไปที่บุชด้วยสายตาแหลมคม ส่งเสียงร้องที่น่าสะพรึงกลัว
บุชไม่ทันระวังตัวจึงถูกมันจิกเข้าไป ทันใดนั้นบุชโกรธมาก แม่ง เมื่อกี้ก็โดนพ่อแม่ของแกรุมทำร้ายมา ปรากฏว่ากลับมายังโดนแกเล่นอีก โอเค พูดดีๆ แล้วไม่ทำใช่ไหม? ใช้ไม้อ่อนไม่ได้ต้องใช้ไม้แข็งสินะ? ไม่พูดพร่ำอะไร แกไปซะ!
บุชพุ่งชนไปที่ตัวอินทรีทองเพื่อให้มันล้ม บุชกางปีกแล้วผลักไปที่มันอีกครั้ง ผลักแคลร์ให้พุ่งออกไปราวกับตีลูกเบสบอลไม่มีผิด!
ชั่วพริบตานั้นเอง ฉินสือโอวสังเกตเห็นว่าดวงตาของแคลร์ปูดออกมาแล้ว…
เมื่อโดนผลักให้ตกจากหลังคา แคลร์ก็เหมือนตาชั่ง มันตกใจจนกางปีกไม่ออก ตกลงมาด้านล่างด้วยความงุนงง
ฉินสือโอวตะลึง รีบอ้าแขนจะไปรับซึ่งกำลังของเขาเร็วมากพอ เพียงชั่วครู่เดียวก็วิ่งไปถึงตรงนั้น
แต่ตอนที่แคลร์ตกอยู่กลางอากาศได้ครึ่งทาง มันก็เหมือนจะรู้สึกตัวขึ้นมา รีบกางปีกออกราวกับตันเฉินจื่อที่คลี่ด่านถัดไปได้ในหนังเรื่อง ‘ศึกเทพยุทธภูผาซู’ ที่สวีเค่อเป็นคนถ่ายทำ ‘ซวบๆๆ’ ปีกมันที่ตั้งตรงและแข็งสยายออกอย่างรวดเร็ว มันพยายามกระพือปีกทั้งสองข้าง พุ่งบินขึ้นไปบนท้องฟ้า!
……………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset