ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 1174 เจ้าชายน้อยแสนแปลก

แม้จะไม่รู้รายละเอียดฐานะของคนที่มา แต่ฉินสือโอวคาดเดาไว้ว่าน่าจะเป็นแขกผู้มีเกียรติที่เขาเชิญมาร่วมงาน
ตอนนี้ก็ปลายเดือนแล้ว ห่างจากพิธีงานหมั้นไปไม่ถึง 2 วัน คนส่วนมากก็จะต้องมาเวลาประมาณนี้แล้ว
เมื่อเป็นแบบนี้ ก็พอดีกับที่ว่าฉินสือโอวและคนอื่นๆ กำลังดูแคลร์หัดบิน จึงอยู่ด้านนอกกันทุกคน พวกเขาต่างเดินไปที่ท่าเรือ เพื่อต้อนรับแขกที่มาท่านนี้
เมื่อเรือที่มีรูปร่างลักษณะสะดุดตาลำนี้เทียบฝั่ง ฉินสือโอวก็รู้แล้วว่าใครมา เพราะด้านข้างเรือมีรูปธงชาติและสัญลักษณ์ประจำชาติอยู่ สีโดยรวมของธงชาติคือสีเขียว และยังมีภาษาอาหรับที่เขาไม่เข้าใจเขียนไว้อยู่
ไม่เข้าใจภาษาอาหรับประโยคนั้นก็ไม่เป็นไร คำนึงว่าในบรรดาแขกที่เขาเชิญมีเพียงเพื่อนสองท่านที่มาจากตะวันออกกลาง จึงเดาได้เลยว่าเป็นอาฟิฟและเจ้าหญิงซาลามาห์ที่มาอย่างแน่นอน
หลังจากเทียบชายฝั่ง เรือยอชต์เริ่มลดความเร็ว ในขณะเดียวกันก็เก็บปีกที่อยู่กราบเรือทั้งสองข้างขึ้น ซึ่งนี่ก็คือจุดเด่นอีกจุดหนึ่งของเรือไฮโดรฟอยล์ที่มีปีกประสิทธิภาพสูง มันสามารถเปลี่ยนรูปร่างได้!
ตอนที่สยายปีกออก มันสามารถเหินอยู่บนน้ำได้สูงประมาณ 1 เมตร ความเร็วอยู่ที่ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พอเก็บปีกขึ้นก็จะเปลี่ยนเป็นเรือไฮโดรฟอยล์ที่คล้ายกับเรือโฮเวอร์คราฟต์ที่แล่นอยู่บนน้ำด้วยความเร็วสูง
ทั้งสี่ด้านของเรือมีถุงลมบางๆ ทำจากยางคลุมรอบ พอพับเก็บปีกขึ้น สามารถใช้เครื่องเป่าลมแบบมือถือเป่าอากาศเข้าไปตรงเรือด้านล่างได้ คู่กับอากาศที่ดูดเข้ามาทางร่องตรงเครื่องเรือติดท้าย กลายเป็นเบาะลมอยู่ด้านล่างเรือ
ด้วยวิธีนี้ความดันของเบาะลมจะทำให้ถุงลมเต็มไปด้วยก๊าซ หลังจากนั้นก็จะยกตัวเรือขึ้นจากผิวน้ำ ซึ่งแบบนี้เรือเล็กก็ยังคงแล่นไปบนผิวน้ำได้ ถ้าจะเพิ่มความเร็ว ด้านหลังเรือจะมีเครื่องยนต์แบบพัดลมที่สามารถเสริมแรงให้เรือยังคงแล่นไปในความเร็วที่สม่ำเสมอได้
เรือยอชต์แล่นอยู่บนผิวน้ำเป็นรูปวงรีครึ่งวง สร้างวงน้ำกระเพื่อมราวกับคริสทัลที่ส่องแสงสุกใสภายใต้แสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นการแสดงถึงความใสของน้ำทะเลขั้นสุด หลังจากนั้นความเร็วก็ค่อยๆ ลดลง ท้ายสุดก็จอดเทียบกับท่าเรือ
ประตูเรือยอชต์เปิดออก ฉินสือโอวมองขึ้นไป คนที่เดินออกมาก่อนสองคนแรกเป็นชายผิวดำร่างใหญ่ที่ใส่สูทสีดำ สวมแว่นดำ แล้วยังสวมหูฟังสีดำไว้ที่หู
เมื่อพวกเขาเดินออกมาแล้วยืนด้วยท่าทางเคร่งขรึมบนท่าเรือทั้งสองด้าน จนทำให้ฉินสือโอวนายใหญ่อดไม่ได้ที่จะนึกถึงพี่น้องชาวแอฟริกันที่ยืนอยู่หน้าเทียนอันเหมินเพื่อเคารพมรดกของท่านประธาน
หลังจากที่ชายผิวดำร่างใหญ่เดินออกมา ก็มีคนสองคนในชุดสูทสีดำเดินตามมา ซึ่งครั้งนี้เป็นหนุ่มผิวขาว แต่ก็ยังคงยืนอย่างเคร่งขรึมอยู่ทั้งสองด้าน หลังจากนั้นก็มีคนสองคนเดินออกมาอีก แล้วก็มีอีกสองคน รวมแล้ว 8 คน ทั้งหมดล้วนเป็นชายร่างใหญ่ในชุดสูทสีดำ!
เชี่ย ฉินสือโอวยอมเลย เขารู้ว่าเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งตะวันออกกลางเวลาออกเดินทางจะดูมีสไตล์ แต่แบบนี้ก็ออกจะมากไปหน่อยไหม
ผมอนุญาตให้คุณโอ้อวดได้ แต่ไม่อนุญาตให้โอ้อวดซ้ำแล้วซ้ำเล่าในฟาร์มปลาของผม ฉินสือโอวนายใหญ่ได้กำหนดมาตรฐานในการต้อนรับแขกกับตัวเอง หลังจากนั้นก็รอการปรากฏตัวของอาฟิฟและองค์หญิงน้อย
ผลคือหลังพวกบอดี้การ์ดเดินออกมาแล้ว ก็มีหนุ่มหล่อในชุดลำลองสีขาวปรากฏตัวขึ้น!
เมื่อเห็นคนที่มา ฉินสือโอวก็รู้สึกประหลาดใจ นี่คือเจ้าชายฮามานแดน บุคคลสำคัญแห่งตะวันออกกลาง!
ไม่คิดเลยว่าคำพูดของซาลามาห์จะเชื่อได้จริงๆ เธอเชิญหนุ่มหล่อคนนี้มาจนได้ ฉินสือโอวต้องต้อนรับเขาอย่างจริงจัง เพราะฮามานแดนเป็นหนึ่งในเจ้าชายที่อายุน้อยที่สุดในโลกพร้อมๆ กับคิม จอง อึน เจ้าชายวิลเลียมและ เจ้าชายเฮนรี!
มารยาทและการอบรมปลูกฝังมาของฮามานแดนไม่ต้องพูดถึงเลย ถึงแม้ว่าตอนที่อยู่เกรตแบร์ริเออร์รีฟด้วยกันทั้งสองจะไม่ได้ชอบหน้ากันมากนัก แต่หลังจากที่ฉินสือโอวยื่นมือออกไป เจ้าชายน้อยก็ยังจับมือกับเขาอย่างสุภาพ พร้อมพูดว่า “พี่ฉินสือโอว ยินดีด้วยครับสำหรับงานหมั้น”
ฉินสือโอวกล่าวขอบคุณ เชิญให้เขาขึ้นมาบนฝั่ง ส่วนด้านหลังก็ตามมาด้วยเจ้าหญิงโลลิต้าที่เหมือนผีเสื้อตัวน้อย เธอสวมกระโปรงยาวสีชมพู หลังจากกระโดดออกมาก็กะพริบตาให้ฉินสือโอวพร้อมหัวเราะคิกคัก “พวกเราไม่ได้มาช้าไปใช่ไหมคะ ฉิน คนไหนคือภรรยาของคุณเหรอ?”
“พวกคุณมาเร็วที่สุดแล้ว” ฉินสือโอวพอเห็นเจ้าหญิงโลลิต้าก็ยิ้มออกมา ซึ่งแตกต่างจากรอยยิ้มที่ยิ้มให้เจ้าชาย เป็นรอยยิ้มที่จริงใจกว่ามาก
พอได้ยินเจ้าหญิงโลลิต้าถาม วินนี่ที่อุ้มบุชอยู่ก็เดินออกมาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีค่ะ ใต้ฝ่าพระบาท ฉันวินนี่ภรรยาของฉิน เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบคุณค่ะ”
หลังจากที่วินนี่ปรากฏตัว ฉินสือโอวก็รู้สึกได้ว่าดวงตาของฮามานแดนที่ยืนอยู่ข้างๆ พลันเบิกกว้างขึ้น ตอนที่เขามองไป เจ้าชายก็ยังเบิกตากว้างมองไปที่วินนี่ เชี่ย มองอย่างจริงจังซะด้วย
สายตาของเจ้าชายทำให้เขารู้สึกขนลุก เขาจึงรีบแนะนำว่า “นี่คือภรรยาของกระหม่อมครับ ฝ่าพระบาทฮามานแดนมีอะไรจะกล่าวไหมครับ?”
ฮามานแดนกะพริบตา แล้วก็พยักหน้าหลังจากที่รู้สึกตัว “โอว ผมเข้าใจแล้ว ผมอยากจะถามสักหน่อยว่า นี่คืออินทรีหัวขาวใช่หรือไม่?”
พอได้ยินเขาถามแบบนี้ ฉินสือโอวก็รู้สึกว่าเขาเข้าใจผิดแล้ว เจ้าชายน้อยไม่ได้จ้องวินนี่ แต่จ้องบุชที่อยู่ในอ้อมอกเธอ ก่อนหน้านั้นเขาก็เคยได้ยินมานานแล้วว่าเจ้าชายโปรดม้าที่มีชื่อ รถซูเปอร์คาร์และสัตว์แปลกๆ ทุกชนิด
ฉินสือโอวนายใหญ่กวักมือเรียก วินนี่จึงปล่อยบุช เจ้าบุชพอขยับปีกก็บินไปอยู่บนไหล่เขา เอียงคอมองไปที่เจ้าชายที่ยืนอยู่ด้านข้าง สีหน้าเหมือนกำลังพิจารณาอยู่
“ใช่แล้วครับ นี่เป็นอินทรีหัวขาว ผมเลี้ยงตั้งแต่ยังเล็กจนโต มันชื่อว่าบุช เป็นเด็กที่เชื่อฟังมาก” ประโยคสุดท้ายของฉินสือโอวนายใหญ่ดูจะขัดกับความตั้งใจของเขา แต่ชาวต่างชาติมักจะพูดประโยคนี้เวลาแนะนำสัตว์เลี้ยงของเขา
เจ้าชายน้อยมองไปที่อินทรีหัวขาวด้วยความสนใจ เขาอยากจะเข้าใกล้ บอดี้การ์ดคนหนึ่งก็เขยิบเข้าไปอยู่ข้างๆ เขาทันทีอย่างไร้เสียง เห็นได้ชัดว่า การเข้าใกล้บุชที่โตเต็มวัยมีความน่าหวาดระแวงอยู่ เพียงแค่มันอ้าปาก ครึ่งหน้าของเจ้าชายก็อาจจะหายไปทันที!
ต่อจากเจ้าหญิงซาลามาห์ก็เป็นอาฟิฟที่เดินออกมา หนุ่มหนวดเฟิ้มหัวเราะเสียงดัง กอดฉินสือโอวแน่นแล้วตบไปที่หลังเขา “ตอนนั้นที่อยู่โทรอนโต ตอนที่ผมเห็นคุณพาวินนี่ขึ้นเรืออัล ซาลามาห์ ผมก็รู้แล้วว่าพวกคุณสองคนท้ายที่สุดแล้วจะต้องอยู่ด้วยกัน และในที่สุดวันนั้นก็มาถึง”
เรืออัล ซาลามาห์เป็นเรือยอชต์สุดหรูที่ฉินสือโอวและวินนี่เข้าร่วมงานแสดงเรือในฤดูใบไม้ผลิ เมื่อพวกเขาไปเยือนโทรอนโตเป็นครั้งแรก
ฉินสือโอวขอบคุณคำอวยพรของพวกเขา แล้วพาพวกเขาไปทางวิลล่า ฮามานแดนพยายามหาทางแกล้งบุช ซึ่งบุชแสดงสีหน้าไม่พอใจ บุชที่เดิมทีเกาะอยู่บนไหล่ฉินสือโอว แต่ก็อาศัยโอกาสที่ไม่มีใครสังเกตจากไปแบบเงียบๆ
วินนี่ยิ้มแล้วพูดกับฮามานแดนว่า “เจ้าชายดูเหมือนจะชอบอยู่กับสัตว์เล็กๆ นะคะ?”
ฮามานแดนยิ้มอย่างสงวนท่าที แล้วตอบในสิ่งที่ไม่ได้ถูกถาม “คุณเรียกผมว่าฮามานแดนได้นะ ไม่จำเป็นต้องเรียกเจ้าชาย ตอนที่ผมเรียนที่อังกฤษ เพื่อนทุกคนต่างก็เรียกชื่อผม”
ฉินสือโอวแอบเบะปาก เขาอยู่กับเจ้าชายตั้งนานตอนที่อยู่ออสเตรเลีย แต่เจ้าหนุ่มนี่ไม่เคยพูดกับเขาด้วยความเกรงใจขนาดนี้
เจ้าชายน้อยพูดต่อ “ใช่แล้ว ผมชอบอยู่กับสัตว์ตัวเล็กๆ มาก พวกมันไม่มีพิษไม่มีภัย เวลาอยู่กับพวกมัน ผมรู้สึกสบายใจ ที่บ้านผมก็เลี้ยงนกที่เก่งมากไว้ตัวหนึ่ง เป็นอินทรีทอง”
ขณะที่พูดอยู่ ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาอยู่ดีๆ ก็ยักคิ้วให้กับฉินสือโอว
ในหมู่ผู้ชาย การกระทำแบบนี้ถือเป็นการยั่วยุ
ฉินสือโอวนายใหญ่แค่ยิ้มแต่ไม่ได้โต้ตอบอะไร อย่างไรเขาก็เป็นแขก อีกทั้งยังเป็นแขกผู้มีเกียรติเสียด้วย นี่ไม่ได้อยู่ที่ออสเตรเลียแล้ว เขาคงไม่สามารถทำให้เจ้าชายขายขี้หน้าได้อีกแล้ว
……………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset