ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 1202 การออกเสียง

เมื่อเรื่องนี้มีความเห็นไม่ตรงกัน แต่ก็ยังไม่ได้จบลงเช่นกัน มารอนไม่สามารถทำหน้าที่ในครั้งนี้ได้
ในที่สุดเขาก็เสนอราคาที่ต่ำสุดจริงๆ ให้ฉินสือโอว แปดล้านดอลลาร์แคนาดา
ในความเป็นจริงถ้าเขาพูดถึงแค่ราคาที่เสนอ เขาก็สามารถรับผิดชอบหน้าที่นี้ได้ เพราะสิ่งที่พูดไปก่อนหน้านี้เป็นเพียงกลยุทธ์อย่างหนึ่งเท่านั้น ทำให้ฉินสือโอวยังคงไม่ทำตามแผนปฏิบัติต่อไปและเขาก็ไม่สามารถเป็นผู้นำได้
สิบล้านดอลลาร์แคนาดาเป็นราคาต่ำสุดของฉินสือโอว ดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายจะมีความหวังที่จะได้ร่วมมือกัน แต่เมื่อคิดดูแล้ว จริงๆ แล้วกาวชีวภาพชนิดนี้เป็นไก่ที่ออกไข่สีทองเลยนะ ทำไมคุณถึงต้องการขายมัน? จะดีกว่าไหมถ้าได้รับเงินปันผลเป็นเวลานานจากการลงทุนในเทคโนโลยีและวัตถุดิบการแปรรูป?
เงินแปดล้านดอลลาร์แคนาดาไม่ได้เข้าตาฉินสือโอวเลยสักนิด แบรนด์อาหารทะเลต้าฉินยังคงเชื่อมต่อกันเป็นลูกโซ่อย่างต่อเนื่องและเขาสามารถสร้างรายได้ถึงสิบล้านลาร์แคนาดาต่อเดือน!
ด้วยเงื่อนไขการเจรจา มารอนจึงกลับไป
ฉินสือโอวจึงรีบไปดูลูกสาว ในที่สุดเด็กหญิงตัวน้อยก็ไม่ร้องไห้แล้ว แต่มือเล็กๆ ที่ถูกพันไว้นั้นเหมือนกีบเท้าของหมูตัวอ้วน
คาดว่าเด็กหญิงตัวน้อยเองก็สับสนเช่นกัน จึงชูมือขวาขึ้นต่อหน้าอย่างงุนงงและนึกไม่ออกว่ามันคืออะไร
เมื่อเห็นฉินสือโอวเข้ามา เด็กหญิงตัวน้อยก็ตะโกนว่า ‘อาอา’ ในปากพร้อมกับยื่นมือออกมาทางเขา ฉินสือโอวหัวเราะแหะแหะแล้วพูดว่า “มา มา พ่ออุ้ม”
ทำให้เด็กหญิงตัวน้อยพูดตามเขาว่า “อุ้มๆ…”
สีหน้าหน้าของพ่อฉินและแม่ฉินเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นทันที วินนี่เองก็ประหลาดใจมากเช่นกัน จึงอุ้มเสี่ยวเถียนกวาขึ้นมาแล้วพูดว่า “พระเจ้า ลูกสาวฉันพูดได้”
เสี่ยวเถียนกวา “ฮือๆ…”
วินนี่รีบวางเธอลงอีกครั้งและพูดด้วยความรู้สึกผิดว่า “ขอโทษๆ เด็กดีไม่ร้องไห้นะ แม่ไม่ได้ตั้งใจจะแตะอุ้งเท้าน้อยๆ ของหนูเลย”
ฉินสือโอวถึงกับพูดไม่ออก อุ้งเท้าน้อยๆ มันคืออะไร?
เมื่อวางลูกสาวไว้บนตัก เขาหยิบขวดกาวชีวภาพที่แซนเดอร์สให้ไว้ออกมาและพูดด้วยความภาคภูมิใจว่า “มา ผมจะเปิดผ้าก๊อซให้ลูก ผมมียาห้ามเลือดแบบใหม่ล่าสุด มันมีประโยชน์จริงๆ ต่อไปถ้ามีแผลก็สามารถใช้ห้ามเลือดได้”
วินนี่ถอนหายใจและพูดว่า “ใช้ได้จริงเหรอคะ? หายากหรือเปล่า? มือของลูกไม่มีเลือดออกแล้ว คุณยังจะเอาลูกไปทำอะไรอีก มา เด็กดี พูดตามแม่นะ ปาป๊า…”
ฉินสือโอวมีความสุขและพอใจเป็นอย่างมาก วินนี่เป็นคนที่มีความรู้มาก คำแรกที่สอนลูกสาวให้พูดคือพ่อ ซึ่งมันดีมาก
เมื่อได้ยินเสียง ‘ปาป๊า’ ของวินนี่ พ่อฉินก็ตอบรับโดยไม่รู้ตัวว่า “เป็นอะไรไปวินนี่? เกิดอะไรขึ้น?”
เสี่ยวเถียนกวาจ้องไปที่พ่อฉิน ปากเล็กๆ ก็อ้าออกและพูดอย่างไม่ชัดเจนว่า “หม่าม๊า…”
พ่อฉินพูดภาษาจีนกลางซึ่งเป็นภาษาถิ่นที่ขาดไม่ได้และเขายังออกเสียงม๊า ดังนั้นเสี่ยวเถียนกวาจึงออกเสียงคล้ายกับคำว่า ‘หม่าม๊า’ เล็กน้อย
เมื่อได้ยินเธอเรียกแบบนี้ ดวงตาของวินนี่ก็มีน้ำตาคลอเบ้าทันที เธอกอดลูกสาวไว้แน่น แล้วพูดด้วยความซาบซึ้งใจว่า “เด็กดี เป็นเด็กดีจริงๆ แม่อยู่ที่นี่นะ แม่อยู่นี่”
ถ้าเทียบกับเวลาที่เสี่ยวเถียนกวาพลิกตัวและคลาน เวลาในการออกเสียงของเธอจะถือว่าช้ากว่า
เพราะพัฒนาการทางภาษาของเด็กต้องผ่านหลายขั้นตอน ซึ่งขั้นแรกตั้งแต่เพิ่งเกิดจนถึงประมาณสองถึงสามเดือนจะร้องไห้เป็นหลัก ในเดือนที่สามและสี่จะเริ่มกรีดร้องและทำเสียงเล่นบ้างเล็กน้อย เมื่อเดือนหกหรือเจ็ดเด็กจะเข้าสู่ขั้นตอนของการหัดพูดอ้อแอ้ เช่นการออกเสียงตามพ่อแม่จะปรากฏในขั้นตอนนี้
เวลาที่เสี่ยวเถียนกวาใช้ในการพลิกตัวและคลานนั้นจะสั้นกว่าเด็กทั่วไปถึงครึ่งหนึ่ง จะมีเพียงเวลาที่ใช้ในการออกเสียงเท่านั้นที่ใกล้เคียงกับเด็กทั่วไป ซึ่งอาจเป็นเพราะพลังโพไซดอนที่ช่วยปรับกล้ามเนื้อและกระดูกของเด็กเป็นหลัก แต่สำหรับการเปลี่ยนแปลงของสมองจะไม่ช่วยเท่าไรนัก
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ครอบครัวก็ใช้เวลาเกลี้ยกล่อมเสี่ยวเถียนกวาให้พูด หลังจากที่พวกเขาพยายามอย่างไม่ท้อถอย เด็กหญิงตัวน้อยไม่เพียงแต่ออกเสียงมาได้ แต่ยังออกเสียงปาป๊าคำนี้ได้สำเร็จอีกด้วย
ไม่กี่วันมานี้ ฉินสือโอวแทบไม่ได้หวนคิดเลยจริงๆ ว่า สองสามวันนี้พวกเขาทรมานเด็กหญิงตัวน้อยอย่างหนัก ไม่ว่าจะทำอะไรก็จะร้องเรียกว่า ‘ป๊าม๊า’ เดาว่าเด็กหญิงตัวน้อยก็คงจะรู้สึกไม่ดีที่ถูกทรมานเช่นกัน ภายใต้สถานการณ์แบบนี้หู่จือและเป้าจือก็สามารถร้องคำว่า ‘ป๊า’ ออกมาได้เช่นกัน
หลังจากทานอาหารกลางวันในวันเสาร์แล้ว เชอร์ลี่ย์และเด็กๆ ก็เข้ามาร่วมด้วยเมื่อเจอสิ่งนี้ เด็กหญิงตัวน้อยกินฟองนมจนเต็มปาก วินนี่ก็กำลังเช็ดตัวให้เธอ เชอร์ลี่ย์จึงวิ่งมาอุ้มและหยอกเธอเล่น แล้วพูดว่า “เรียกว่าพี่สาวสิ พี่สาว พี่สาว พี่สาว”
เด็กหญิงตัวน้อยเบิกตากว้างจ้องมองเธอและปากเล็กๆ อันอวบอ้วนก็สำลักออกมา อาจเป็นเพราะต้องการพ่นฟองนมใส่หน้าเธอ แต่น่าเสียดายที่วินนี่เช็ดออกจนหมดแล้ว จึงพ่นออกมาไม่สำเร็จ
เมื่อเห็นว่าลูกสาวอยากจะเล่นมากจนทนไม่ไหว วินนี่จึงพูดอย่างหมดหนทางว่า “เชอร์ลี่ย์ ตอนบ่ายนี้จะมาทำอะไร? ฝึกไวโอลินเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
เชอร์ลี่ย์มองไปที่เถียนกวา จึงวางเธอลงบนโซฟาแล้ววิ่งกลับไปที่ห้องแล้วหยิบไวโอลินออกมา จากนั้นก็นั่งลงข้างๆ แล้วเล่นอย่างเต็มที่
ทันทีที่เสียงไวโอลินดังขึ้น หู่เป้าฉงหลัวและแมวป่าที่เพิ่งกินอาหารและนอนอยู่ในบ้านก็รีบลุกขึ้นและวิ่งออกมาทันที เกือบจะเป็นการตอบสนองสิ่งเร้าแล้ว
เด็กหญิงตัวน้องก็อยากจะวิ่งด้วย แต่เธอไม่สามารถลงจากโซฟาเองได้ ทำได้เพียงทนกับความแวววาวของไวโอลินของเชอร์ลี่ย์เท่านั้น
ฉินสือโอวมองดูอย่างเจ็บปวดมาตลอด จึงพูดกับวินนี่ว่า “ไม่ใช่ว่าการฝึกไวโอลินจะเป็นการฝึกฝนนิสัยของคนคนหนึ่งอย่างหนักเหรอ? คุณดูเชอร์ลี่ย์สิ เธอเอาไวโอลินตัวนี้มาเล่นเป็นอะไร? เล่นไปอีกสักสองปี เธอก็คงทำงานเป็นคนตัดไม้ได้เลยนะ”
“ไวโอลินไม่สามารถฝึกได้ในหนึ่งหรือสองวัน โดยเฉพาะเพิ่งจะมาเรียนรู้ตอนกลางคันยิ่งยากกว่า รอให้เถียนกวาของเรารู้เรื่องก่อน ฉันจะสอนเธอเล่นไวโอลิน ในอนาคตเธอจะกลายเป็นหญิงสาวตัวน้อยที่งดงามแน่นอน” วินนี่ปลอบเขา
ฉินสือโอวหัวเราะขึ้นมา เพียงแค่เห็นเถียนกวากำลังคลานได้ในตอนนี้ก็สามารถทรมานหู่เป้าฉงหลัวและแมวป่าได้อย่างเจ็บปวดจนแทบไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปได้แล้ว ในอนาคตเธอจะกลายเป็นหญิงสาวตัวน้อยที่งดงามได้นั้นคงจะเรียกว่าเป็นความเมตตาของพระเจ้า
เสี่ยวเถียนกวารู้สึกไม่ชอบเสียงเสียดสีของไวโอลิน จึงยื่นมือออกไปและร้องตะโกนใส่วินนี่ว่า ‘หม่าม๊า’ แม้จะคลุมเครือไปบ้าง แต่คำๆ นี้ก็ส่งเสียงออกมาได้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
วินนี่รอช่วงเวลานี้ เธออุ้มเสี่ยวเถียนขึ้นมาด้วยรอยยิ้มและหมุนตัวสองรอบ จากนั้นวางกลับลงไปบนโซฟาและจากไป ส่วนฉินสือโอวที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็มองเธออย่างคาดหวัง
เสี่ยวเถียนกวาตกตะลึง เธอมองไปรอบๆ ด้วยความประหลาดใจ จึงทำได้เพียงยื่นแขนออกไปหาฉินสือโอวและตะโกนว่า ‘ปาป๊า’ อย่างร้อนใจ
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ แม่ฉินก็โกรธมาก จึงไปตีหลังเขาและพูดว่า “แกอายุเท่าไหร่แล้ว? ทำไมยังทำตัวเป็นเด็กไปได้ นอกจากนี้ คนในบ้านที่ไหนกันจะทรมานลูกตัวเอง? รีบไปกอดเสี่ยวเวยเลย”
“ว่าแต่บ่ายนี้ไม่มีอะไรทำใช่ไหม? ว่างก็คือว่างนะ” ฉินสือโอวกล่าว
แม่ฉินพาเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังร้องตะโกนออกไปและพูดว่า “เอาล่ะ ถ้าแกไม่มีอะไรทำก็ไปช่วยห่อเกี๊ยวซะ เย็นนี้เราจะกินเกี๊ยวยัดไส้ผักจี่ไฉ่และเนื้อแกะกัน เป็นอย่างไร?”
ฉินสือโอวหัวเราะแหะแหะแล้วพูดว่า “ได้สิ ไม่มีปัญหา”
พ่อฉินและแม่ฉินจะเดินเล่นไปตามเทือกเขาเคอร์บัลในตอนเช้าและขุดผักป่ามาจำนวนมาก จึงเริ่มต้มในน้ำให้เดือดแล้วนำไปเก็บไว้ในที่เก็บน้ำแข็ง ซึ่งจะสามารถรักษาความสดใหม่และเก็บไว้ได้นานไม่เน่าเสีย
ที่บ้านเกิดของฉินสือโอว จริงๆ แล้วเกี๊ยวจะเป็นอาหารหลัก แม่ฉินเห็นวินนี่ไม่ชอบกินเกี๊ยว ดังนั้นปกติแล้วจะทำไม่เยอะและตอนนี้ก็เห็นว่ามีผักจี่ไฉ่มากมายที่ไม่กินและใกล้จะเน่าเสียแล้ว จึงตัดสินใจเอามาห่อเป็นเกี๊ยวให้หมด
ฉินสือโอวยังคงสนใจในการห่อเกี๊ยวมาก นึกถึงเกี๊ยวไส้ผักจี่ไฉ่และเนื้อสอดไส้คำโตที่เคยกินที่บ้านเมื่อก่อน จึงรู้สึกอยากกินไม่ไหวและนี่ก็เป็นสิ่งที่แคนาดาไม่มี
………………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset