ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 1219 พวกมันเป็นของผมแล้ว

เสี่ยวเถียนกวาไม่เคยเห็นหมอกลงหนาขนาดนี้มาแล้ว เธอปีนขึ้นมาถึงหน้าประตูแล้วมองไปรอบๆ ด้วยความแปลกใจ เธอไม่เข้าใจว่าโลกในวันนี้ทำไมถึงไม่เหมือนกับโลกเมื่อสองสามวันก่อนหน้านี้
ฉินสือโอวก็ไม่เคยเห็นหมอกหนาขนาดนี้มาก่อน แต่เมื่อเขาเห็นท่าทางสงสัยของลูกสาว เขาก็หัวเราะออกมาพลางมาอยู่ข้างๆ เธอ ทั้งสองคนมองไปยังหมอกหนานั้นอย่างไร้จุดหมาย
วินนี่ส่ายหัวไปมาพลางพูดว่า “หมอกลงขนาดนี้ มองอะไรไม่เห็นเลย มันมีอะไรหน้าดูอย่างนั้นเหรอคะ?”
“ดอกไม้ที่อยู่ในสายหมอกนั้นสวยงามที่สุด” ฉินสือโอวหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี พูดไป เขาก็อุ้มลูกสาวขึ้นมาหยอกล้อ “ใช่ไหม? พ่อพูดถูกไหมคะ?”
เสี่ยวเถียนกวาถูกสอนมาแล้ว ตอนนี้จึงสามารถคุยกับพ่อแม่ได้อย่างคล่องแคล่ว เมื่อได้ยินฉินสือโอวพูด เธอก็รีบเงยหน้าขึ้นมาเรียกด้วยความดีใจทันที “ปะป๊า ปะป๊า…”
ฉินสือโอวตอบกลับ เสี่ยวเถียนกวายื่นมือออกมา พลางร้องต่อไปว่า “ปะป๊า ปะป๊า…”
ท่านชายฉินมองไปรอบๆ เขาเห็นหู่จือและเป้าจือวิ่งออกมาจากหมอกอย่างมีความสุข
เมื่อเห็นท่าทางดีใจของพวกมันทั้งสองตัว เขาก็มองไปยังพวกมันอย่างไม่สบอารมณ์ หลังจากนั้นก็แก้ไขคำพูดของลูกสาว “นี่ไม่ใช่ปาป๊า นี่มันสุนัข!”
“ปะป๊า! ปะป๊า!” …ยังคงพูดคำเดิม
“สุนัข! สุนัข!” ท่านชายฉินหมดความอดทนแล้ว
หู่จือและเป้าจือวิ่งมาอยู่ตรงหน้าฉินสือโอว ลำตัวของพวกมันทั้งสองเปียกชื้น พวกมันอ้าปากสะบัดหัวไปมาจนเจ้าตัวขนดกดำเล็กๆ สองตัวหล่นลงมาที่พื้น
เจ้าตัวเล็กทั้งสองถูกสะบัดจนเวียนหัวตาลาย พวกมันกลิ้งตัวไปมาสองรอบจากนั้นก็ปีนลุกขึ้นยืน มันเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นเจ้าตัวใหญ่แบบเต็มสองตา อีกทั้งยังเห็นชายร่างใหญ่ที่กำลังชี้นิ้วและตะโกนมายังพวกมัน ปากใหญ่ของเขาอ้ากว้างราวกับต้องการกินพวกมัน ทันใดนั้นพวกมันก็รู้สึกกลัวขึ้นมา จึงหมุนตัววิ่งหนีออกไป
เสี่ยวหมิงวิ่งนำเหล่ากระรอกดินมาตลอดทาง ครอบครัวกระรอกดินแวะทักทายหู่จือและเป้าจือ พวกเรากำลังหาพี่ใหญ่ พวกนายสองคนกำลังทำอะไรอยู่เหรอ?
เจ้าตัวเล็กทั้งสองเพิ่งจะวิ่งมาถึงหน้าประตู พวกมันก็เจอเขากับเสี่ยวหมิงและกระรอกดินที่วิ่งตามมา พวกมันโดนขวางทางอีกแล้ว เสี่ยวหมิงเดินออกมาข้างหน้า จากนั้นก็ผลักเจ้าตัวเล็กทั้งสองตัวล้มลงกับพื้น
วินนี่ตกใจ เธอจึงถามออกมาว่า “พระเจ้า? นี่มันตัวอะไรกัน? หนูเหรอคะ?”
ฉินสือโอวก็มองไม่ออกเหมือนกัน ท่าทางของสองพี่น้องเฟอเรทแบลคฟุตดูน่าเวทนาเกินไป ขนตามร่างกายเปียกและแบ่งกันเป็นกระจุกๆ ขนที่หัวยังเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดงน้ำเต้า อีกอย่างท่าทางอันน่าสงสารและเวทนาของพวกมันลบความน่ารักของความเป็นเฟอเรทแบลคฟุตไปจนหมด
เมื่อมองดูดีๆ เขาถึงจะมองออกว่าเป็นสองพี่น้องเฟอเรท เขาพูดขึ้นมาด้วยความตกใจทันทีว่า “พระเจ้า พวกแกเองเหรอ? อย่าปล่อยพวกมันไป! จับพวกมันมาให้ฉัน!”
แม้สองพี่น้องเฟอเรทแบลคฟุตคิดอยากจะเดินก็ยังเดินไม่ไหว พวกมันถูกเสี่ยวหมิงและกระรอกดินจับไว้ เมื่อพวกมันจะหมุนตัวกลับหลัง พวกมันก็เจอเข้ากับหู่จือและเป้าจือที่อยู่ด้านหลัง เรียกได้ว่าถูกซุ่มโจมตีจากทุกทิศทาง
วินนี่มองมาด้วยความสงสัย เธอยังมองไม่ออกเลยพวกมันคือตัวอะไร จึงถามออกมาว่า “มันคืออะไรเหรอคะ?”
สีหน้าของฉินสือโอวเต็มไปด้วยความตกใจ เขาปล่อยเสี่ยวเถียนกวา แล้วไปอุ้มเฟอเรททั้งสองตัวขึ้นมา พลางพูดขึ้นว่า “รอผมอาบน้ำให้พวกมันก่อนคุณก็จะรู้ รับรองได้ว่าเป็นของดี!”
พูดจบ เขาก็พาพวกมันทั้งสองตัวเข้าไปยังห้องครัว จากนั้นก็เอากะละมังมาใส่น้ำอุ่นเพื่ออาบน้ำให้พวกมัน
ตอนนั้นเองฉงต้าที่นอนอยู่บนพื้นก็กระโดดลุกขึ้นมา มันพุ่งตัวเข้าไปในห้องครัวพลางลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เข้าไปจับฉินสือโอว แล้วร้องคำรามออกมาเสียงต่ำ
เมื่อหันไปเห็นใบหน้าดุร้ายของฉงต้า สองพี่น้องเฟอเรทก็ตกใจหน้าซีดเกือบตาย พวกมันรีบกระโดดลงกะละมังอย่างรวดเร็ว
ฉงต้าร้อนใจขึ้นมาทันที อุ้งมืออ้วนของมันฟาดลงมาทันที มันจับกะละมังลากออกมา จากนั้นก็ก้มหน้าลงไปใช้ปากงับสองพี่น้องเฟอเรทขึ้นมา
เมื่อสองพี่น้องเฟอเรทแบลคฟุตกะพริบตา ก็พบว่าตัวเองตกอยู่ข้างๆ ปากอันน่ากลัวของฉงต้าเรียบร้อยแล้ว จิตใจที่ยังเป็นเด็กของพวกมันไม่สามารถรับกับสถานการณ์อันโหดร้ายแบบนี้ได้ สุดท้ายพวกมันก็ตาลายจนเป็นลมไปในที่สุด
โลกใบนี้ชักจะบ้าบอเกินไปแล้ว วันนี้พวกมันรับเรื่องน่ากลัวมากเกินไปแล้ว!
ฉงต้าร้องคำรามออกมาด้วยความรังเกียจ มันปัดกะละมังไปมาเพื่อที่จะให้สองพี่น้องเฟอเรทหลุดออกมา จากนั้นก็คาบพวกมันขึ้นมาแล้ววิ่งหนีออกไป
ฉินสือโอวยังอยู่ในอาการตกตะลึง วินนี่พูดออกมาอย่างทำอะไรไม่ถูกว่า “คุณอย่าให้ข้าวพวกเด็กๆ นะคะ พวกมันไม่ปล่อยเพื่อนตัวน้อยทั้งสองตัวแน่ อีกอย่าง นี่มันอะไรกันแน่คะ?”
เธอเดินเข้ามาจับหางของเฟอเรทตัวหนึ่งขึ้นมาดู จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยความตกใจว่า “อ้อ เฟอเรทเหรอ? สายพันธุ์ไหนเหรอคะ?”
เฟอเรทเป็นสัตว์เลี้ยงที่พบเห็นได้ทั่วไปที่แคนาดา แน่นอนว่าวินนี่รู้จักพวกมัน
ฉินสือโอวหัวเราะออกมาคิกคักแต่ไม่ได้พูดอะไร เขาใช้น้ำอุ่นล้างเอาคราบสกปรกออกจากเจ้าตัวเล็กทั้งสองตัว และใช้โอกาสนี้ในการถ่ายพลังโพไซดอนให้พวกมันด้วย เมื่อได้รับพลังโพไซดอน พวกมันทั้งสองตัวก็ฟื้นขึ้นมา เมื่อมองไปรอบๆ แล้วไม่เจอนักล่าที่น่ากลัว พวกมันก็ถอนหายใจออกมา
เพราะว่าพลังโพไซดอน ทำให้พวกมันสองตัวผูกพันกับฉินสือโอวเป็นอย่างมาก พวกมันให้เขาใช้ไดร์เป่าผมเป่าจนแห้งหลังอาบน้ำอย่างว่าง่าย
พวกมันเคยสัมผัสประสบการณ์แบบนี้มาก่อนขึ้นเรือ ดังนั้นพวกมันจึงคุ้นเคยกับมันมาก
ร่างที่แท้จริงของเฟอเรทแบลคฟุตจึงปรากฏออกมา ในที่สุดวินนี่ก็เห็นรูปร่างของพวกมัน เธอชี้ไปยังพวกมันทั้งสองตัวอย่างไม่อยากเชื่อ จากนั้นก็ชี้ไปยังด้านนอก ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างพร้อมกับอุทานออกมาว่า “เพราะเจ้า เป็นไปไม่ได้…”
ฉินสือโอวทำท่าทางจะร้องตะโกนออกมา วินนี่จึงรีบพูดออกมาเสียงต่ำทันที เธอจับแขนของเขาแล้วพูดออกมาเบาๆ ว่า “พระเจ้า เฟอเรทแบลคฟุต? นี่ไม่ใช่เฟอเรทแบลคฟุตที่สูญพันธุ์จากแคนาดาไปแล้วหรอกเหรอคะ?”
ฉินสือโอวพยักหน้าอย่างพอใจ พลางหัวเราะหึหึออกมา “ไม่เลว นี่คือเฟอเรทแบลคฟุต!”
วินนี่มองเขาอย่างตกตะลึง เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เธอก็เข้าใจขึ้นมาทันที “คุณเคยเจอพวกมันเหรอคะ? คุณรู้ว่าพวกมันยังคงมีชีวิตอยู่เหรอคะ? แต่พวกมันมาถึงที่ฟาร์มปลาได้อย่างไร?”
ไม่ว่าอย่างไรเธอก็คิดไม่ออก
ฉินสือโอวตอบว่า “ยังจำเรือประมงเมื่อวันก่อนได้ไหม? ผมบอกกับตำรวจทะเลว่าพวกเขาเข้ามาที่ฟาร์มปลาพร้อมกับพกอาวุธปืน ซึ่งอันที่จริงแล้วมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เด็กสองคนนี้ เป็นของพวกมันลักลอบพามาด้วย”
วินนี่เข้าใจถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ดี พลางพูดขึ้นด้วยความตื่นเต้นว่า “แล้วคุณจะจัดการอย่างไร? นี่คือเฟอเรทแบลคฟุต คนอเมริกาเห็นพวกเขาเป็นของล้ำค่าเลยนะคะ! ถ้าหากว่าพวกเขารู้ว่าเฟอเรทแบลคฟุตที่สูญพันธุ์ไปแล้วอยู่ที่นี่กับพวกเรา แบบนั้นคงจะเป็นปัญหาแน่”
ฉินสือโอวยักไหล่ แล้วพูดขึ้นว่า “เสี่ยวหลัวปอมาอยู่ที่นี่ปีหนึ่งแล้ว ยังไม่มีใครรู้เลยว่ามันคือหมาป่าขาวนิวฟันแลนด์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วเลยไม่ใช่เหรอ? เจ้าพวกนี้ตัวเล็กขนาดนี้ พวกเราระวังหน่อยก็สามารถซ่อนพวกมันไว้ได้แล้ว”
“ต่อให้ถูกเจอก็ไม่มีอะไรต้องกลัว พวกเรารู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอว่าพวกมันมาอยู่บนเกาะได้อย่างไร? ถ้าพวกอเมริกาอยากจะเอาเรื่อง ก็ให้พวกเขามาหาได้เลย ผมไม่กลัวพวกเขาอยู่แล้ว” ฉินสือโอวเอ่ยเสริม
วินนี่ถูกฉินสือโอวพูดโน้มน้าวอย่างรวดเร็ว เธอไม่มีแรงขัดต่อสิ่งเล็กๆ ที่มีขนปุยพวกนี้มากนัก เรื่องหนึ่งเธอก็กังวลว่าหากมีคนพบจะเป็นอย่างไร แต่เธอก็ได้กอดและเรียกพวกมันทั้งสองตัวด้วยความรักความเอ็นดูแล้วเรียบร้อย
แต่สองพี่น้องเฟอเรทไม่ยอมที่จะอยู่ในอ้อมกอดของวินนี่ พวกมันดิ้นรนออกไปหาฉินสือโอว แต่หลังจากที่ลงถึงพื้น ดวงตากลมโตก็กลอกไปมา จมูกสูดดมฟุดฟิดไม่หยุด แล้วเริ่มเดินไปทั่วห้องครัว
เมื่อกระรอกดินตามสองพี่น้องเฟอเรทมาถึงประตูห้องครัว พวกมันก็จ้องมองมายังสองพี่น้องเฟอเรท กระรอกดินอ้วนยื่นขาที่ถูกทำร้ายออกมาพลางมองไปยังฉินสือโอวอย่างเศร้าสร้อย ขาอ้วนของมันยังคงมีเลือดแห้งแผ่นเล็กๆ ติดอยู่
วินนี่ช่วยกระรอกฆ่าเชื้อที่แผล สองพี่น้องเฟอเรทมองไปยังกระรอกดินตัวน้อยพลางแลบลิ้นเลียปากไปมา แบบนี้ฉินสือโอวจึงเข้าใจได้ทันที ว่าเจ้าสองตัวนี้หิวแล้วแน่นอน
………………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset