ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 1277 กะปิหวาน

หลังจากจัดการลูกสาวของเขาเรียบร้อยแล้ว ฉินสือโอวก็นั่งลงบนโซฟาและส่ายหัว การเลี้ยงลูกนั้นยากจริงๆ วินนี่ต้องเหนื่อยมากแน่ๆ
แม่ฉินทำอาหารเช้าเสร็จแล้วจึงเรียกเขามากินข้าว หลังจากที่ฉินสือโอวเห็นโจ๊กสีเหลืองๆ ส้มๆ และไส้กรอกชิ้นเล็กที่ทอดแล้ว ท้องและลำคอของเขาซึ่งสงบลงแล้วก็กลับมาปั่นป่วนอีกครั้งจนเขาแทบจะอ้วกลงบนโต๊ะ
เมื่อไม่รู้เรื่องไหนก็มักจะถามถึงเรื่องนั้น เมื่อพาชาวประมงออกทะเลในตอนเช้า ชาร์คก็ถามด้วยใบหน้าทะเล้นว่า “อาหารเช้าเป็นยังไงบ้างล่ะบอส? เปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกสาวตั้งแต่เช้าตรู่ น่าจะเรียกน้ำย่อยได้ดีเลยใช่ไหมครับ?”
“ฟัค ยู!”ฉินสือโอวชูนิ้วกลางใส่ “บ้าเอ๊ย นายรู้ได้ยังไงเนี่ย? เชอร์ลี่ย์โพสต์ทวีตบ้านั่นอีกแล้วเหรอ?”
แลนซ์ส่ายหน้า ฉินสือโอวก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ไม่ใช่ทวิตเตอร์ก็ดี ยังถือว่าเด็กนี่ยังมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอยู่”
แลนซ์จึงพูดขึ้นว่า “ไม่ใช่กัปตัน ที่ผมส่ายหัวคือ เธอไม่เพียงโพสต์ลงบนทวิตเตอร์เท่านั้น แต่ยังมีเฟซบุ๊กและเอ็มเอสเอ็นพวกนั้นด้วย” เขายังส่ายหัวต่อ “ทุกช่องทางที่คุณสามารถรู้ได้ เธอโพสต์ลงหมดเลย!”
“บ้าเอ๊ย!” ฉินสือโอวอดไม่ได้ที่จะสบถออกมา
และบูลก็พูดปลอบใจเขา “ไม่เป็นไรหรอกกัปตัน การเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็กมันก็น่าขยะแขยงแบบนี้ ทุกครั้งที่ผมเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกชายมันก็น่าขยะแขยงมากเหมือนกัน นี่เป็นเรื่องปกติ”
เมื่อดูอาการอยากจะอ้วกของบูลในเฟซบุ๊ก ฉินสือโอวก็รู้สึกดีขึ้นบ้างเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดถึงว่าลูกชายของบูลสามารถกินได้เยอะ เขาก็รู้สึกดีขึ้นกว่าเดิม
เขารู้สึกว่าตัวเองและบูลมีหัวอกเดียวกัน ชาวประมงคนอื่นๆ น่ะไม่มีทางเข้าใจหรอก เขาเลยถามขึ้นว่า “พวก ลูกชายใช้นายใช้ผ้าอ้อมยี่ห้ออะไร แล้วเป็นอย่างไรบ้าง?”
บูลเลยตอบว่า “ยี่ห้อมามี๊เบบี้น่ะ แต่มันอาจจะไม่เหมาะกับคุณ เพราะมีเด็กสองคนอยู่บนผ้าอ้อมด้วย ฮ่าๆ”
“ฟัค ยู!” ฉินสือโอวยกนิ้วกลางให้บูล
หลังฝนตกหนักหยุดลง ฟาร์มปลาต้าฉินยังคงต้องขนส่งลูกปลาออกไป และก็ยังมีคนส่งมาให้เขา ครั้งนี้ฟาร์มปลาแห่งหนึ่งของอ่าวเซนต์ลอว์เรนซ์ได้ส่งหอยนางรมจำนวนหนึ่งมา ฉินสือโอวไปรับพวกมันและเจ้าของฟาร์มปลานั้นก็ให้กุ้งตัวเล็กๆ แถมเพิ่มมาอีกหนึ่งถัง
ฉินสือโอวมองไปที่มันและพบว่าเป็นกุ้งกึ่งสุกกึ่งดิบที่ยังสดใหม่ มีขนาดเล็กมาก แต่คุณภาพดี มีผิวมันวาวและตัวอวบอ้วนเห็นได้ชัดเลยว่าเนื้อแน่นเต็ม
“นี่คือกุ้งแดงเหรอครับ? ดูไปแล้วก็ไม่เลวเลย ในฟาร์มปลาของผมก็มี” ฉินสือโอวยิ้ม
เจ้าของฟาร์มปลานั้นรีบส่ายหัวตอบทันที “เปล่าครับ นี่คือกุ้งน้ำเย็นอเมริกา มันเป็นกุ้งหวานอเมริกา รสชาติดีมากเลยล่ะ ผมแนะนำให้คุณลองชิม ฟาร์มปลาของผมเพาะเลี้ยงกุ้งพวกนี้ไว้ หากคุณสนใจพวกเราสามารถมาร่วมมือกันต่อไปได้นะครับ”
กุ้งน้ำเย็นสามารถรับประทานแบบดิบๆ ได้ เพราะกุ้งพวกนี้จะสุกแบบครึ่งๆ กลางๆ จึงสามารถรับประทานได้เลย
ฉินสือโอวไม่อยากที่จะปฏิเสธน้ำใจเลยหยิบไปกินหนึ่งตัว ก็สัมผัสได้ถึงหนังกุ้งที่ค่อนข้างนุ่มและเนื้อกุ้งที่เยอะมาก นอกจากนี้ยังมีกุ้งตัวอวบๆ รสชาติหวานนิดๆ ซึ่งมันดีจริงๆ
แต่การเพาะเลี้ยงกุ้งชนิดนี้ก็เหมือนกับการเพาะเลี้ยงกุ้งแดง เพิ่มเติมคือเป็นชั้นอาหารต่ำสุดสำหรับฟาร์มปลาซะมากกว่า ไม่ใช่เพื่อการจับไปขาย
แน่นอนว่า อเมริกาเหนือก็มีหลายที่มากที่ผลิตกุ้งพวกนี้ เช่นชายฝั่งทะเลตะวันตกของรัฐวอชิงตัน รัฐออริกอน และน่านน้ำแคลิฟอร์เนียตอนเหนือ ในเดือนเมษายนถึงเดือนตุลาคมของทุกปีจะสามารถตกได้หลายหมื่นตัน ซึ่งก็เปรียบเป็นโภคทรัพย์อีกอย่างได้เหมือนกัน
แต่ฉินสือโอวไม่ได้สนใจอะไร เพราะฟาร์มปลาของเขามีกุ้งแดงอยู่แล้ว จริงๆ แล้วกุ้งหวานอเมริกาก็คือกุ้งแดงแห่งมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ เพียงแต่พวกมันใช้ชีวิตอยู่ที่น่านน้ำทะเลแปซิฟิกเหนือก็เท่านั้น
เหมือนกับกุ้งแดง กุ้งชนิดนี้ตัวไม่ใหญ่ พอโตเต็มวัยก็มีน้ำหนักแค่สามสี่กรัม หนึ่งปอนด์ขายได้เพียงร้อยตัว มูลค่าทางเศรษฐกิจก็ค่อนข้างน้อย เวลาตกขึ้นมาขายส่วนมากก็เอาไปเป็นอาหารหมาแมวหรือไม่ก็เอามาเป็นเหยื่อล่อปลาในฟาร์มปลา
อีกทั้งกุ้งน้ำเย็นเติบโตช้าเป็นพิเศษ สี่ปีถึงจะสามารถตกได้ตามกำหนด แล้วเช่นนี้จะเพาะเลี้ยงไปทำไม
แต่ก็มีอีกความหมายหนึ่งซึ่งก็คือ ระยะเวลาการเติบโตของกุ้งชนิดนี้แปลกมาก ช่วงแรกสุดของพวกมันเป็นเพศผู้ ต่อมาก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเพศเมีย สุดท้ายถึงค่อยวางไข่และฟักไข่
ฉินสือโอวขอบคุณความหวังดีของเจ้าของฟาร์มปลาผู้นี้เป็นอย่างมาก แต่สุดท้ายเขาก็ยังไม่ได้สั่งพันธุ์กุ้งน้ำเย็น เอาเงินไปซื้อกุ้งแดงยังจะดีซะกว่า เจ้าตัวนี้ยังถูกกว่าเจ้าพวกนี้มากโข
หลังจากเจ้าของฟาร์มปลาเดินไป ถังกุ้งหวานนี้ก็ถูกทิ้งไว้ตรงนั้น
กุ้งหวานค่อนข้างเล็กไปหน่อย เอาไปทำอะไรกินก็ไม่อร่อย ถ้าจะเอาไปทอดหรือนึ่งกินก็ดูจะไม่เหมาะ ถ้าจะเททิ้งก็ดูจะเสียของเกินไป อีกอย่างนี่ก็เป็นความหวังดีของเจ้าของฟาร์มปลา ถ้าจะเททิ้งตรงๆ ก็จะดูไม่ดี
ฉินสือโอวจึงถามพวกชาวประมงว่ามีใครอยากได้ไหม โดยบอกว่านี่คือสวัสดิการจากฟาร์มปลา สุดท้ายพวกชาวประมงที่ฉลาดแกมโกงเลยพูดขึ้นว่าถ้าพวกเขาอยากกินกุ้งก็จะไปตกกุ้งล็อบสเตอร์ ใครจะไปอยากกินกุ้งตัวจ้อยแบบนี้กัน?
แลนซ์มองเขาที่ดูกลุ้ม แล้วพูดขึ้นว่า “หรือว่าคุณจะเอาไปทำเป็นกะปิก็ได้นะ สมัยก่อนตอนที่ผมทำงานที่เรือตกปลาลำหนึ่ง พวกเขาเป็นเรือตกกุ้งหวานเอามาทำเป็นกะปิโดยเฉพาะ จากนั้นก็นำไปขายให้ชาวจีน ผมจำได้ว่าพวกคุณชาวจีนชอบกินกะปิกันไม่ใช่เหรอ?”
พอได้ฟังที่แลนซ์พูด ฉินสือโอวพยักหน้าแล้วรู้สึกว่านี่ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ดูไม่เสียเปล่าดี
ตอนที่ฉินสือโอวอยู่ที่บ้านเกิดก็กินของสิ่งนี้ไม่น้อย และสำหรับบ้านเขาตอนเด็กๆ อาหารทะเลมีเพียงแค่สองชนิดเท่านั้น ชนิดหนึ่งคือสาหร่ายทะเล อีกชนิดก็หนึ่งคือกะปิ…
กะปิคืออาหารที่เกิดจากการหมักเก็บไว้ โดยระหว่างระยะเวลาที่หมักเก็บไว้โปรตีนจะย่อยสลายกลายเป็นกรดอะมิโน จึงทำให้มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ สามารถนำไปทำอาหารได้โดยตรงเลยหรือจะนำไปทำเป็นน้ำจิ้มเลยก็ยังได้
นอกจากนี้ มันยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมากอีกด้วย และปริมาณแคลเซียมของกุ้งจะกลายเป็นแคลเซียมที่มนุษย์สามารถดูดซึมเข้าไปได้ง่าย และไขมันก็เปลี่ยนเป็นกรดไขมัน ดังนั้นกะปิจึงสามารถเสริมโปรตีน แคลเซียม และกรดไขมันให้กับร่างกายได้ในเวลาเดียวกัน
พอคิดก็ลงมือทำเลย หลังจากกลับจากออกทะเลไม่มีอะไรทำพอดี ฉินสือโอวเลยหยิบถังกุ้งหวานกลับวิลล่า และหากระปุกสะอาดที่ว่างจากการทำไข่เป็ดเค็มมาเริ่มทำ
การทำสิ่งนี้ไม่ยาก หลังจากเขาล้างกุ้งจนสะอาดแล้วก็เอาไปใส่ไว้ในกะละมังเหล็ก จากนั้นก็ใส่เกลือลงไป
กุ้งหวานอุดมไปด้วยโปรตีนและไขมัน ทำให้เชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตได้ง่าย ดังนั้นจึงต้องใส่เกลือจำนวนมาก โดยให้ใส่ประมาณห้าเปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัวกุ้ง
คลุกเคล้าให้ทั่ว จากนั้นฉินสือโอวก็เรียกอีวิลสันที่กำลังเบื่อๆ อยู่เข้ามา แล้วให้เขาใช้ไม้กระบองตำกุ้งหวานให้ละเอียด
รอหลังจากที่มันเหนียวจนถึงที่สุด ฉินสือโอวก็ใส่ถั่วลิสงบด เมล็ดเอไนส์ พริกไทยเสฉวน อบเชย ซีอิ๊วขาวและน้ำมันงาจำนวนมากลงไป และให้อีวิลสันคนให้เข้ากันต่อ
ตำจนมันกลายเป็นน้ำจิ้มที่เหนียวข้นมากๆ ถึงจะถือว่าใช้ได้ ฉินสือโอวบรรจุกะปิลงในไห และใช้พลาสติกคลุมอาหารคลุมไว้อย่างมิดชิด จากนั้นก็เอาไปวางไว้ในห้องแล้วปัดมือและพูดขึ้น “โอเค ผ่านไปสักพักก็เอามากินได้แล้ว”
อีวิลสันลองเอามาแตะๆ ลิ้น และพูดขึ้น “ไม่เห็นอร่อยเลย โคตรเค็ม!”
ฉินสือโอวหัวเราะออกมา เจ้าคนนี้ไม่ว่าจะอะไรก็ต้องลองชิมก่อน ถ้าคำว่า ‘ไม่อร่อย’ ได้หลุดออกมาจากปากเขาแล้วล่ะก็ ต้องเป็นเรื่องที่รับมือได้ยากแน่ๆ
ก่อนหน้านั้น ฉินสือโอวแค่นึกว่าสำหรับอีวิลสันแล้ว มีแค่ของที่กินได้กับกินไม่ได้สองอย่างเท่านั้น ที่แท้เขาก็มีของที่ชอบกินกับไม่ชอบกินอยู่ด้วยนี่เอง
แต่ฉินสือโอวไม่เชื่อในจุดจุดนี้ เขาเลยพูดขึ้น “สิ่งนี้มันไม่ได้ให้กินเลย มันเอาไว้ทำกับข้าว รอดูนะอีวิลสัน ฉันจะใช้มันทอดซี่โครงหมู รสชาติอร่อยอย่าบอกใครเลยล่ะ”
พอได้ฟังเขาพูดแล้ว อีวิลสันก็มองไปยังไหอย่างรอคอย และพูดว่า “วันนี้กินได้เลยไหม?”
“ไม่ได้สิ” ฉินสือโอวหัวเราะ “อันนี้มันต้องใช้เวลาหมักนะ”
“แล้วพรุ่งนี้กินได้หรือยัง?”
“ก็ยังไม่ได้อยู่ดี ต้องรอประมาณสิบกว่าวันนู้น”
อีวิลสันถอนหายใจอย่างผิดหวัง แล้วถามว่า “แล้วเย็นนี้กินอะไรล่ะ?”
………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset