ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 1299 เริ่มการถ่ายทำโฆษณา

ตอนที่ได้รับโทรศัพท์เชิญให้ไปร่วมงานนี้ ฉินสือโอวนึกว่าพวกเขาโทรผิด หรือไม่ก็มีใครมาแกล้งเขาแน่เลย
“คุณฉิน งานแข่งวิ่งเปลือยอ่าวเรืออับปางที่จัดขึ้นปีละครั้งจะทำการจัดงานขึ้นที่อ่าวเรืออับปางวันหยุดสุดสัปดาห์แรกในเดือนหน้า หลังจากการคัดสรรแล้ว ทางเราอยากจะเชิญคุณเข้าร่วมด้วย ไม่ทราบว่าคุณสนใจไหมครับ”
ตอนที่ได้ฟังคำพูดนี้แล้ว ท่านชายฉินมีท่าทีอึ้งไปเลยทีเดียว อะไรนะ? วิ่งเปลือย? ทำไมเรื่องนี้ถึงมาเกี่ยวข้องกับเขาได้ล่ะ?
เขานึกว่ามีคนแกล้งเขา จึงตัดสายไปในทันที แต่ตอนทานอาหารค่ำที่เขายกเรื่องนี้มาพูดขำๆ นั้น ผู้คนบนโต๊ะต่างพากันมองไปที่เขาด้วยสายตาประหลาดใจ
“ทำไมเหรอ มีอะไรผิดปกติหรือไง?” ฉินสือโอวถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
วินนี่กลั้นหัวเราะไว้แล้วพูดว่า “ไม่ค่ะ ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ แต่ฉันคิดว่าเรื่องนั้นไม่ได้มีใครแกล้งคุณหรอก พวกเขาพูดจริงค่ะ การแข่งวิ่งเปลือยที่อ่าวเรืออับปางเป็นหนึ่งในการวิ่งการกุศลที่มีอิทธิพลมากที่สุดของเมืองแวนคูเวอร์ เรียกได้ว่ามีอิทธิพลมากเทียบเท่ากับงานวิ่งการกุศลในอ่าวเหิงตู้ที่คุณเคยเข้าร่วมเลย ที่พวกเขาโทรมาหาคุณ น่าจะเพราะอยากให้คุณไปวิ่งนำนะคะ”
ฉินสือโอวเกาหัว แล้วถามว่า “มีคนไปเข้าร่วมการแข่งแบบนี้จริงเหรอ?”
“คนเข้าร่วมมีไม่น้อยเลยค่ะ ครั้งนี้น่าจะเป็นการจัดงานครั้งที่ 19 แล้วมั้งคะ? ปีที่แล้วก็มีคนเข้าร่วมอย่างน้อยหนึ่งร้อยคนแล้ว โด่งดังมากเลย” วินนี่อธิบายให้เขาฟัง
ฉินสือโอวกินข้าวไปพลางหยิบมือถือขึ้นมาค้นหาข้อมูลไปพลาง ข่าวเกี่ยวกับการแข่งขันนี้มีเยอะมาก เห็นได้ชัดว่ามีอิทธิพลมากจริงๆ
ในเมื่อไม่ได้เป็นแก๊งต้มตุ๋นหรือพวกโทรมาก่อกวน ฉินสือโอวจึงโทรกลับไปตามมารยาท พร้อมกับถามให้กระจ่างว่าทำไมกิจกรรมนี้ถึงติดต่อเขามาด้วย? มันแปลกมากจริงๆ
คนที่โทรหาเขาเมื่อตอนกลางวันคือผู้จัดงานหลัก จูดี้ วิลเลียมส์ พอได้รับโทรศัพท์จากฉินสือโอวแล้วเขาก็ดีใจมาก ถึงขั้นนึกว่าฉินสือโอวยินดีที่จะเข้าร่วมเสียอีก แต่ท่านชายฉินก็แค่อวยพรให้กับการแข่งขันของพวกเขา แล้วบอกว่าอาทิตย์หน้าเขางานยุ่งมาก และปฏิเสธคำเชิญไปอย่างสุภาพ
ในตอนท้ายฉินสือโอวก็ได้ยกสิ่งที่คาใจขึ้นมาถาม เขาอยากรู้ว่าทำไมงานนี้จึงคิดจะเชิญเขาไปร่วมงานด้วย
วิลเลียมส์อธิบายว่า เหตุผลที่เชิญเขานั้นเกี่ยวเนื่องกับวัตถุประสงค์ของการแข่งขันนี้ การจัดกิจกรรมขึ้นในครั้งนี้ก็เพื่อเป็นการรณรงค์วิธีการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ให้ทุกคนใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติอย่างเป็นมิตร หรือมีความหมายว่าให้ออกกำลังโดยร่างกายที่ถือกำเนิดมานั่นเอง
และเนื่องจากท่านชายฉินคือคนที่มีฟาร์มปลาที่สวยและใหญ่ที่สุดในแคนาดาตะวันออก บวกกับที่เขาจัดตั้งพื้นที่อาศัยเพื่ออนุรักษ์เต่ามะเฟือง ทำให้ถูกมองว่าลักษณะการใช้ชีวิตนี้เข้ากับวัตถุประสงค์ในการจัดงานครั้งนี้ ดังนั้นทางทีมผู้จัดจึงได้เชิญเขาไปร่วมงานด้วย
และเป็นอย่างที่วินนี่คาดเดาไว้ ทีมผู้จัดอยากเชิญให้เขาไปวิ่งนำ ระยะทางในการแข่งขันคือ 5 กิโลเมตร ผู้เข้าร่วมการแข่งขันจะถูกแบ่งโดยอายุออกเป็น 8 กลุ่ม ก็คือกลุ่มอายุต่ำกว่า 12 ปี กลุ่มอายุ 13 ถึง 16 ปี กลุ่มอายุ 17 ถึง 25 ปี กลุ่มอายุ 26 ถึง 35 ปี กลุ่มอายุ 36 ถึง 45 ปี กลุ่มอายุ 46 ถึง 55 ปี กลุ่มอายุ 56 ถึง 65 ปี และกลุ่มอายุมากกว่า 66 ปีขึ้นไป
ในทุกกลุ่มเล็กๆ นี้จะมีคนนำวิ่งหนึ่งคน คนนำวิ่งสามารถทำตามกติกาของงานคือวิ่งเปลือย หรือจะใส่เป็นเสื้อกีฬาธรรมดาก็ได้
แต่ฉินสือโอวก็ยังคงปฏิเสธไป แค่คิดภาพว่าเขาวิ่งอยู่ข้างหน้า ส่วนข้างหลังก็คือหนุ่มๆ ที่เปลือยวิ่งตามอยู่ แค่คิดก็ขนลุกแล้ว
นอกเหนือจากนั้นเขาก็ไม่ได้โกหก ช่วงนี้เขามีงานไม่น้อยเลยจริงๆ หลังจากที่บัตเลอร์นำปลาโอแถบแห้งกับอาหารทะเลจากไปแล้ว ก็มีคนจากบริษัทอาหารสัตว์เลี้ยงแอนนาแมร์มาหา อยากให้หู่จือกับเป้าจือไปถ่ายภาพโฆษณา เพื่อเป็นการวอร์มอัพ เสร็จแล้วก็จะเริ่มถ่ายโฆษณาทันที
ผู้นำทีมที่ทางบริษัทแอนนาแมร์ส่งมาก็ยังคงเป็นเอริก้า มัวริส ดูท่าว่าพวกเขาจะให้ความสำคัญกับหู่จือและเป้าจือจริงๆ เพราะหลังจากนั้นขอแค่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการถ่ายทำโฆษณา ก็จะให้ผู้จัดการทั่วไปของสาขาในแคนาดาเอริก้าเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด
ทีมงานถ่ายทำนำอุปกรณ์มาให้หู่จือกับเป้าจือมากมาย ผู้ชายที่มัดผมหางม้าและเจาะหูไว้หลายๆ รูคนหนึ่งมาหาฉินสือโอว แล้วถามว่า “ไม่ทราบว่า คุณช่วยทำให้สุนัขของคุณร่วมมือโดยให้พวกมันสวมเสื้อที่เตรียมไว้ให้ได้ไหมครับ?”
ฉินสือโอวดูอุปกรณ์พวกนี้ทีหนึ่ง แล้วพูดว่า “ไม่มีปัญหา ความจริงแล้วนะ เพื่อน ไม่ต้องให้ผมช่วยหรอก พวกคุณไปแต่งตัวให้พวกมันได้เลย ผมกล้ารับรองว่าพวกมันต้องให้ความร่วมมือแน่นอน”
หู่จือกับเป้าจือตอนนี้กลายเป็นแลบราดอร์เต็มตัวแล้ว ร่างกายแข็งแรงกำยำ ไม่เหมือนกับแลบราดอร์ทั่วไปที่ร่างกายค่อนข้างผอมเล็ก กล้ามเนื้อบนตัวพวกมันแน่นมาก ขาทั้งสี่ก็ใหญ่กว่าแลบราดอร์ทั่วไปถึงหนึ่งเท่า ไม่แปลกที่คนไม่คุ้นเคยจะรู้สึกกลัวพวกมัน
ทีมงานถ่ายทำที่บริษัทแอนนาแมร์จ้างมามีช่างแต่งหน้าสองคน พวกเขามาขอให้มัดหู่จือกับเป้าจือไว้ พร้อมกับใส่ที่ครอบปากให้พวกมัน เพื่อป้องกันไม่ให้พวกมันกัดคน
ฉินสือโอวไม่อยากทำแบบนี้ จึงพูดว่า “ผมบอกไปแล้วนะเพื่อน ผมกล้ารับประกัน สุนัขของผมไม่ทำอะไรพวกคุณหรอก พวกมันอยู่นิ่งๆ ให้พวกคุณแต่งตัวให้แน่นอน โอเค?”
ชายมัดผมหางม้าหรือก็คือผู้กำกับยักไหล่ แล้วพูดว่า “ไม่ใช่ว่าพวกผมไม่เชื่อคุณนะครับ คุณผู้ชาย แต่เรื่องแบบนี้ใครจะรู้ว่าจะเกิดเหตุสุดวิสัยอะไรหรือเปล่า? ดังนั้นพวกเรามาร่วมมือกันหน่อยได้ไหมครับ?”
ฉินสือโอวไปหาเอริก้า แล้วพูดว่า “คนของคุณจะมัดหู่จือกับเป้าจือไว้เหรอครับ? ขอโทษนะครับ จุดนี้ผมทำให้ไม่ได้ พูดตามตรงนะครับ ตั้งแต่ผมเลี้ยงเจ้าเด็กสองตัวนี้มา ยังไม่เคยมัดพวกมันมาก่อนเลย แม้ว่าจะไปขึ้นศาลก็เถอะ ก็ไม่เคยมัดพวกมันเลยสักครั้ง”
จุดนี้เขาไม่กลัว เพราะตอนที่เซ็นสัญญากันได้มีการเพิ่มสัญญาไปอีกหนึ่งข้อ ก็คือฉินสือโอวมีสิทธิ์ชี้ขาดในการถ่ายทำโฆษณา หากเขารู้สึกว่าการถ่ายทำนี้เป็นการทำร้ายหู่จือกับเป้าจือ อย่างนั้นก็สามารถไม่ถ่ายทำได้
บรรยากาศอึดอัดขึ้นมาในทันที ทีมงานไม่ยอมเข้าใกล้หู่จือกับเป้าจือหากไม่มัดพวกมันไว้ หากถูกกัดขึ้นมาจะทำอย่างไร? ปัจจุบันโรคพิษสุนัขบ้ายังคงเป็นเรื่องรุนแรงอยู่ อัตราการเสียชีวิตสูงกว่าโรคเอดส์ด้วยซ้ำ
เอริก้าจึงทำได้แต่ไกล่เกลี่ยให้ เธอนำข่าวที่ลงเรื่องของหู่จือกับเป้าจือให้ทีมถ่ายทำดู ในรูปพวกนี้หู่จือกับเป้าจือก็ไม่เคยถูกมัดเลยจริงๆ
เมื่อเป็นแบบนี้ทีมถ่ายทำจึงจำใจต้องตกลง ช่างแต่งหน้าสองคนเข้าไปหาหู่จือที่ดูสงบก่อน หู่จือนั่งหาวอยู่บนพื้นหญ้าอย่างเบื่อหน่าย แต่ทว่าแค่มันเพิ่งจะอ้าปากเท่านั้น ช่างแต่งหน้าสองคนก็รีบโยนอุปกรณ์ทิ้งแล้วหันหลังวิ่งไปเลยทันที
หู่จือมองไปที่ทั้งสองคนด้วยสายตาดูถูก แค่หาวเท่านั้นเอง ไม่ได้จะกินคนสักหน่อย เจ้าพวกปอดแหกจะกลัวอะไรนักหนา?
ผู้กำกับเองก็มองทั้งสองคนด้วยสายตาดูถูกเช่นกัน ก็เขาเป็นคนยืนพูดนี่จึงไม่ปวดเอว (เปรียบกับคนที่ไม่ลงมือทำเองจึงพูดได้) จากมุมมองของเขาแล้ว หู่จือไม่ได้มีทีท่าว่าจะจู่โจมหรือต่อต้านเลย ก็แค่หาวเท่านั้นเอง
ช่างแต่งหน้าสองคนเข้าไปใกล้อีกครั้ง คนหนึ่งลองเชิงโดยการผูกเนกไทให้หู่จือ หู่จือคุ้นเคยกับของแบบนี้อยู่แล้ว เพราะวินนี่เคยแต่งตัวให้พวกมันแบบนี้ตั้งแต่ปีที่แล้ว
ตอนที่ช่างแต่งหน้าหยิบเนกไทขึ้นมา มันก็ยกหัวชูคอให้เขาผูกให้ ส่วนอีกคนที่หยิบแว่นกันแดดสำหรับสุนัขมาสวมให้มัน มันก็ไม่มีการต่อต้านใดๆ เช่นกัน
ช่างแต่งหน้าทั้งสองคนจึงวางใจได้ในที่สุด และเริ่มทำการแต่งตัวให้มันเต็มรูปแบบ รวมทั้งการโปะแป้งกลิตเตอร์ให้มันด้วย การทำแบบนี้จะทำให้ขนของสุนัขดูสวยขึ้นกว่าเดิม
ผู้กำกับผมหางม้าพูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจว่า “สุนัขสองตัวนี้เชื่องจริงๆ เหมือนกับที่ในข่าวพูดไว้เลย พวกมันฉลาดมากอย่างคาดไม่ถึง หรือว่าในยุคสมัยหน้าผู้นำของโลกจะเป็นคนจากดาวสุนัข?”
ฉินสือโอวหัวเราะ หู่จือกับเป้าจือไม่เชื่องสิแปลก พวกมันสองตัวชอบอวดตัวเป็นที่สุด มีคนมาแต่งหน้าแต่งตัวให้พวกมันแบบนี้ พวกมันจะไม่ร่วมมือได้อย่างไร?
…………………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset