ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 1306 ลอยขึ้นไป

การล่าแมงกะพรุนขนสิงโตขั้วโลกเหนือมาเป็นอาหารของคราเคน ทำให้ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกของฉินสือโอวที่ว่าการปล่อยฉลามหางยาวไปเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ตอนแรกเขาคิดจะให้พวกชาวประมงมาลงมือจัดการพวกมันเพราะแมงกะพรุนขนสิงโตขั้วโลกเหนือส่งผลกระทบต่อการอยู่เป็นของฝูงปลาในฟาร์มปลา
แต่สุดท้ายกลายเป็นว่า พวกชาวประมงไม่ต้องลงมือกันเองแล้ว เพราะคราเคนจะกินพวกมันเอง เท่ากับยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
การจับแมงกะพรุนขนสิงโตขั้วโลกเหนือเป็นงานที่เปลืองแรงอย่างมาก ตามปกติแล้วจะต้องให้บริษัทกู้เรือในมหาสมุทรมาจัดการ เพราะพวกมันตัวใหญ่ และมีน้ำหนักมาก จำเป็นต้องใช้เรือลำใหญ่ที่มีแรงม้ามากๆ จึงจะสามารถจับพวกมันขึ้นมาได้
ฉินสือโอวคิดว่าจะใช้งานเรือปริ้นเซสเมล่อน เพราะในบรรดาเรือหาปลาก็มีแต่เรือลำนี้นี่แหละที่มีแรงมากพอจะจับแมงกะพรุนขนสิงโตขึ้นมาได้
แต่ว่าตอนนี้ไม่จำเป็นแล้ว ด้วยกระเพาะของคราเคนแล้ว อย่างไรก็ต้องจัดการแมงกะพรุนขนสิงโตพวกนี้ได้หมดแน่นอน
ฉินสือโอวเรียกจิตสำนึกแห่งโพไซดอนกลับมา จากนั้นก็โล่งใจราวกับได้ยกภูเขาออกจากอกแล้ว
วินนี่กอดเขาไว้ แนบใบหน้าเรียวยาวไว้บนอกเขาแล้วพูดเสียงสะลึมสะลือว่า “มีอะไรเหรอคะ? รู้สึกว่าทุกครั้งที่คุณนอนอยู่บนเตียง อารมณ์ไม่ค่อยปกติเลย”
ฉินสือโอวยิ้มๆ ลูบเส้นผมที่นุ่มลื่นของเธอ แล้วพูดว่า “ผมชินกับการนอนอยู่บนเตียงแล้วใช้ความคิดน่ะ นอนเถอะที่รัก พรุ่งนี้ตื่นเช้าหน่อยดีไหม ผมมีเซอร์ไพรส์เล็กๆ ให้คุณด้วย”
“คุณพูดแบบนี้แล้วจะให้คนอื่นนอนได้อย่างไรคะ? เซอร์ไพรส์อะไรคะ? บอกฉันมาเถอะ”
“บอกไปแล้วจะเซอร์ไพรส์เหรอ จะบอกคุณได้อย่างไร? นอนเถอะ”
“ไม่ได้ ฉันนอนไม่หลับแล้ว รีบพูดๆ เซอร์ไพรส์อะไรคะ? ถ้าไม่พูดคุณก็อย่าหวังว่าจะได้นอนเลย” วินนี่พูดจบ ก็ยิ้มแล้วยื่นมือไปลูบเขา
ฉินสือโอวตื่นตัวขึ้นมาทันที ความจริงเขาก็ไม่ค่อยง่วงอยู่แล้ว จึงลุกขึ้นมาแล้วพูดว่า “เอ้อ ไม่ง่วงแล้วใช่ไหม? อยากได้เซอร์ไพรส์ใช่ไหม? มา ผมจะทำให้คุณเซอร์ไพรส์เอง คุณอยากได้แบบลิงอุ้มแตงหรือว่าด็อกกี้ หรือว่าท่าที่รักจ๋า…”
เวลาตีสี่ ฉินสือโอวตื่นก่อนเวลา ปกติเขาจะตื่นมาตอนตีห้าจากนั้นก็ไปออกกำลังกายและทำอาหารเช้า
เขาลงจากเตียงเงียบๆ เปิดม่านดู ข้างนอกยังมืดอยู่เลย คงอีกประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าฟ้าจะสาง
ใส่เสื้อเสร็จแล้วเดินลงมาชั้นล่าง ฉินสือโอวกำลังออกประตูไปเท่านั้น หู่จือเป้าจือก็กระดิกหางแล้วเดินตามมาด้วยท่าทางขี้เกียจ พี่น้องเฟอเรทยังนอนกอดกันกลมอยู่ มองดูแล้วราวกับว่าพวกเฟอเรทน้อยจะไม่มีความรู้สึกปลอดภัยเลย
คนในฟาร์มปลามีคนที่ตื่นเช้ากว่าเขาอีก เบิร์ด นีลเซ็น ออสเปร ทุกคนตื่นกันหมดแล้ว และกำลังทำงานกันอยู่ตรงสนามบิน พวกเขานำถุงบอลลูนมาต่อเข้ากับตะกร้า จากนั้นก็เทปิโตรเลียมเข้าไปในท่อ พร้อมกับตรวจเช็กความปลอดภัย
ฉินสือโอวขับรถเอทีวีออกไปที่ชายทะเล ตรงแถวทะเลน้ำตื้นมีแสงสีฟ้าส่องประกายระยิบระยับอยู่เป็นจุดๆ ราวกับดวงดาวที่ตกลงไปในทะเลอย่างไรอย่างนั้น
แน่นอนว่า แสงระยิบระยับเล็กๆ พวกนี้ความจริงแล้วคือแมงกะพรุนเวเลลลาต่างหาก พวกมันออกหากินตอนกลางคืน จากนั้นก็จะดำลงไปในทะเลก่อนฟ้าสาง เพื่อหลบหนีแสงอาทิตย์ที่สามารถคร่าชีวิตพวกมันได้
ริมทะเลมีความชื้นในอากาศสูง ตอนที่ฉินสือโอวขับรถไปถึงสนามบิน บนตัวเขาเปียกชุ่มไปหมด เบิร์ดโยนผ้าขนหนูให้เขาผืนหนึ่งแล้วพูดว่า “การอาศัยอยู่ริมทะเลก็มีจุดนี้แหละที่ไม่ดี ใช่ไหมครับ?”
ข้างๆ เขามีกาต้มกาแฟที่กำลังต้มอยู่ ฉินสือโอวรินกาแฟให้ตัวเองแก้วหนึ่งมาดื่ม แล้วพูดว่า “มีได้มีเสีย เพื่อน อากาศแบบนี้ได้ดื่มกาแฟแก้วหนึ่งแล้วรู้สึกดีจะตาย นายไม่มีทางหาความรู้สึกแบบนี้ได้จากในทะเลทรายหรอกนะ”
งานเตรียมการของบอลลูนเสร็จสิ้นแล้ว นีลเซ็นขับรถเติมลมเข้ามา เสียงเครื่องยนต์เดินเครื่อง ‘หึ่มๆๆ’ ถุงลมที่แบนราบนั้นเริ่มพองตัวขึ้นมา
งานเตรียมการนี้จะต้องทำจนถึงหกโมงจึงจะใช้งานได้ ถุงลมของบอลลูนที่ใหญ่โตได้ลอยขึ้นมาแล้ว เบิร์ดจำเป็นต้องนำมันไปมัดไว้กับรถกระบะแร็ปเตอร์ไว้ ไม่อย่างนั้นคงจะลอยออกไปพร้อมกับตะกร้าแล้วเป็นแน่
พวกวินนี่สามารถมองเห็นบอลลูนได้จากที่พัก หลังจากเธอเตรียมอาหารเช้าเสร็จแล้วก็โทรศัพท์มาถามว่า “นี่ก็คือเซอร์ไพรส์ที่คุณพูดถึงเหรอคะ?”
ฉินสือโอวหัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่ นี่น่ะเป็นแค่จุดเริ่มต้นของเซอร์ไพรส์”
วินนี่นำอาหารเช้ามาด้วย ฉินสือโอว นีลเซ็น และเบิร์ดกินอาหารไปพลางคุยกันไปพลาง หลังจากกินเสร็จทำงานเสร็จแล้ว ฉินสือโอวให้วินนี่ขึ้นไปบนบอลลูน ถามว่า “คุณเคยนั่งเจ้านี่ไหม?”
วินนี่ส่ายหัวเม้มปากแล้วยิ้มออกมา “ไม่ค่ะ ไม่เคยนั่งเลย ฉันรู้สึกว่ามันอันตราย ฉันเกลียดอันตราย”
เบิร์ดและออสเปรเป็นคนขับ นีลเซ็นไปช่วยด้วย ฉินสือโอวกับวินนี่ขึ้นไปบนตะกร้า เขาพูดว่า “วางใจได้ ความปลอดภัยของบอลลูนของเราไม่มีปัญหาแน่นอน มาเถอะ พวกเราไปใช้ชีวิตวันหยุดสุดสัปดาห์บนฟ้ากันเถอะ”
พวกหู่เป้าฉงหลัวก็วิ่งเข้ามาอย่างตื่นเต้นดีใจ เมื่อเห็นฉินสือโอวและวินนี่เข้าไปในห้องนิรภัยบนตะกร้าแล้ว พวกมันก็อยากกระโดดขึ้นไปบ้าง
ฉินสือโอวกลัวว่าเจ้าพวกนี้อยู่บนฟ้าแล้วจะกลัวความสูง จึงไม่ได้ให้พวกมันขึ้นไป แต่สุดท้ายตอนที่บอลลูนลอยขึ้นฟ้าไปแล้ว เขาหันกลับไปมองทีหนึ่งก็เห็นพี่น้องเฟอเรทกำลังเล่นกันอยู่ตรงมุมเฉยเลย
“ชิท เจ้าสองตัวนี้คล่องแคล่วขนาดนี้เลยเหรอ?” ฉินสือโอวปวดขมับ
นีลเซ็นกล่าว “บอส โยนลงไปตอนนี้ยังทันนะครับ เฟอเรทสามารถทำเหมือนกระรอกที่ใช้หางลดแรงกระแทกได้ สูงแค่สามสี่เมตรเอง พวกมันไม่ตายหรอกครับ”
บอลลูนที่ลอยขึ้นไปในตอนนี้พึ่งแต่แรงลอยตัวของตัวมันเองเท่านั้น เบิร์ดยังไม่ได้จุดไฟ ทำให้ไม่มีความร้อนพุ่งออกไปด้านนอก ตอนเช้าแสงแดดอบอุ่น การอยู่ในตะกร้าที่มีห้องนิรภัยอยู่นั้นถือว่าสบายไม่เบาเลย
พี่น้องเฟอเรทไม่ยอมอยู่นิ่ง พวกมันอยู่ตรงมุมกันสักพัก ก็กระโดดขึ้นไปบนโต๊ะเล็กๆ ตัวหนึ่งแล้วมองออกไปด้านนอกตะกร้า
บอลลูนลอยขึ้นไปบนฟ้าอย่างช้าๆ ภาพทิวทัศน์บนพื้นดินปรากฏเข้ามาสู่สายตาของฉินสือโอว
เริ่มจากสนามบินก่อน แน่นอนว่าตอนที่บอลลูนลอยขึ้นมาสิบกว่าเมตรก็สามารถมองเห็นสนามบินทั้งหมดแล้ว เฮลิคอปเตอร์ เครื่องบินบรรทุกสินค้าและรถอีกหลายคันที่จอดอยู่บนสนามบินเริ่มเล็กลงเรื่อยๆ
จากนั้นก็คือฟาร์มปลา หน้าตาทั้งหมดของฟาร์มปลาปรากฏออกมาแล้ว ฉินสือโอวมองลงไปยังถิ่นของตัวเองจากบนฟ้า มองดูนาแต่ละผืน สวนผัก โรงเพาะเลี้ยง ท่าเรือและยังมีสวนดอกไม้ที่พึ่งออกแบบเสร็จแล้ว เขารู้สึกภูมิใจอย่างมาก
แน่นอนว่าตอนที่บอลลูนลอยขึ้นไปสี่ห้าสิบเมตร ก็สามารถเห็นหน้าตาของเกาะได้ทั้งเกาะจากบนบอลลูนด้วย
ฤดูร้อนของเกาะแฟร์เวลอุดมสมบูรณ์มาก แสงอาทิตย์สีทองส่องประกายไปบนเกาะ ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลายเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
ตอนเช้าไม่มีลม นานๆ ทีที่ผิวน้ำของทะเลสาบเฉินเป่าจะสงบแบบนี้ แสงอาทิตย์ที่สาดส่องไปบนนั้นเปล่งแสงสีทองอ่อนๆ ออกมาด้วย
นีลเซ็นยื่นกล้องส่องทางไกลให้ฉินสือโอว เขาใช้มันส่องไปในเมือง เห็นคนคุ้นเคยไม่น้อย ฮิวจ์กำลังโบกมือให้บอลลูนอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ ฉินสือโอวก็โบกมือด้วย นีลเซ็นมองไปที่เขาอย่างงงวยแล้วพูดว่า “บอสครับ ไม่ว่าคุณจะทำอะไรตรงนี้ คนในเมืองก็มองเห็นไม่ชัดหรอกนะครับ”
ฉินสือโอวพูดออกไปว่า “ฉันไม่ได้ให้คนในเมืองดูสักหน่อย แต่เป็นการทำให้ใจตัวเองดูต่างหาก”
ออสเปรมองไปที่เบิร์ดอย่างแปลกใจ แล้วถามว่า “เพื่อน นี่มันหมายความว่าอย่างไร? ฉันเรียนมาน้อย ฟังไม่เข้าใจเลย”
เบิร์ดยักไหล่แล้วพูดว่า “ไม่ต้องใส่ใจหรอก คนที่นั่งบอลลูนครั้งแรกก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น เขาคงตื่นเต้นจนบังคับแขนขาไม่อยู่ล่ะมั้ง”
ฉินสือโอวมองไปที่ทั้งสองอย่างโกรธเคือง วินนี่หัวเราะออกมา แล้วพูดอย่างอารมณ์ดีว่า “นี่ ตอนนี้คุณไม่กลัวความสูงแล้วเหรอคะ?”
ฉินสือโอวพูดว่า “ผมเคยกลัวความสูงตั้งแต่ตอนไหนกัน?”
วินนี่ยักไหล่ ยิ้มๆ แล้วพูดว่า “นั่นสิคะ ไม่รู้ว่าใครนะที่ตกใจจนฉี่แทบราดกางเกงบนเครื่องบินน่ะ”
ฉินสือโอวพูดว่า “ทำไมคุณไม่คิดว่าผมทำเพื่อจะได้ใกล้ชิดคุณล่ะ?”
วินนี่เดินเข้ามายื่นมือไปลูบหน้าของเขา แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “หากว่าคุณมีมารยาขนาดนั้นแล้วล่ะก็ งั้นคุณก็คงกลายเป็นคาสโนว่าโสดลอยไปลอยมาไปนานแล้ว”
………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset