ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 1330 การเปลี่ยนแปลงของเมืองเล็ก

ช่วงบ่ายฉินสือโอวขับรถฟอร์ดเอฟ 650 ที่แสนดุดันของเขาเข้าไปในเมือง เขาไม่ได้เข้าไปในเมืองมาสักพักหนึ่งแล้ว เนื่องจากฟาร์มปลาเป็นเหมือนโลกใบเล็กๆ ของเขาไปแล้ว ไม่ว่าอะไรก็มีครบ
หลังจากมาถึงในเมืองแล้ว เขาก็ต้องตกตะลึงเพราะพบว่าภายในช่วงเวลาหนึ่งเมืองเล็กๆ แห่งนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือ เมื่อเขาขับรถมาถึงถนนในเมือง ก็มีรถม้าคันหนึ่งวิ่ง ‘กุบกับกุบกับ’ เข้ามาหา!
“ชิท!” ฉินสือโอวพึมพำคำสบถด้วยความเคยชิน เขาหักพวงมาลัยรถด้วยความเร่งรีบ รถฟอร์ดจึงสามารถอ้อมผ่านรถม้าไปได้
ทว่าม้าควอเตอร์ที่ลากรถอยู่ก็ยังคงก้าวเดินต่ออย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อน ขายาวๆ ของมันก้าวเป็นจังหวะ เมื่อกีบเท้าแตะเข้ากับพื้นถนนก็จะส่งเสียง ‘กุบกับกุบกับ’ ออกมาอย่างเด่นชัด
ฉินสือโอวลดกระจกรถลง จึงเห็นว่ามีคนกำลังยื่นหัวออกมาจากบนรถม้าเพื่อส่งยิ้มให้เขา มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นคนรู้จักกัน เป็นชาวเมืองที่มักจะเจอกันบ่อยๆ ตอนไปดื่มเหล้านั่นเอง
“เกือบจะชนรถม้าของฉันแล้วนะ” คนคนนั้นพูดพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง
ฉินสือโอวกลอกตาแล้วตอบกลับไปว่า “นายทำตัวกร่างเกินไปแล้วนะ เมื่อกี้นี้ไม่ยอมเปิดทางให้ฉันเลยได้ยังไงกัน!”
คนขี่ม้าหัวเราะฮ่าๆ พร้อมกับสะบัดบังเหียน รถม้ายังคงแล่นตรงไปข้างหน้า นี่คือรถม้าแบบเปิดโล่ง ค่อนข้างคล้ายกับรถม้าแบบคลาสสิกบนท้องถนนในยุโรปช่วงศตวรรษที่สิบเจ็ด ผู้โดยสารจะหันหน้าไปทางด้านหลัง
ฉินสือโอวขับรถไปข้างหน้าอย่างช้าๆ หลังจากนั้นเขาก็ได้พบกับรถม้าอีกคัน คราวนี้เป็นรถม้าแบบมีหลังคาปิดอย่างมิดชิด เป็นประเภทที่มีสี่ล้อ หน้าต่างทั้งสองฝั่งมีสีสันสวยงาม ผู้โดยสารข้างในกำลังโยกคลอนไปมา แต่ก็ยังยื่นกล้องถ่ายรูปออกมาถ่ายรถกระบะของฉินสือโอวเอาไว้
เห็นได้ชัดว่า ผู้โดยสารที่อยู่ข้างในคงจะเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนนั่นเอง เนื่องจากรถฟอร์ดเอฟ 650 ยังไม่เข้าสู่ตลาดในประเทศจีน คนรักรถกระบะทั้งหลายจึงทำได้แค่เสพความฟินตอนอยู่ต่างประเทศ
ฉินสือโอวขับรถไปหาฮิวจ์คนน้อง เจ้าหมอนี่ไม่ได้อยู่ที่ร้านขายของชำ แต่กำลังเล่นบาสอยู่ที่หัวมุมถนน
รถฟอร์ดขับเข้าไป ขณะที่เข้าไปใกล้สนามบาส ฮิวจ์คนน้องที่กำลังส่งลูกอยู่ก็ส่งบอลไปให้วัยรุ่นคนหนึ่ง แล้วหมุนตัวก้าวเท้ายาวๆ เข้ามาหาเขา หลังจากนั้นก็ยกเท้าเหยียบขอบล่างของกันชนหน้าแล้วกระโดดขึ้นไปที่ด้านหน้าของรถ
ฉินสือโอวตกใจจนสะดุ้ง โชคดีที่ตอนนี้รถกำลังวิ่งด้วยความเร็วที่ไม่มากนัก เขาเหยียบเบรกด้วยความเร่งรีบ เพื่อให้ฟอร์ดเอฟ 650 ที่เหมือนกับนกนักล่าขนาดยักษ์หยุดวิ่งทันที
“นายแม่งเป็นบ้าไปแล้วหรือไง?” ฉินสือโอวยื่นหัวออกมาจากหน้าต่างรถเพื่อตะโกนด่าฮิวจ์คนน้อง “อยากตายก็ไปหาทางรถไฟสิวะ อย่าให้ฉันต้องเหนื่อยไปด้วย ไอ้เวรนี่!”
ฮิวจ์คนน้องนั่งลงตรงหน้ารถเขาพูดอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่า “เฮ้ ฉิน ผ่อนคลายหน่อย นายต้องผ่อนคลายความรู้สึก ทำไมต้องเครียดขนาดนี้ด้วยล่ะ?”
ฉินสือโอวลงจากรถแล้วดึงเขาลงมาอย่างคนอารมณ์ไม่ดี “นายถามฉันเหรอว่าทำไมถึงต้องเครียด? ถ้าเมื่อกี้ฉันเหยียบเบรกผิดไปเหยียบคันเร่งแทน นายรู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น?”
ฮิวจ์คนน้องไหวไหล่ตอบเขาว่า “นายไม่มีทางทำอย่างนั้นหรอกน่า นายเป็นคนรอบคอบจะตายไป มาเถอะ เล่นด้วยกันหน่อยไหม?”
เขากวักมือไปมา ต่อจากนั้นใครสักคนก็โยนลูกบาสมาให้ฉินสือโอว ตอนนี้ฉินสือโอวกำลังยืนอยู่นอกสนาม เขาแค่เล็งอย่างคร่าวๆ แล้วกระโดดขึ้นไปพร้อมกับสะบัดแขนและขยับข้อมือเบาๆ เท่านั้นก็สามารถชู้ตลูกบาสลงได้แล้ว
“ชึบ!” ลูกบอลหนังร่วงลงสู่ห่วงบาสอย่างแม่นยำ ราวกับลูกศรที่แทงทะลุหัวใจ
เสียงปรบมือกะหร็อมกะแหร็มก็ดังขึ้นมาทันที แถมยังมีคนตะโกนบอกกับเขาว่า “คูล สตีเฟ่น เคอร์รี!”
ตอนนี้เคอร์รีเป็นผู้เล่นที่ทรงอิทธิพลของเอ็นบีเอ ลงมือแค่ครั้งเดียวเขาก็สามารถทำลูกสามแต้มได้แล้ว
ฉินสือโอวนั่งอยู่บนหน้ารถแล้วมองพวกเขาเล่นกัน ฮิวจ์คนน้องส่งขวดน้ำให้เขาหลังจากนั้นก็นั่งลงข้างๆ กัน เขาเปิดขวดน้ำแร่ออกแล้วเทลงไปบนหัวทันที ทั้งยังสะบัดหัวไปมาพร้อมกับยิ้มหัวเราะว่า “สดชื่นจริงๆ”
ฉินสือโอวขยับมานั่งอีกข้างด้วยความรังเกียจ และพูดกับเขาว่า “สดชื่นอะไรล่ะ หู่จือเป้าจือที่บ้านฉันเวลาอาบน้ำก็ทำแบบนี้ทุกครั้งเหมือนกันเลย พวกนายเหมือนกันมากจริงๆ”
ฮิวจ์คนน้องไม่ใช่พวกที่ชอบเถียงเพื่อเอาชนะ เขาหัวเราะคิกคักพร้อมกับพูดว่า “เหมือนมากจริงๆ เหรอ? ฉันน่ารักเหมือนหู่จือกับเป้าจือเลยใช่ไหม?”
ฉินสือโอวพ่ายแพ้ให้กับเขาแล้ว “ช่วงนี้ธุรกิจที่ร้านดีขนาดนี้ ทำไมนายถึงเอาแต่ออกมาเล่นข้างนอกแบบนี้ล่ะ? ไม่ต้องคอยเฝ้าร้านบ้างเหรอ?”
ฮิวจ์คนน้องพูดอย่างไร้ซึ่งความกังวล “ก็มีเพื่อนร่วมชาติของนายอยู่ที่นั่นแล้วไม่ใช่เหรอ? มีเขาเฝ้าร้าน ปัญหาทุกอย่างก็หมดไปแล้ว”
เขากำลังพูดถึงจางเผิงนักบัญชีที่ฉินสือโอวจ้างมา ทีแรกจุดประสงค์ที่เขาจ้างนักบัญชีคนนี้มา ก็เพื่อที่จะช่วยร้านขายของชำกับร้านปืนคำนวณภาษี ขณะเดียวกันก็ช่วยฮิวจ์คนน้องดูแลร้านขายของชำไปด้วย
แต่ตอนนี้งานหลักๆ ของจางเผิงกลายมาเป็นการดูแลร้านขายของชำแล้ว ทั้งยังกลายมาเป็นพนักงานขายด้วย ตั้งแต่เขามาที่นี่ ฮิวจ์คนน้องก็เป็นอิสระ
ฉินสือโอวชี้ไปที่เขา พร้อมกับส่ายหัวไปมาแล้วบอกว่านายนี่มันน่าเหนื่อยหน่ายใจจริงๆ พอฮิวจ์คนน้องออกจากสนาม คนอื่นๆ ก็เลิกเล่นบาสแล้วเหมือนกัน พอดีกับที่ ฉินสือโอวกำลังขนกล้องโทรทรรศน์ลงจากรถด้วยความระมัดระวัง เพื่อเตรียมตัวดูพระจันทร์สีเลือดในคืนนี้
เมื่อได้เห็นกล้องโทรทรรศน์ที่เหมือนกับปืนใหญ่เช่นนี้ นักท่องเที่ยวบางส่วนที่เดิมทีกำลังดูแข่งบอลอยู่ก็พากันส่งเสียงฮือฮาและล้อมกันเข้ามาถ่ายรูปทันที
ฉินสือโอวขยับไปอีกข้าง ในตอนนี้เขาได้ยินว่ามีคนเรียกเขา พอหันกลับไปดูถึงได้รู้ว่านั่นคือคาปาไลที่เขาได้เจอเมื่อไม่กี่วันก่อนนั่นเอง
ตอนนี้ชาวคิวบาที่สวมเครื่องแบบพนักงานทำความสะอาดสีเหลืองสดใส พร้อมกับลากรถคันเล็กไว้ในมือ เขากำลังยิ้มแหยๆ โบกมือให้ฉินสือโอวมาจากจุดที่ไม่ได้ไกลออกไปเท่าไรนัก
ฉินสือโอวจึงเดินเข้าไปหาแล้วถามเขาว่า “เฮ้ เพื่อน งานเป็นยังไงบ้าง? แล้วชีวิตตอนนี้ล่ะ ปรับตัวให้เข้ากับที่นี่ได้แล้วหรือยัง?”
คาปาไลใช้ภาษาอังกฤษที่ไม่ค่อยแข็งแรงนักพูดกับเขาว่า “ที่นี่เป็นเหมือนสวรรค์เลย สวยงามเกินไปจริงๆ สวยจริงๆ สวยจริงๆ! เมื่อวานนี้ผมถ่ายรูปไว้ ตอนกลางคืนส่งไปให้คนที่บ้านดู พวกเขาตะลึงจนตาค้างเลยล่ะ แล้วก็มีโลมาที่ท่าเรือ สุดยอดมาก ลูกผมชอบมาก พวกเขาก็อยากเห็นเหมือนกัน”
ฉินสือโอวพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณพาพวกเขามาเที่ยวก็ได้นะ นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สุดยอดไปเลยล่ะ”
คาปาไลพยักหน้ารับแล้วพูดว่า “ถ้ามีเงินแล้ว ผมจะพาพวกเขามาดู เงินเดือนเยอะมาก นายกเทศมนตรีก็ดีมากๆ ผมบอกว่าไม่มีเงิน เธอก็เลยบอกให้ผมไม่ต้องจ่ายค่ากินค่าอยู่ คนดี เธอจิตใจดีมากๆ แล้วก็สวยมากด้วย เหมาะสมกับคุณมาก คุณมีภรรยาแล้วหรือยังครับ?”
ฉินสือโอวยิ้มอย่างมีความสุขยิ่งกว่าเดิม เขาพูดว่า “เธอคือภรรยาของผมเองครับ ดังนั้นนามบัตรของผมถึงใช้กับเธอได้ผลยังไงล่ะ”
ได้ยินคนแปลกหน้าบอกว่าเขากับวินนี่เหมาะสมกันมากๆ ท่านชายฉินรู้สึกดีใจมากจริงๆ
คาปาไลเองก็หัวเราะออกมาเช่นกัน เขาเห็นว่าสนามบาสว่างแล้ว จึงพูดขึ้นมาว่า “ผมต้องทำงานแล้ว คุณฉิน ถ้ามีเวลาผมจะทำอาหารจากบ้านเกิด หวังว่าคุณจะตอบรับคำชวนนะครับ”
ฉินสือโอวพยักหน้าตอบ “ไม่มีปัญหาครับ”
ได้ยินคาปาไลบอกว่าโลมาในเมืองนี้น่ารักมาก ฉินสือโอวเห็นว่าฟ้ายังสว่างอยู่จึงขับรถไปที่ท่าเรือ
โลมาอาศัยอยู่ในน่านน้ำบริเวณด้านหน้าท่าเรือ ต้องนั่งเรือเล็กเพื่อเข้าไปใกล้ๆ แต่ถึงยังไงพวกมันก็มักจะลอยตัวอยู่บนผิวน้ำอยู่แล้ว ดังนั้นต่อให้ยืนอยู่บนท่าเรือก็มองเห็นพวกมันได้เช่นกัน
เรือลำเล็กแล่นไปท่ามกลางฝูงโลมา บนเรือมีคนยกปลาแฮร์ริ่งขึ้นมาแล้วยื่นลงไปบนผิวน้ำ โลมาตัวหนึ่งก็โผล่หัวออกมากินปลาตัวนั้นลงไป ต่อจากนั้นก็มีคนยื่นปลาลงไปอีก เพื่อเข้าใกล้โลมาต่อไปเรื่อยๆ
โลมาพวกนี้เข้ากับเมืองนี้ได้ดีมากๆ พวกมันไม่มีหางจึงไม่สามารถหาอาหารเองได้ ดังนั้นทางเทศบาลจึงเปิดโปรแกรมท่องเที่ยวขึ้นมา ซึ่งอนุญาตให้นักท่องเที่ยวสามารถป้อนอาหารโลมาได้
ทว่า ปลาที่นักท่องเที่ยวจะใช้ป้อนอาหารต้องเป็นปลาที่ตกขึ้นมาเอง ทางราชการของเมืองนี้บอกว่าที่ทำแบบนี้ก็เพราะอยากรับรองความสดของปลา แต่แท้จริงแล้วเป็นการบังคับขายต่างหาก เนื่องจากเมื่อเป็นแบบนี้พวกนักท่องเที่ยวที่อยากจะป้อนอาหารโลมาก็ต้องเช่าเบ็ดและซื้อเบ็ดตกปลาไปด้วย
…………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset