ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 1370 วันวานใต้ยามท้องฟ้าค่ำคืน

ฉินสือโอวมองไปที่ทุกคนพร้อมกับปลาดุกตัวใหญ่ในมือที่กำลังดิ้นไปมาอยู่ แล้วถามด้วยเสียงเกียจคร้านว่า “เป็นยังไงบ้าง ฉันลงยันต์ได้ไม่เลวใช่ไหมล่ะ?”
เหมาเหว่ยหลงเคยเห็นทักษะการจับปลาด้วยมือเปล่าของเขามาก่อน เขารู้สึกถึงความลึกลับ แต่เขาก็ไม่เคยตอบสนองได้ว่องไว เป็นอย่างนี้มาตลอด เขาจึงทำได้แค่ตอนที่ฉินสือโอวกำลังโอ้อวดเขาจะพยายามฉีกหน้าเขา
“พอใจแล้วสิ? ตอนนี้ฉินมันเก่งสุดๆ ไปเลย นี่เรียกว่าการจับปลามือเปล่า นิ้วที่ขยับไปมาอยู่บนผิวน้ำราวกับปลาน้อยๆ ที่แหวกว่ายอยู่ ถ้ารอบๆ มีปลาตัวใหญ่อยู่ มันก็จะวิ่งมาล่าเหยื่อ แล้วนี่ก็จะเป็นจังหวะ จับล็อกมันเอาไว้ด้วยนิ้ว แล้วก็จะจับมันขึ้นมาได้”
เฉินเหลยวิ่งไปเหมือนเด็กแล้วเอามือยื่นลงไปในน้ำ ฉินสือโอวรีบดึงเขากลับมาแล้วพูดว่า “ระวังหน่อย นี่คือปลาดุกกินเนื้อนะ ถ้านายดึงมือกลับไม่ทัน นิ้วนั้นก็ไม่ต้องเอาแล้ว!”
เฉินเหลยตกใจ “ร้ายกาจแบบนี้เลยเหรอ?”
ฉินสือโอวตอบด้วยความโกรธว่า “แน่สิ ก็บอกแล้วว่ามันกินเนื้อ นายนึกว่ามันกินมังสวิรัติหรือไง?”
มีกวางมีปลาแล้ว กวางตัวนี้ตัดแบ่งน่าจะได้ 25-30 กิโล ฉินสือโอวดูแล้วก็น่าจะพอ ยังรวมพวกไก่เป็ดกระต่ายที่หู่จือ เป้าจือ หลัวปอ และอินทรีทองจับมาอีก มื้อเย็นคงกินไม่เยอะขนาดนี้แน่นอน
เนื้อกวางทั้งอร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาการ แต่จะต้องจัดการดีๆ นีลเซ็นและเบิร์ดไม่อยู่ เรื่องแบบนี้ฉินสือโอวคงต้องทำเอง
เขาเริ่มต้มน้ำในหม้อหลายใบก่อน ใช้น้ำเดือดต้มเนื้อกวางสักสองสามรอบ หลังจากนั้นก็ใช้กริชที่แหลมคมลอกหนังกวางออกมา หม่าจินและคนอื่นๆ ช่วยเป็นลูกมือให้เขา เมื่อทุกคนช่วยกันทำงาน ทุกอย่างก็รวดเร็วเพียงพอแล้ว
ฉินสือโอวไม่มีนีลเซ็นและเบิร์ดคอยช่วย หนังกวางจึงถูกเขาหั่นเป็นชิ้นๆ พอเป็นแบบนี้ก็ไม่มีราคา เขาจึงควักเป็นร่องขึ้นมา พวกอวัยวะก็เอาไว้ด้วยกันหมด
หลังจากนั้นก็เอาเนื้อกวางหั่นเป็นชิ้นใหญ่ๆ น่องกวางสี่น่องจะเอามาย่าง ส่วนพวกซี่โครงเนื้อก็เหมาะกับเอามาตุ๋นเป็นซี่โครงเนื้อตุ๋น พวกกระดูกใหญ่ๆ ก็เอามาต้มน้ำซุป
ตั้งแต่แรกเขาก็คิดไว้แล้วว่าอยากทำเนื้อกวางเป็นอาหาร ดังนั้นเขาจึงเตรียมพวกเครื่องปรุงต่างๆ มาเรียบร้อย เมื่อเอาออกมา คนทั้งกลุ่มก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมาทันใด ฉินสือโอวพูดขึ้นว่า “คิดจะกินให้อร่อยยังจะขี้เกียจอีก พวกนายนี่ก็แปลกจริงๆ”
ฉินสือโอวให้เหมาเหว่ยหลงไปจัดการกับปลาห้าตัวให้เรียบร้อย  เนื้อของปลาไพค์และปลากะพงดำอวบหนา สามารถเอามาทำปลาย่างได้ หัวของปลาดุกมีขนาดใหญ่ เอามาหั่นเป็นแว่นๆ แล้วมาทอดน่าจะดีกว่า
ทุกคนไม่ได้มีประสบการณ์ในการกินมื้ออาหารในแคมป์มาก่อน ฉินสือโอวจึงเป็นเหมือนศูนย์กลางคอยชี้แนะ และสอนพวกเขาให้เตรียมของก่อน ส่วนงานผัดและปรุงเขาจัดการเอง
เนื้อกวางสามารถตุ๋นกินได้ ฉินสือโอวเตรียมพวกพุทราจีน ซีอิ๊ว ไวน์ปรุง ขิงเป็นแผ่นๆ พริกไทย เกลือไว้ เขาให้เฉินเหลยหั่นเนื้อกวางเป็นชิ้นๆ เท่ากำปั้นเด็กทารก หลังจากนั้นก็ต้มน้ำทิ้งหนึ่งรอบเอาพวกเลือดทิ้งไป แล้วค่อยใส่ในหม้อและเริ่มต้ม
งานนี้ง่ายมาก เอาส่วนผสมมาตุ๋นกับเนื้อกวางก็โอเคแล้ว จะได้กินเนื้อนุ่มๆ ที่สดใหม่ของเนื้อกวาง
มีคนทิ้งเตาย่างเอาไว้ในกระท่อมไม้หลังเล็ก ฉินสือโอวให้เฉินเจี้ยนหนานไปเอาออกมา วางฟืนและถ่านโค้กลงไป จุดไฟให้มันค่อยๆ เผาไหม้ แล้ววางน่องกวางที่หั่นไว้แล้ว ให้อีวิลสันรับหน้าที่ย่าง
อีวิลสันเคยเรียนย่างเนื้อกับชาร์คมาแล้ว ทักษะทางด้านนี้ฉินสือโอวเองก็เก่งไม่เท่าเขา เพราะฉะนั้นให้เขาทำจึงเหมาะที่สุด
เนื้อกวางเหมาะที่สุดก็ต้องเอามาผัดกิน ซึ่งงานนี้ฉินสือโอวลงมือจัดการเอง พวกพริกเขียว พริกแห้ง ต้นหอม ขิง กระเทียม แครอท หัวหอมใหญ่ของพวกนี้ถูกเตรียมไว้หมดแล้วตามคำสั่งของฉินสือโอว เขาแค่ผัดก็เรียบร้อย
อาหารในแคมป์ไม่จำเป็นต้องมีหลายอย่าง ฉินสือโอวจึงเตรียมไว้ 3 อย่าง จานแรกคือเนื้อกวางผัดพริก อีกจานคือเนื้อกวางน้ำแดง และอีกจานคือเนื้อสันในทอด เนื้อกวางส่วนที่แพงที่สุดคือส่วนสันในด้านหลัง เหมาะกับการเอามาทอดแห้งๆ มาก
ในไม่ช้า เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน กลิ่นอาหารก็หอมอบอวลไปทั่วบริเวณภูเขา กลิ่นหอมที่หลากหลายผสมปนเปกันไป มีทั้งกลิ่นหอมของเนื้อ กลิ่นสดใหม่ของน้ำซุปปลา กลิ่นหอมจากธรรมชาติของพวกเครื่องปรุงอย่างพริก เป็นต้น เมื่อรวมกันแล้วจึงกลายเป็นกลิ่นหอมที่พิเศษขึ้นมา
เฉินเหลยพัดไฟที่เตาย่างไปก็ยิ้มไป “จำได้ไหมที่พวกเราทั้งห้องไปตั้งแคมป์ที่ริมทะเลตอนปีใหม่ตอนที่เรียนปีหนึ่ง? เหมือนกับตอนนี้นิดหน่อยใช่ไหมล่ะ? คนหนึ่งอยู่บนภูเขา อีกคนอยู่ริมทะเล?”
ฉินสือโอวที่กำลังยุ่งอยู่กับการผัดชิ้นเนื้อก็ตกตะลึงแล้วพยักหน้า “ใช่สิ เหมือนอยู่นะ แต่ตอนนั้นไม่ได้มีแค่พวกเราสิบกว่าคน”
ซ่งจวินเหมยที่คอยช่วยเขาเรื่องเครื่องปรุงยิ้มแล้วพูดขึ้น “ใช่ ไม่ใช่แค่พวกเราสิบกว่าคน ยังมีคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ห้องเราอีกตั้งหลายคน อย่างเช่นรุ่นพี่ผู้หญิงคนแรกใช่ไหม?”
รุ่นพี่ผู้หญิงคนแรกที่เธอเอ่ยถึงก็คือเซี่ยจือหลิน แก่กว่าพวกเขาสองปี เป็นสาวที่มีเสน่ห์มากคนหนึ่ง ถือได้ว่าเป็นคนรักที่ชายหนุ่มเกือบทั้งห้องของฉินสือโอวต่างใฝ่ฝัน
หลังจากที่ซ่งจวินเหมยเอ่ยชื่อเรียกรุ่นพี่ผู้หญิงคนแรกนี้ออกมา ทันใดนั้นคนทั้งกลุ่มก็หัวเราะขึ้นมา และต่างมองไปที่ฉินสือโอวซึ่งทำให้ฉินสือโอวนายใหญ่รู้สึกประหลาด จึงพูดขึ้น “หัวเราะอะไร? เป็นโรคประสาทเหรอ?”
เฉินเหลยหัวเราะมีเลศนัย “กลับไปฉันจะให้นายดู…”
“อะแฮ่มๆ” เหมาเหว่ยหลงกระแอมสองที และถลึงตามองไปที่เฉินเหลย เมื่อเห็นแบบนี้ เฉินเหลยเลยลูบจมูกตัวเองแล้วก็ไม่พูดอะไรต่อ
ฉินสือโอวรู้สึกผิดปกติขึ้นมา ไอ้เวรพวกนี้คิดจะใส่ร้ายฉันเหรอ! แต่เขาก็ไม่สามารถถามอะไรต่อได้ เพราะเขารู้จักนิสัยที่ไม่เกรงกลัวใครของเพื่อนของเขาดี จะให้พวกเขารู้ความตั้งใจจริงของเขาไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นไอ้พวกนี้จะเล่นงานเขาได้
หลังจากยุ่งกับการทำกับข้าวมาตลอด ในที่สุดอาหารก็ผัดเสร็จเรียบร้อย เนื้อก็ย่างเสร็จเรียบร้อย ซุปก็ตุ๋นเรียบร้อย สุดท้ายฉินสือโอวลงมือย่างปลาเองซึ่งงานนี้ง่ายๆ ย่างปลาให้สุกนั้นไม่ยาก เขาพลิกปลาย่างอย่างรวดเร็ว คอยทาน้ำมันและโรยผงยี่หร่าอยู่ตลอด เพียงไม่นานกลิ่นหอมของปลาย่างก็ลอยขึ้นมา
หลังจากที่เนื้อปลาถูกย่างจนเป็นสีเหลือง ฉินสือโอวจึงใช้ตะเกียบลองจิ้มเข้าไป ซึ่งก็จิ้มเข้าไปได้อย่างง่ายดายจึงแสดงว่าสุกดีแล้ว
ในกระเป๋าสะพายหลังของอีวิลสันยังมีเหล้าขาว เบียร์พกมาด้วยอย่างลำบาก พวกเขาดื่มได้แต่เหล้าขาวแต่เป็นเหล้าดีทั้งนั้น ล้วนเป็นเหล้าที่เหมาเหว่ยหลงช่วยเอามาอย่างอู่เหนียงเย่ เหมาไถและหยางเหอ
ในเวลานี้ท้องฟ้ามืดสนิท ดวงจันทร์และดวงดาวปรากฏอยู่บนท้องฟ้า จงต้าจวิ้นเป็นคนเอาพวกเนื้อย่าง อาหารผัดแบ่งให้กับทุกคน ทุกคนนั่งห้อมล้อมกองไฟและเริ่มรับประทานอาหารกัน
ฉินสือโอวเริ่มชิมเนื้อตุ๋นก่อน เนื้อกวางตุ๋นจนนิ่มใช้ได้ เมื่อซดซุปเข้าไปกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว สดใหม่เกินจะหาอะไรมาเทียบได้
“อืม รสชาติเยี่ยมจริงๆ” ซ่งจวินเหมยก็ดื่มซุปตุ๋นเช่นกัน แล้วก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยชื่นชมออกมา
เฉินเจี้ยนหนานกินไปมองท้องฟ้ายามค่ำคืนไป พูดอย่างคลุมเครือว่า “การรักษาสิ่งแวดล้อมที่นี่ดีจริงนะ กล้องสะท้อนภาพเลนส์เดี่ยวอยู่กับใครน่ะ? เดี๋ยวถ่ายภาพท้องฟ้ายามค่ำคืนสักสองสามใบหน่อย ฉันกลับไปจะเอาไปทำเป็นภาพพื้นหลังโทรศัพท์กับคอมพิวเตอร์”
ฉินสือโอวพูดในขณะที่ดื่มซุป “คืนนี้สีของท้องฟ้ายังไม่สวยเท่าไร ถ้ารอจนถึงคืนฤดูหนาวแล้วนายเงยหน้ามอง เชี่ย ฉันไม่ได้โม้เลยสักนิดนะ นั่นถึงจะเรียกว่าคืนที่ดาวเต็มท้องฟ้า!”
เหยียนตงทอดถอนใจ “เสียดายที่ไม่มีโอกาสไปขั้วโลกเหนือดูคืนขั้วโลกเหนือ ได้ยินมาว่าท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ขั้วโลกเหนือสวยที่สุดแล้ว แล้วยังมีแสงเหนืออีก”
ฉินสือโอวบอกว่า “ไม่ต้องไปขั้วโลกเหนือหรอก เพราะที่กรีนแลนด์ตอนเหนือก็เห็นแสงเหนือได้แล้ว”
ขณะที่พูด ใจเขาก็เต้นขึ้นมา วินนี่ยังไม่ได้กำหนดสถานที่ที่จะไปฮันนีมูน ไปดูแสงเหนือที่ขั้วโลกเหนือก็น่าจะไม่เลวนะ? ไม่สิ ขั้วโลกเหนือไม่ค่อยดี เพราะตอนนี้ที่ขั้วโลกมืดมนไปหมด ไปที่ไหนก็มืดสนิท ไม่สู้ไปกรีนแลนด์หรือไอซ์แลนด์ดีกว่า
เมื่อคิดได้แบบนี้ เขาก็เริ่มตั้งเป้าหมายในเบื้องต้นแล้ว
……………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset