ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 1376 ลาก่อนวัยหนุ่มสาว

เมื่อรู้ว่าลูกสาวเดินได้ ฉินสือโอวก็มีของเล่นเช่นกัน เขาตักฟักทองมาหนึ่งจาน ซึ่งเหมือนกับการเอาแครอทมาหลอกล่อลา และนี่เป็นการล่อลวงเด็กหญิงตัวน้อยให้เดินตามเขาไป
ตั๋วตั่วก็ตามมาอยู่ข้างหลังและจับเด็กหญิงตัวน้อย เธอชอบน้องสาวคนเล็กคนนี้มาก หลังจากมาหาที่ฟาร์มปลาแล้วเธอก็จะอยู่กับเด็กหญิงตัวน้อยตลอดและปกป้องเธอเหมือนกับพี่สาวคนโต
ตอนนี้มีคนจำนวนมากกำลังทานอาหารในฟาร์มปลา ถ้าไปที่ร้านอาหาร ร้านธรรมดาๆ จะสามารถรับปริมาณคนทั้งหมดได้ ฉินสือโอวไม่สามารถทำอาหารจำนวนมากขนาดนี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเขายังต้องฝึกเดินกับลูกสาว
ดังนั้นตามความเคยชิน ทุกคนจึงเตรียมอาหารมาเองและนำอาหารมาด้วย ซึ่งนี่เป็นเรื่องปกติมาก งานปาร์ตี้หลายๆ งานก็ทำแบบนี้ ผู้เข้าร่วมจะนำอาหารและเครื่องดื่มมาและผู้จัดงานก็จัดแค่สถานที่ก็พอ
หลังจากวินนี่กลับมา ฉินสือโอวจึงอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยไปหาและพูดด้วยความดีใจว่า “วันนี้มีสองเรื่องที่น่าประหลาดใจจะบอกคุณ”
“มื้อแรกของวันนี้เป็นฟักทองใช่ไหมคะ?” วินนี่ถามด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็จูบลงที่ใบหน้าของเด็กหญิงตัวน้อย
เด็กหญิงตัวน้อยกำลังอยู่ในอ้อมแขนของฉินสือโอวพอดี เขาจึงฉวยโอกาสก้มหัวลงจากนั้นก็หัวเราะขึ้น
วินนี่เหลือบมองเขาด้วยความไม่เข้าใจและพูดว่า “เรื่องประหลาดใจเรื่องที่สองคืออะไรคะ?”
ฉินสือโอววางเสี่ยวเถียนกวาลงและอุทานอย่างตื่นเต้นว่า “ก้มลงมองสิ เรื่องเซอร์ไพรส์อยู่ตรงหน้าคุณแล้ว!”
วินนี่ก้มหัวลงแล้วกะพริบตามองไปที่เขาอีกครั้งแล้วพูดด้วยความไม่รู้ว่า “อะไร? เซอร์ไพรส์เหรอคะ?”
เด็กหญิงตัวน้อยนั่งอยู่บนสนามหญ้าและยกขาสั้นๆ ทั้งสองข้างขึ้นแล้วยกมือขึ้นพร้อมกับเงยหน้าอมชมพูและส่งเสียงร้องว่า “หม่าม๊า! หม่าม๊า! อุ้ม อุ้ม!”
ฉินสือโอวดึงวินนี่ให้ก้มลง แล้วกระแอมใส่เด็กหญิงตัวน้อยและพูดว่า “มา ลูกรัก ทำเหมือนตอนบ่ายสิ เมื่อตอนบ่ายนี้หนูไปทำอะไรมา?”
เด็กหญิงตัวน้อยมองเขาอย่างงุนงงแล้วปรบมือน้อยๆ อย่างมีความสุขและตะโกนว่า “เอาอีก! เอาอีก! เอาอีก!”
วินนี่จึงหัวเราะขึ้น เธอขมวดคิ้วแล้วถามว่า “เอาอีกอะไร?”
ฉินสือโอวต้องการเตือนเด็กหญิงตัวน้อย แต่เธอกลับยื่นมือออกไปและพยายามเรียก ‘หม่าม๊า’ ถ้าเป็นแบบนี้เธอจะไม่ยอมลุกแน่นอน ดังนั้นจึงทำให้ฉินสือโอวกังวล แล้วนี่จะเป็นเรื่องน่าประหลาดใจได้อย่างไร?
ฉินสือโอวจนปัญญา จึงทำได้เพียงใช้ไพ่ใบสุดท้าย เขาอุ้มวินนี่ขึ้นด้วยแรงทั้งหมดที่มี จากนั้นก็วิ่งไปข้างหน้า
เด็กหญิงตัวน้อยกระวนกระวายใจเมื่อเห็นแม่ของเธอถูกอุ้มหนีไป เธอจึงพยายามใช้มือทั้งสองดันให้ตัวเองลุกขึ้นยืน เธอเดินคดเคี้ยวไปมาพร้อมกับส่งเสียงร้อง “หม่าม๊า หม่าม๊า!” ไปด้วย
ผลก็คือเธอเดินเร็วเกินไปจนสะดุดหญ้าแล้วล้มลงกับพื้น ตอนนี้เธอยังสามารถทำอย่างอื่นได้ด้วยการสะอื้นร้องไห้โฮพร้อมกับพร้อมร้องเรียก ‘หม่าม๊า’ ไม่หยุด
ฉินสือโอววางวินนี่ลงและไปอุ้มลูกสาว วินนี่ก็เป็นไปตามที่เขาคิดจริงๆ เธอส่งเสียงออกมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดีใจว่า “ว้าว ลูกรักของฉันเดินได้แล้วเหรอ? เก่งจริงๆ เลยลูกรัก เก่งมาก!”
ในขณะที่กำลังพูดอยู่ วินนี่ก็ไปลูบหัวเด็กหญิงตัวน้อยด้วยความเอ็นดูและพูดว่า “มา ไหนลองลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองดูสิ ยืนขึ้นให้แม่ดูว่าหนูเจ็บตรงไหน โอเคไหม?”
เด็กหญิงตัวน้อยกอดแขนของเธอไว้ เหมือนกับการจับเชือกปีนเขาและพยายามที่จะปีนขึ้น จากนั้นก็เข้าไปในแขนของเธอ ในขณะเดียวกันก็ร้องไห้โฮไม่หยุด “เจ็บ เจ็บ เจ็บ เจ็บ!”
เมื่อเธอยืนขึ้น วินนี่ก็ก้าวถอยหลังทันทีพร้อมกับกวักมือเรียกด้วยรอยยิ้ม “มา มาหาหม่าม๊าตรงนี้ หม่าม๊าจะพาไปทานข้าวดีไหมคะ?”
เมื่อเป็นแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า เด็กหญิงตัวน้อยก็อ้าแขนออกและสะอื้น เธอถูกวินนี่ล่อให้เดินทีละก้าวๆ ฝีเท้าของเธอยังคงเดินเอียงเล็กน้อย แต่ดูออกว่าขาทั้งสองข้างของเธอแข็งแรงมาก
หลังจากที่วินนี่จัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาอาหารเย็น ชาร์คและบูลเอาโต๊ะและเก้าอี้มาไว้ที่สนามหญ้า โดยเอาโต๊ะแต่ละตัวมาต่อให้ยาวเข้าด้วยกัน เหมือนกับเวลทีแคทวอล์ค
และอาหารแต่ละจานก็ถูกจัดวางลงไป เหมาเหว่ยหลงและเฉินเหลยก็นำพายฟักทองแต่ะชนิดออกมา ในช่วงบ่ายพวกเขาได้อบพายฟักทองเยอะมากและนอกจากนี้ยังทำขนมปังอบแฟนซีอย่างเช่นดอกทานตะวันด้วย
ฉินสือโอวเอาพายฟักทองหวานมา พายชนิดนี้จะไม่มีไส้เนื้อ แต่ข้างในจะเคลือบด้วยครีมและน้ำเชื่อมเมเปิ้ลเป็นชั้นๆ จึงทำให้มีรสหวานและเหมาะสำหรับเด็กๆ
หลังจากหักพายหวานออกครึ่งหนึ่ง ฉินสือโอวแบ่งให้ตั๋วตั่วและเสี่ยวเถียนกวา เด็กน้อยสองพี่น้องนั่งเคียงข้างกันพร้อมกับถือพายในมือและเริ่มกินอย่างมีความสุข
“เสี่ยวเวยกินอาหารแข็งได้แล้วเหรอ?” แม่ฉินถาม
ฉินสือโอวพยักหน้าอย่างวางใจและพูดว่า “ไม่เป็นไร ฟันน้ำนมของเธอแข็งแรงแล้ว นอกจากนี้พายชิ้นเล็กๆ พวกนี้เพิ่งอบออกมาจะนุ่มมากและข้างในก็เป็นซุปครีมเนยจึงทำให้ย่อยและดูดซึมได้ง่าย”
พายฟักทองของฟาร์มปลามีรสชาติดีมาก คนงานกลุ่มหนึ่งยุ่งตลอดบ่าย พวกเขาใช้ฟักทองลูกใหญ่ทั้งหมดห้าลูก ส่วนอบพายฟักทองที่อบออกมาก็เหมือนกับภูเขาเล็กๆ สุดท้ายพอพวกเขากินก็กินกันจนแทบจะหมด ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงให้พวกเขาดื่มเหล้าแข่งกัน
เฉินเหลยและพรรคพวกจึงเต็มไปด้วยความเศร้า พวกเขาถูกชาวประมงรินเหล้าให้อย่างน่ากลัว แต่สำหรับชาวประมงแล้ว เบียร์กับน้ำไม่ได้แตกต่างกันอะไรกันมากนัก เพราะอย่างไรทานอาหารแล้วก็ต้องดื่มน้ำ ในเมื่อเป็นแบบนี้ ทำไมจะดื่มเบียร์ไม่ได้ล่ะ?
หลังอาหารค่ำ เหมาเหว่ยหลงก็โบกมือเรียกฉินสือโอวให้เข้ามาไป ส่วนเฉินเหลยและคนอื่นๆ ก็อยู่ข้างๆ เขา
“เป็นอย่างไร?” ฉินสือโอวถามด้วยรอยยิ้ม
“พรุ่งนี้ฉันจะเตรียมตัวกลับแล้ว ฉันจะพาพวกพี่เหลยไปด้วย ดังนั้นฉันจะไม่อยู่รบกวนแกแล้ว” เหมาเหว่ยหลงว่า
ฉินสือโอวขมวดคิ้วพร้อมกับพูดว่า “นี่แกหมายความว่าอะไร? ลำบากอะไรกัน? ไม่ต้องรีบกลับหรอก เพื่อนไม่ใช่ว่าแกลาหยุดจนถึงสิ้นเดือนเหรอ? อยู่ต่อที่นี่อีกหนึ่งสัปดาห์แล้วค่อยว่ากัน”
เฉินเหลยยิ้มและพูดว่า “ฉันไม่ได้ลาพักร้อนหนึ่งเดือนนะ ฉันลาแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น เจี้ยนหนานก็เหมือนกัน เราจะไปพักกับโคโกโร่สักสองสามวันแล้วก็จะกลับประเทศจีน”
ดังนั้นฉินสือโอวจึงไม่ขอให้อยู่ต่อแล้ว ตอนนี้ก็เป็นวันที่สิบแล้ว ต่อให้พวกเขาไปแฮมิลตันก็อยู่เที่ยวได้แค่สามสี่วันและต้องรีบกลับทันที เมื่อเป็นแบบนี้จึงทำให้เขารู้สึกเสียดายมาก “ฉันยังไม่ได้พาพวกนายออกทะเลไปหาปลาเลย จู่ๆ ก็กลับแบบนี้มันเร็วไปหรือเปล่า?”
เฉินเหลยเบิกตากว้างและพูดว่า “ตกปลามันสนุกตรงไหน? ถึงอย่างไรเราก็ตกปลากันบ่อยๆ อยู่แล้ว พูดตามตรงว่าที่นี่มีปลาเยอะมาก”
ฉินสือโอวพูดอย่างไม่ยอมอ่อนข้อว่า “ไม่ใช่ว่ามันน่าสนุกหรอกเหรอ ทำงานยังสนุกได้เลย? ฉันแค่อยากให้พวกนายช่วยฉันทำงาน ถ้ารู้ตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าพวกนายจะกลับเร็วขนาดนี้ ฉันคงจะรีบจัดการพืชผลในไร่ให้เร็วขึ้น!”
หม่าจินตบไหล่เขาพร้อมกับพูดว่า “มันง่ายมาก นายก็ทำเรื่องตรวจคนเข้าเมืองให้เราสิ เราจะได้อยู่ต่อช่วยนายจัดการดูแลพืชผลทุกวัน”
ตอนนี้แคนาดากำลังพยายามลดการรับคนเข้าเมือง การตรวจคนเข้าเมืองไม่ใช่เรื่องที่จะใช้เงินแก้ปัญหาได้อีกต่อไป แน่นอนว่าถ้าสามารถใช้เงินหลายร้อยล้านเหมือนฉินสือโอวได้ตลอด การอพยพเข้าเมืองก็ยังไม่ใช่ปัญหา
เขาถามทุกคนว่า “พวกนายต้องการอพยพจริงๆ เหรอ? ฉันจัดการให้พวกนายได้ แต่ฉันไม่สามารถรับประกันการทำงานและการใช้ชีวิตได้”
ไม่ใช่ทุกคนที่เหมาะกับการย้ายถิ่นฐาน อย่างแรกคือปัญหาในการทำงาน ตอนนี้อัตราการว่างงานในแคนาดาสูงมาก จากความเข้าใจของฉินสือโอวที่มีต่อเพื่อนๆ หลังจากพวกเขาอยู่ที่นี่ได้อย่างน้อยหนึ่งปีก็ยังไม่สามารถหางานได้!
จงต้าจวิ้นโบกมือพร้อมพูดว่า “ถ้าพวกนายอยากจะย้ายถิ่นฐาน ฉันว่าอาจจะไม่ค่อยดีเท่าไร พ่อแม่ฉันก็ยังอยู่ที่บ้านเลย”
คนอื่นๆ พากันพยักหน้าและถอนหายใจ พวกเขาไตร่ตรองกับปัญหานี้และคำตอบก็คือพวกเขาไม่สามารถอพยพได้ และแคนาดาก็ไม่เหมาะกับพวกเขา
……………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset