ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 1431 ฉงต้าน่ารัก

และแล้วเรือปริ้นเซสเมล่อนก็แล่นเข้าสู่ท่าเรือเกาะแอตตูเป็นที่เรียบร้อยในกลางดึก นี่คือหนึ่งในแปดท่าเรือใหญ่ที่น้ำไม่เกาะตัวเป็นน้ำแข็งในเกาะกรีนแลนด์ และยังเป็นประเทศที่น้ำไม่เกาะตัวเป็นน้ำแข็งทั้งที่อยู่ใกล้เหนือมากที่สุด
เดิมทีฉินสือโอวอยากจะนำเรือปริ้นเซสเมล่อนแล่นสู่น่านน้ำอาร์กติกเซอร์เคิลเลย แล้วดูนั่งดูแสงเหนือบนเรือพร้อมกับที่มือซ้ายโอบภรรยาและมือขวาอุ้มลูกสาวเอาไว้ นั่นจะต้องเป็นอะไรที่สุดยอดมากแน่ๆ
แต่หลังจากได้เห็นน้ำแข็งที่ลอยบนทะเล พูดตรงๆ เลย ว่า นี่ขนาดเป็นแค่ก้อนน้ำแข็งไม่ใช่ภูเขาน้ำแข็งที่เขาสามารถใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนผลักออกได้ ถ้าเจอภูเขาน้ำแข็งเข้าจริงๆ จิตสำนึกแห่งโพไซดอนคงถึงกับเข่าอ่อน
ดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้คือการเทียบท่าไว้ที่เกาะแอตตู แล้วค่อยให้ฉินสือโอวกับวินนี่ไปยังทุนดราฟรีดริชทางพื้นดินแทน ซึ่งเป็นสถานที่แห่งการชมแสงเหนือ
แม้ว่ากรีนแลนด์จะได้ชื่อว่าเป็นเกาะ แต่จริงๆ แล้วมีพื้นที่ขนาดใหญ่ถึงสองล้านหนึ่งแสนหกหมื่นตารางกิโลเมตร ซึ่งใกล้เคียงกับหนึ่งในสี่ของพื้นที่ของจีนและหนึ่งในห้าของพื้นที่ยุโรปทั้งหมด
อาณาเขตส่วนใหญ่ของประเทศนี้อยู่ในอาร์กติกเซอร์เคิล โพล่าร์เดย์ โพล่าร์ไนท์เป็นเรื่องปกติมากสำหรับที่นี่ ทั้งการดำรงชีวิตของที่กรีนแลนด์ยังใช้ไม่ได้กับที่อื่นๆ ของโลกที่จะมีวงจรการใช้ชีวิต “พระอาทิตย์ขึ้นทำงาน พระอาทิตย์ตกพักผ่อน”เพราะที่นี่มีรูปแบบการดำรงชีวิตเฉพาะเป็นของตัวเอง
เเกาะแอตตูยังไม่ได้เข้าสู่วงกลมอาร์กติก ตอนนี้เลยไม่อยู่ในสถานการณ์เกิดโพล่าร์ไนท์ แต่ช่วงเวลากลางวันจะสั้นมาก บ่ายสามโมงตรงฟ้าก็มืดแล้ว อีกทั้งตอนนี้ยังไม่ถึงหกโมงเย็น สีท้องฟ้าก็ดำสนิทจนแทบจะมองอะไรไม่เห็นเลย
ชาร์คทำการติดต่อกับทางท่าเรือ และนำเรือปริ้นเซสเมล่อนเข้าเทียบท่าในตำแหน่งจอดเรืออย่างระมัดระวัง จากนั้นชายสวมเสื้อโค้ตผ้าฝ้ายหนาสองคนก็ขึ้นมาตรวจ พวกเขาเป็นเจ้าหน้าที่ศุลกากร ส่วนใหญ่จะตรวจสอบว่ามีการลักลอบหรือไม่ จากนั้นก็ทำการตรวจใบรับรองการกักกันของพวกหู่เป้าฉงหลัว
แต่พี่น้องเฟอเรทไม่ได้ยื่นขอใบรับรองการกักกันมาด้วย เพราะไม่สามารถแสดงตัวได้ทั้งสองตัวจึงกลายเป็นประชากรเถื่อน ฉินสือโอวจึงยัดพวกมันไว้ในกระเป๋า พวกมันทั้งสองก็กอดกันกลมอย่างนิ่งเงียบ คล้ายกับรู้ว่าห้ามให้คนเห็นตัวเอง
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตรวจสอบคนหนึ่งก็ถึงกับตะลึงเมื่อเห็นใบรับรองการกักกันของฉงต้า จึงได้พูดขึ้นว่า “คุณออกทะเลเนี่ย ต้องพาหมีควายมาด้วยเหรอ?”
ฉินสือโอวยักไหล่และตอบกลับ “ทำไงได้ล่ะคุณเจ้าหน้าที่ ก็ผมติดนิสัยชอบพาทั้งบ้านออกทะเลน่ะ”
เจ้าหน้าที่ตรวจสอบอีกคนก็ถึงกับหัวเราะออกมาแล้วพูดว่า “โลกนี้มันใหญ่เลยมีเรื่องให้แปลกใจอยู่ตลอดจริงๆ สินะ”
พวกหู่เป้าฉงหลัวสามารถขึ้นฝั่งได้ เพราะพวกมันมีใบรับรองสัตว์เลี้ยงพร้อมกับบันทึกการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคอย่างครบถ้วน
เกาะกรีนแลนด์เป็นหนึ่งในพื้นที่ไม่กี่แห่งของโลกที่อนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงขนาดใหญ่ขึ้นฝั่งได้ แคนาดาก็เป็นอีกที่หนึ่ง ซึ่งคุณลักษณะที่เป็นหนึ่งเดียวของทั้งสองภูมิภาคคือมีประชากรเบาบาง แน่นอนว่าแม้สัตว์จะได้รับอนุญาตให้ขึ้นฝั่ง แต่ก็ไม่สามารถเข้าเมืองได้อยู่ดี และกระบวนการทั้งหมดก็ต้องการการดูแลจากเจ้าของ
เกาะแอตตูไม่มีเขตเมือง และแม้ว่าจะมีท่าเรือที่มีคุณภาพสูงแต่กลับดูไม่มีการพัฒนา เกาะเล็กๆ แห่งนี้อยู่ติดกับกรีนแลนด์ จึงได้ชื่อว่า ‘หมู่เกาะ’ แต่ในความเป็นจริงถือว่าเป็นส่วนที่ยื่นออกจากกรีนแลนด์ ซึ่งเชื่อมต่อกับพื้นดินด้วยสะพาน
ฉินสือโอวจองโรงแรมไว้ล่วงหน้าแล้ว เป็นหนึ่งในโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดของเกาะแอตตูซึ่งมีเพียงแค่สามห้องเท่านั้น เขาจึงจองเหมาเอาทั้งโรงแรม
ซึ่งโรงแรมในพื้นที่แถวนี้เป็นโรงแรมสำหรับครอบครัว ดำเนินกิจการโดยคู่สามีภรรยาสูงอายุ เนื่องจากอายุที่มากขึ้นของพวกเขาทำให้ออกทะเลไม่ได้ และไม่รู้จะหาเลี้ยงชีพด้วยวิธีไหนแล้ว ทั้งใช้ชีวิตอยู่ที่แห่งนี้มาตลอดชีวิตไม่คิดจะไปที่อื่นจึงเปิดเป็นโรงแรม เพื่อหารายได้เล็กน้อยจากแต่ละห้อง
โรงแรมอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือ ฉินสือโอวและคนอื่นๆ ก็เดินย่ำซวบๆ ลงบนหิมะที่ทับถมกันนานหลายวันเข้าไปในตึกเล็กๆ จากนั้นก็มีผู้เฒ่าผมขาวคนหนึ่งออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “กัปตันฉินจากเซนต์จอห์นใช่ไหมครับ? ยินดีต้อนรับๆ โอ้แม่เจ้าโว้ย นี่ฉันแก่มากซะจนตาลายไปแล้วเหรอ ทำไมถึงได้มีหมีมาด้วยล่ะ?”
ฉินสือโอวหัวเราะกลบเกลื่อน “เถ้าแก่ ผมก็บอกในโทรศัพท์ไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าผมจะเอาสัตว์เลี้ยงมาด้วยน่ะ”
ผู้เฒ่าถึงกับอึ้งตาค้าง “แต่คุณไม่ได้บอกผมนะ ว่าสัตว์เลี้ยงที่คุณพามาด้วยเป็นหมีน่ะ?!”
ฉินสือโอวยักไหล่อย่างเขินอายและพูดว่า “ที่จริงแล้วเขาไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของผมหรอกครับ เขาเป็นลูกชายผมมากกว่า ฉลาดเฉลียวยิ่งนัก ฉงต้ามานี่ลูก มาทักทายคุณปู่หน่อยเร็ว”
ฉงต้านั่งลงชูมือโบกไปมาเล็กน้อย พร้อมกับอ้าปากและคิดจะคำรามออกมา แต่ท่านชายฉินป้องปากตัดตอนในตอนที่มันกำลังจะร้องออกมา แค่ให้มันโบกมือทักทายก็พอแล้ว เพราะเขารู้สึกว่าถ้าฉงต้าคำรามออกไปผู้เฒ่าจะต้องฉี่ราดแน่ๆ
วินนี่จึงพูดขึ้นพร้อมด้วยยิ้มหวานสไตล์แอร์โฮสเตส “คุณคะ พวกเราได้ทำสัญญากับโรงแรมของคุณเรียบร้อยแล้ว และดิฉันคิดว่าคุณก็คงจะสัมผัสได้ถึงความน่ารักฉลาดหลักแหลมของลูกชายเราแล้วใช่ไหมล่ะคะ? งั้นก็คงจะอนุญาตให้มันเข้าห้องได้ใช่ไหมคะ?”
ฉันสือโอวคิดว่าผู้เฒ่าต้องปฏิเสธแน่ เพราะฉงต้านั้นดูน่ากลัวมาก แต่มันแค่กินเยอะไม่เลือกทำให้ตอนนี้อ้วนขึ้นกว่าแต่ก่อนก็เท่านั้นเอง จริงๆ แล้วมันดูสมาร์ทมากในหมู่หมีเลยก็ว่าได้
เขาจึงได้เตรียมตัวมาอย่างดี หากแต่ผู้เฒ่ายังคงปฏิเสธเขาก็จะทุ่มเงินเพิ่ม ทุ่มเพิ่มจนกว่าผู้เฒ่าจะยอมรับ
แต่หลังจากที่วินนี่พูดจบ ผู้เฒ่าก็หัวเราะขึ้นแล้วพูดว่า “รีบเข้ามาสิ โธ่ เมียฉันน่ะชอบหมีน้อยน่ารักจะตายไป แถมเธอคิดอยากจะเลี้ยงหมีขั้วโลกสักตัวมาโดยตลอดด้วยนะ แน่นอนว่านั่นน่ะเป็นไปไม่ได้ใช่ไหมล่ะ แต่ถ้าได้เจอหมีสีน้ำตาลแทนก็คงจะดีไม่น้อยว่าไหม?”
สุดท้ายพอตกลงกันได้ด้วยดี พวกเขาก็เข้าไปในอาคาร พร้อมกับสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่สูงขึ้น หู่จือกับเป้าจือก็พยายามดิ้นรนที่จะถอดเสื้อขนเป็ดออก
จากนั้นเถ้าแก่ก็ทำการแบ่งห้อง พอหันไปก็เจอเข้ากับพวกหู่เป้าฉงหลัว ก็ถึงกับร้องด้วยความตกใจ “มายก็อด คุณไม่เพียงแต่พาหมีมาด้วยหนึ่งตัว แต่ยังพาหมามาด้วยอีกสามตัวเลย? พวกคุณคงไม่ใช่คณะละครสัตว์หรอกใช่ไหมเนี่ย?”
วินนี่ยิ้มหวานและตอบ “นี่คือลูกๆ ที่น่ารักของพวกเราค่ะ”
และคุณยายผมขาวคนหนึ่งก็เดินลงบันไดลงมาอยู่ด้านหลัง จากนั้นผู้เฒ่าก็ตะโกนเรียก “ที่รัก มาดูนี่สิ มาดูว่าแขกที่มาพักกับเรามีใครบ้าง?”
แม้ว่าฉงต้าจะไม่กลัวความหนาว แต่วินนี่ก็ยังคงห่มผ้าขนหนูและสวมหมวกหนังให้มัน ดังนั้นตอนนี้เจ้าตัวนี้จึงดูเหมือนตุ๊กตาผ้าฝ้ายบื้อๆ ขนาดใหญ่
คุณยายถึงกับยิ้มดีใจออกมา และทักทายมัน “ไฮ หมีน้อยน่ารัก”
ฉงต้าเห็นคุณยายโบกมือทักทาย มันเลยชูมือขึ้นมาโบกทักทายตอบ และยังยกมุมปากไปทางด้านหลังคล้ายกับว่ามันกำลังยิ้มให้
วินนี่ถอนหายใจแล้วรีบค้นกระเป๋าหาขนมแป้งหนึ่งก้อนเพื่อเอาไว้ยัดใส่ปากฉงต้า เพราะมันเรียนรู้จากโลมาปากขวด ก็คือต้องได้กินหลังจากยิ้มให้แล้ว ไม่ได้กินไม่ได้
แต่คุณยายนั้นกลับไม่กลัวฉงต้าเหมือนคนอื่นๆ แถมยังชื่นชอบมันเป็นพิเศษอีกด้วย หลังจากที่ได้รับอนุญาตก็ยื่นมือไปบีบแก้มอ้วนๆ ของฉงต้า
ฉินสือโอวเหลือบไปมอง แล้วเขาก็รู้สึกว่าเวลาฉงต้าไม่คลุ้มคลั่ง แถมตอนนี้ทั้งตัวและหน้าของมันเต็มไปด้วยไขมัน ที่ดูแล้วไม่น่ากลัวเลยสักนิดแต่ดูแล้วท่าทางน่าสนุกมากกว่า
หลังจากเก็บของเสร็จ ฉินสือโอวมองดูเวลาเห็นว่ายังเร็วไป จึงโทรชวนพวกชาวประมงไปดื่มกันที่บาร์
กิจกรรมฆ่าเวลาเดียวในสถานที่แบบนี้ก็คือการไปดื่มที่บาร์ หรือไม่ก็นอนดูละครน้ำเน่าอยู่ในโรงแรม แต่เมื่อเทียบกันแล้วเขารู้สึกว่าออกไปดื่มที่บาร์จะยังดีซะกว่า เพราะก่อนหน้านั้นที่อยู่ในห้องเดินเรือก็อึดอัดจะแย่
บาร์ที่เกาะแอตตูมีเยอะแยะมากมาย ร้านเล็กร้านใหญ่มีมากกว่าสิบร้าน ซึ่งนี่เป็นลักษณะเด่นของท่าเรือที่ชาวประมงเป็นพวกขาดเหล้าขาดเบียร์ไม่ได้
ฉินสือโอวจึงเลือกร้านที่อยู่ไม่ไกลจากโรงแรม จากนั้นก็พาชาวประมงและคนอื่นๆ เดินเข้าไป
……………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset