ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 199 เจ้าของสมบัติมาแล้ว

บทที่ 199 เจ้าของสมบัติมาแล้ว
โดย
Ink Stone_Fantasy

เวลาบ่ายสองโมงครึ่ง ดวงอาทิตย์สาดแสงแผดเผา ราวกับว่าต้องการตากทุกอย่างให้แห้ง
อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของเกาะแฟร์เวลที่มีทะเลล้อมรอบ ทำให้มันไม่หวั่นไหวต่อแสงแดดอันแผดเผานั้น สายลมทะเลที่แสนอ่อนโยนพัดพาเอาไอน้ำจำนวนมหาศาลมาด้วย ทำให้อุณหภูมิก็ยังคงสูงเหมือนเดิม แต่ตราบใดที่ไม่ได้ยืนตากแดดเป็นเวลานาน สายลมทะเลที่พัดโชยอยู่นั้น จะทำให้ไม่รู้สึกถึงความเลวร้ายของอากาศ
บางบริเวณที่มีไอน้ำปริมาณมาก ในฤดูร้อนจะทำให้ผู้คนรู้สึกอยู่ในหม้อนึ่งตลอดเวลา แต่เกาะแฟร์เวลแห่งนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากพวกมันใกล้ทะเลเป็นอย่างมาก ทำให้ลมทะเลที่พัดโชยมานั้นเย็นสบายตลอดเวลา
เมืองแฟร์เวลแห่งนี้มีผู้คนอาศัยอยู่ไม่มากนัก ดังนั้นเรือเฟอร์รี่ที่แล่นมาจากนครเซนต์จอห์นมีเพียงวันละสองเที่ยวเท่านั้น เที่ยว 9.30 น.และเที่ยว 14.30 น.
ฉินสือโอวขับรถมารอที่ท่าเรือก่อนเวลา เวลา 14.40 น. เรือโดยสารค่อนข้างเก่าลำหนึ่งเทียบท่า มีคนเดินออกมาประปราย
เมืองเล็กนิดเดียว แค่หันซ้ายหันขวาก็เจอกัน ฉินสือโอวจำได้เกือบทุกคนแล้วล่ะ ดังนั้น เมื่อวัยรุ่นผมทองคนหนึ่งที่ถือกระเป๋าเดินทางขนาดเล็กและใส่แว่นกันแดดขนาดใหญ่เดินลงมาจากท่าเรือ เขาก็รู้ทันทีว่าคนคนนั้นคือบิลลี่ สเต็มเมอร์
บิลลี่ สเต็มเมอร์เองก็รู้ได้ในทันทีว่าใครคือฉินสือโอว ท่าเรือนี้มีคนจีนเพียงคนเดียว หาตัวไม่ยาก
ฉินสือโอวเดินหน้าและยืนมือออกไป จับมือของบิลลี่แน่นและพูดว่า “ฉันคือฉิน พรรคพวก ยินดีต้อนรับเข้าสู่เกาะแฟร์เวล เดินทางเหนื่อยกันเลยล่ะสิ”
บิลลี่ดูเหมือนราวๆ 27 – 28 ปี สูงประมาณ 180 โครงใหญ่ไหล่กว้าง ผมสีทองถูกตัดจนสั้น ผมทุกเส้นตั้งตรงราวกับว่าบนหัวเต็มไปด้วยเหล็กหนาม ทำให้เขาดูเป็นคนก้าวร้าวอย่างมาก
เขาสวมเสื้อนอร์ธเฟซและกางเกงขายาวเจ็ดส่วนของไนกี้ ดูกระฉับกระเฉงและกำลังวังชา แสดงถึงวัยรุ่นของสหรัฐอเมริกา ที่มีความมั่นใจ ดื้อรั้น กล้าหาญและเอาแต่ใจ
แต่แน่นอนว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าฉินสือโอว เขาจำเป็นต้องเก็บความดื้อรั้นและเอาแต่ใจไว้ จากนั้นถอดแว่นและยื่นมือไปจับมือในเวลาเดียวกัน บิลลี่พูดขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “ไม่หรอก ระหว่างทางก็ไม่เลว เพียงแต่แอร์โฮสเตสบนเครื่องบินจากไมอามี่ถึงเซนต์จอห์นเกรดต่ำไปหน่อย ไม่อย่างงั้นฉันคิดว่าการเดินทางครั้งนี้จะเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก”
ฉินสือโอวยิ้มอย่างสุภาพ ไม่แปลกใจเลยทำไมวินนี่จึงบอกว่าเจ้านี่เป็นเพลย์บอยที่มีชื่อเสียง กับคนแปลกหน้าอย่างตนที่เพิ่งพบกันครั้งแรกเจ้านี่ก็ได้พูดคุยถึงเรื่องผู้หญิง นี่มันม้าพ่อพันธุ์ในร่างคนชัดๆ
สิ่งเหล่านี้พูดไม่ได้ ฉินสือโอวแนะนำเกาะแฟร์เวลคร่าวๆ แล้วพาบิลลี่ขึ้นรถ
เมื่อเห็นรถคาดิลแลควัน บิลลี่หัวเราะและพูดว่า “นายได้ม้าดีแล้วล่ะ พรรคพวก เกร็กพี่ชายฉันก็มีคันหนึ่ง สมรรถนะดีเยี่ยม คนงานของดีทรอยต์ได้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะชั้นยอดเลยล่ะ”
ตามปกติแล้ว ฉินสือโอวไม่ชอบคนที่ชอบตีสนิทอย่างบิลลี่เท่าไร แต่กับเจ้าบิลลี่คนนี้กลับผิดแปลกไป
เพิ่งรู้จักกันเขาก็กล้าที่จะโอบไหล่กอดคอกับฉินสือโอว แต่การพูดคุยเสียงดังและพูดหยอกล้อนั้น ไม่ได้ทำให้ฉินสือโอวรู้สึกรังเกียจแต่อย่างไร กลับรู้สึกสนิทกันมากขึ้นเพราะความเป็นกันเองของเขา ราวกับว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นเพื่อนกับคนอื่น
ขึ้นรถไม่นาน บิลลี่ก็พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ฉิน ฉันมาที่นี่เพื่อจุดประสงค์สองข้อ ข้อแรกคือช่วยนายแก้ปัญญาเรื่องเงิน ข้อสองคือต้องการมาดูสมุดบันทึกของกัปตันเรือแห่งเรือดังเคิลออสเตียส หากเป็นไปได้ ฉันอยากได้มันมา”
ฉินสือโอวกล่าวว่า “รายละเอียดพวกนี้ เราค่อยคุยกันตอนถึงบ้านฉันแล้วกัน”
รถคาดิลแลควันขับเข้าไปในฟาร์มปลา และขับต่อไปอีกสักพักก่อนจะจอดหน้าบ้านพักตากอากาศ บิลลี่ทำเสียงจุๆ และพูดว่า “ว้าว พรรคพวก พื้นที่ส่วนตัวของนายกว้างเสียจริง ไม่แปลกเลยที่นายไม่สนใจเงินเหล่านั้น หากฉันมีฟาร์มปลาขนาดใหญ่อย่างนี้ แม้ว่าสมบัติของกษัตริย์โซโลมอนจะวางอยู่ข้างหน้าฉัน ฉันก็ไม่สนใจแล้วล่ะ”
ฉินสือโอวหัวเราะและบอกว่าชมเกินไปแล้ว เขาลงจากรถ หู่จือและเป้าจือวิ่งออกมาจากประตูอย่างมีความสุข บิลลี่อยากตีสนิทด้วย จึงผิวปากใส่แลบราดอร์สองตัว และพูดขึ้นว่า “หนุ่มน้อยทั้งสอง มานี่เร็ว ฉันชอบพวกแกมากเลย”
ความเป็นมิตรของเขาไม่ได้รับความสนใจ เมื่อหู่จือและเป้าจือได้ยินเสียงผิวปากของเขาก็เอนหัวมองไปที่เขา จากนั้นละสายตาจากเขาอย่างไม่ไยดี แล้วยังคงกระดิกหางและเดินตามฉินสือโอว
บิลลี่หัวเราะเสียงดัง เขาเดินนำหน้าฉินสือโอวและต้องการเข้าไปในบ้าน แต่ร่างอ้วนกลมร่างหนึ่งโผกระโจนออกมา แล้วชนเข้ากับอกของเขา
เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้เขาตั้งตัวไม่ทัน เขาเดินถอยหลังอย่างรวดเร็วแต่เหยียบบันไดพลาดทำให้เขาเกือบหงายหลัง ดีที่ฉินสือโอวจับเขาไว้ทัน
เมื่อทรงตัวอยู่ บิลลี่ขวัญเสียเล็กน้อย เบิกตากว้างแล้วมองเจ้าขนฟูรูปร่างอ้วนกลมที่อยู่ตรงหน้า และพูดขึ้นว่า “พระเจ้า นี่มันอะไรกัน อย่าบอกฉันว่ามันคือหมีตัวหนึ่ง มีหมีที่รูปร่างหน้าตาอย่างนี้เชียวเหรอ”
ฉงต้ามองบิลลี่ด้วยสายตาบริสุทธิ์ ต้าป๋ายกระโดดขึ้นไปตรงไหล่ของมัน ทั้งสองขวางทางเอาไว้
ถูกหมีสีน้ำตาลที่มีความสูงเป็นครึ่งหนึ่งของคนโผกระโจนเข้าใส่ เขาตกใจเป็นอย่างมาก อย่าว่าแต่หมีเลย เมื่อคุณอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย แม้แต่การถูกสุนัขตัวหนึ่งโผกระโจนเข้าใส่ ก็น่าจะตกใจจนตัวสั่นเลยล่ะ ดังนั้น บิลลี่รู้สึกกลัวเล็กน้อย
ฉินสือโอวอธิบายว่านี่คือสัตว์เลี้ยงของตน วินนี่เดินตามหลังมา กวักมือพูดกับฉงต้าว่า “มาหาแม่มา เด็กดี อย่าทำให้แขกตกใจสิ”
วินนี่ยังคงแต่งกายด้วยชุดเดรสสไตล์โบฮีเมียนและเสื้อชีฟอง ความเนิบนาบไม่เร่งรีบและบุคลิกภาพที่สง่างามผสานเข้าด้วยกันอย่างลงตัว การปรากฏตัวของเธอทำให้บ้านหลังนี้ดูสดใสมีชีวิตชีวามากกว่าเดิม
บิลลี่ส่งเสียง ‘ว้าว’ ออกมา จากนั้นหันไปขยิบตาให้ฉินสือโอว และยกนิ้วโป้งขึ้น
วินนี่ยิ้มให้เขาอย่างสุภาพเป็นการทักทาย จากนั้นพาหู่จือ เป้าจือและฉงต้าเดินเข้าไปในบ้าน
เมื่อเธอเดินเข้าไปในบ้านแล้ว บิลลี่พูดชื่นชมฉินสือโอวว่า “นายนี่มันผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตจริงๆ พรรคพวก นายเป็นคนที่ทำให้ผู้ชายสามพันล้านคนอิจฉาได้! นั่นคือแฟนสาวนายเหรอ เธอเป็นผู้หญิงที่ดีที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบเลยล่ะ!”
หลังจากที่นั่งรถกลับมาด้วยกันตลอดทาง บิลลี่และฉินสือโอวก็สนิทกันมากขึ้น เมื่อเข้าไปในบ้าน ทั้งสองหยิบเบียร์มาคนละขวดและนั่งลงตรงหน้าประตู และตัดเข้าสู่ประเด็นหลักในทันที
บิลลี่แนะนำตัวเป็นอันดับแรก เขาเป็นหุ้นส่วนเล็กๆ ของบริษัทโอดิสซีย์ มารีน เอกซ์พลอเรชั่น ตอนนี้เกร็ก สเต็มเมอร์ผู้จัดการของบริษัทเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเขา จบด้านโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ตอนนี้เป็นนักดำน้ำในบริษัท
บิลลี่พูดถึงวิธีการจัดการกับเงินเหล่านั้นก่อน และพูดขึ้นว่า “เรือดังเคิลออสเตียสได้หายไปหลังจากพายุลมฝนครั้งหนึ่ง ตอนนั้นไม่มีใครทราบถึงตำแหน่งคร่าวๆ ที่มันจมลงไป ดังนั้นจึงไม่สามารถทำการกอบกู้มันขึ้นมาจากน้ำได้ ตอนนี้นายเป็นคนพบมัน มันอยู่ในทะเลลึกหรือทะเลตื้นล่ะ”
ไม่รอให้ฉินสือโอวตอบ เขาก็รีบอธิบายว่า “ฉันหมายความว่า หากอยู่ในทะเลลึก ฉันคงต้องให้เรือกู้ภัยของเรามาช่วยนายช้อนเงินน่ะ แต่หากว่าอยู่ในทะเลตื้น แน่นอนว่านายสามารถจัดการทั้งหมดนี้ด้วยตัวนายเอง แล้วฉันจะช่วยนายขายเงินเหล่านั้น”
ฉินสือโอวพูดว่า “การจัดการกับเงินเหล่านั้นไม่ใช่ปัญหาอะไร ฉันเพียงแต่ขายมันให้กับธุรกิจจำพวกโลหะมีค่าก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ”
บิลลี่ส่ายหน้าและพูดว่า “มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น พรรคพวก ประการแรก เงินของนายบริสุทธิ์มากแค่ไหนล่ะ หากขายให้กับธุรกิจจำพวกโลหะมีค่าโดยตรง พวกเขาจะไม่ให้ราคาที่เป็นธรรมกับนาย ประการที่สอง เงินของนายมีปริมาณมากเกินไป ขาดแคลนหลักฐานที่แน่ชัดของแหล่งที่มา พวกเขาไม่กล้ารับซื้อหรอก ประการสุดท้าย แม้นายจะบอกว่านายช้อนมันขึ้นมาจากใต้ทะเล แต่ว่า พวกมันมาจากไหนกันล่ะ? ทะเลหลวง? น่านน้ำแห่งชาติ? ฟาร์มปลาส่วนตัว? แหล่งที่มาที่แตกต่างกันก็มีวิธีจัดการที่ไม่เหมือนกัน ระวังนายจะถูกรัฐบาลของนายจัดการเอาล่ะ”
ฉินสือโอวหัวเราะ ก่อนหน้านี้เขาเองก็เคยถามเออร์บัก จริงที่ว่า เงินล็อตนี้มีปริมาณมากเกินไป จัดการได้ไม่ง่ายนัก
เห็นฉินสือโอวหัวเราะ บิลลี่เองก็หัวเราะตาม จากนั้นพูดอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “ถ้าเราช่วยกัน เรื่องมันก็ง่ายเลยล่ะ โอดิสซีย์ของเราจัดการกับสมบัติที่ถูกกู้ขึ้นมาจากมหาสมุทรโดยเฉพาะ ดังนั้น ในด้านการจำหน่ายนั้น เรามีช่องทางของเราเอง เพียงแค่นำเงินของนายไปเผาและเข้ากระบวนการสารละลายเคมีอีกครั้ง ได้ราคาดีอย่างแน่นอน”
……………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset