ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 1549 ปัญหายุ่งยากในครอบครัว

อีวิลสันไอคิวต่ำ แต่เขาไม่ได้โง่ เมื่อเห็นยัยตัวเล็กอยากได้แบบนี้ เขาจึงยอมเสียสละแบ่งให้ นี่น่ะเป็นการเสียสละที่แท้จริงเลย ฉินสือโอวเห็นสีหน้าของเขาแล้ว ราวกับว่าของที่เสียสละไม่ใช่แผ่นผัก แต่เป็นขาข้างหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น “ให้ ให้หนูหมดเลย!”
วินนี่ขวางแผ่นผักไว้ ยัยตัวเล็กเบ้ปากแล้วงอแงอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นแบบนี้แล้ววินนี่ก็พูดว่า “หนูกินไม่หมด หนูกินหมดแค่หนึ่งชิ้นเท่านั้นใช่ไหมคะ?”
เถียนกวาร้องอย่างไม่พอใจว่า “หมด เอา!”
วินนี่มองไปที่เธออย่างอ่อนโยนแล้วพูดว่า “แล้วหนูกินหมดไหวหรือเปล่า?”
เถียนกวาพยักหน้า ยังคงยื่นมือออกไปขอต่ออย่างดื้อดึง
ฉินสือโอวอยากจะห้าม เพราะลูกสาวกินทั้งหมดนี้ไม่หมดหรอก แต่วินนี่ดึงมือเขาไว้ แล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “ไม่ค่ะ ไม่ต้องยุ่ง”
หลังจากอึ้งไปพักหนึ่ง ท่านชายฉินก็เห็นเงาของหญิงเหล็กบนใบหน้าของวินนี่อีกครั้ง
อีวิลสันเอาแผ่นผักอีกชิ้นยื่นให้ยัยตัวเล็ก ยัยตัวเล็กในตอนนี้ได้ถือแผ่นผักพอดีมือละแผ่น เธอโยนแผ่นที่เล็กทิ้ง เมื่อเป็นแบบนี้เท่ากับว่ามือข้างหนึ่งถือแผ่นผักไว้ครึ่งแผ่น จึงดีใจขึ้นมาในที่สุด
อีวิลสันรีบเก็บแผ่นผักที่เธอทิ้งไว้ขึ้นมา แล้วถามฉินสือโอวว่า “ฉิน กินไหม?”
ฉินสือโอวบอกว่า “สกปรกแล้ว ไม่ต้องกินแล้ว”
อีวิลสันยิ้มซื่อๆ แล้วรีบยัดเข้าปาก เคี้ยวขนมพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข
วินนี่อุ้มยัยตัวเล็กไปที่หน้าโต๊ะทานข้าว เอาแผ่นผักสองแผ่นวางไว้ในจานเล็กของเธอแล้วพูดว่า “หนูเป็นคนขอของกินมามากมายขนาดนี้เอง งั้นก็ต้องกินให้หมดนะ เพราะว่านี่น่ะเป็นของที่หนูแย่งมาจากคุณลุงอีวิลสัน เข้าใจไหม? ตอนนี้คุณลุงก็กำลังหิวด้วย”
ยัยตัวเล็กกินเก่งไม่เบาเลย ไม่รู้ว่าเพราะฟังคำพูดที่วินนี่พูดเข้าใจหรือเปล่า เธอหยิบแผ่นผักแล้วเริ่มกินคำเล็กคำน้อยขึ้นมา
วินนี่ช่วยเธอฉีกแผ่นแป้งออกเพื่อเป่าให้เย็น สีหน้าอ่อนโยนมาก ถือว่าทำหน้าที่ศรีภรรยาและแม่ได้ดีแบบไม่มีที่ติเลย แต่ฉินสือโอวรู้ ว่านี่คือความสงบก่อนลมพายุจะมานั่นเอง
ยัยตัวเล็กกินไปครึ่งแผ่น จากนั้นก็เลิกเสื้อขึ้นมาตบไปที่ท้องที่ยื่นออกมาอย่างดีใจ แล้วปีนลงเก้าอี้ไปเพื่อจะไปเล่นต่อ
วินนี่อุ้มเธอขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ชี้ไปที่แผ่นผักที่เหลืออีกครึ่งแล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “มา กินให้หมด นี่น่ะเป็นอาหารที่หนูแย่งมาจากคุณลุงอีวิลสัน”
ยัยตัวเล็กส่ายหัว  มองตาใสไปที่เธอแล้วพูดว่า “หม่าม๊า อิ่มแล้ว”
วินนี่บอกว่า “แล้วทำไมหนูถึงไปแย่งขนมของคุณลุงอีวิลสันล่ะคะ?”
ยัยตัวเล็กกะพริบตาปริบๆ ตบท้องน้อยๆ แล้วพูดว่า “อิ่มแล้ว”
วินนี่หัวเราะออกมา ฉีกให้เธออีกแผ่นหนึ่ง แล้วพูดว่า “มา ลูกรัก กินต่อ ยังจำได้ไหมว่าหม่าม๊าถามหนูว่าอะไร? หนูบอกว่าหนูกินขนมพวกนี้ได้หมดแน่ งั้นก็กินให้หมดเลย!”
ยัยตัวเล็กเบะปาก ตาดวงน้อยกะพริบ แล้วก็เริ่มร้องงอแงขึ้นมาอีกครั้ง
พ่อกับแม่ของฉินสือโอวราวกับนักกีฬาที่ได้ยินเสียงปืนอย่างไรอย่างนั้น รีบออกมาแล้วก็ถามอย่างร้อนรนว่า “เกิดอะไรขึ้น? เกิดอะไรขึ้น? ทำไมร้องไห้อีกแล้ว?”
เมื่อเห็นคุณปู่คุณย่า ยัยตัวเล็กหยุดร้องไห้แล้วสะอึกสะอื้นอย่างไร้เดียงสาแทน  พร้อมกับยื่นมือไปขอให้คุณย่าอุ้ม
ฉินสือโอวมองออกว่านี่ไม่ปกติแล้ว ยัยตัวเล็กฉลาดมากจริงๆ ยังถึงไม่หนึ่งขวบครึ่งด้วยซ้ำ ก็สามารถอ่านสถานการณ์ออกแล้ว เธอรู้ว่าขอแค่ตัวเองร้องไห้ คุณปู่คุณย่าก็จะออกมาแล้วตามใจตัวเองทุกอย่าง
แน่นอนว่าวินนี่ดูออกยิ่งกว่า เธอไม่ได้ห้ามแม่ของฉินสือโอวที่จะอุ้มลูกสาว แต่มองไปที่ฉินสือโอวแทน
ท่านชายฉินรู้ว่าตอนนี้เป็นตอนที่เขาต้องออกตัวแล้ว จึงห้ามแม่ไว้ แล้วพูดว่า “แม่ครับ ตอนไหนกันที่เถียนกวาถูกแม่ตามใจจนเป็นแบบนี้ไปแล้ว? แม่ดูเธอสิครับ วินนี่พูดกับเธอแค่สองประโยคเอง ก็ร้องเสียจนเรียกให้แม่ออกมาเลย”
แม่ของฉินสือโอวบอกว่า “นี่ลูกพูดอะไรน่ะ เด็กร้องไห้แล้ว ลูกที่เป็นพ่อทำไมถึงไม่โอ๋ลูกล่ะ?”
ฉินสือโอวพูดว่า “เพราะว่าตอนนี้เด็กมีนิสัยไม่ดีน่ะสิครับ จะต้องแก้นะครับ!”
พ่อของฉินสือโอวเข้ามาพูดไกล่เกลี่ยว่า “เด็กเล็กแค่นี้จะไปรู้เรื่องอะไรกัน? จะสอนให้เด็กมีนิสัยดี งั้นก็ต้องรอจนเขาอายุมากกว่านี้หน่อยสิ ตอนนี้เขายังเล็กเกินไปนะ”
ยัยตัวเล็กซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของคุณย่า โผล่หัวออกมามองฉินสือโอว ใบหน้าเล็กๆ นั้นยังเต็มไปด้วยสีหน้าได้ใจด้วย
ฉินสือโอวนึกว่าตัวเองดูผิดไป เขามองดูดีๆ อีกครั้ง ก็ยิ่งรู้สึกว่ายัยตัวเล็กกำลังมองเขาอย่างได้ใจอยู่
ปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว ฉินสือโอวมองไปที่วินนี่ วินนี่กำลังโกรธอย่างเห็นได้ชัดเลย แต่เธอกำลังให้เกียรติพ่อกับแม่ของฉินสือโอวอยู่ จึงพยายามยิ้มอย่างเต็มที่ แต่ว่าแรงโกรธในดวงตาคู่นั้นกลับเห็นได้ชัดอย่างยิ่ง
หู่เป้าฉงหลัวเจ้าตัวเล็กทั้งกลุ่มพากันส่ายหัวสะบัดหางวิ่งเข้ามา พี่น้องเฟอเรทหาที่ดีๆ แล้วก็นั่งลง เจ้าตัวเล็กตัวอื่นๆ ก็หาที่นั่งด้วย แล้วพากันมองฉากการทะเลาะกันในบ้านอย่างใจจดใจจ่อ
วินนี่มองไปที่พวกมันด้วยสีหน้าเย็นเยือก เจ้าพวกตัวเล็กสบตากับเธอทีหนึ่ง แล้วก็ตกใจจนลุกขึ้นมา ส่ายหัวสะบัดหางอีกครั้งแล้วออกจากห้องไป
หมีโลลิถือว่าตัวเองเป็นที่รัก จึงคลานเข้ามาใช้หัวที่เต็มไปด้วยขนนั้นถูไปที่เข่าของวินนี่ จากนั้นก็ยืนขึ้นมาอ้าแขนออกทำท่าขออุ้ม
ฉินสือโอวรู้สึกได้ ว่าวินนี่พยายามอย่างมากที่จะไม่ทำท่าเตะขาเหวี่ยงออกไป เขารีบลากหมีโลลิออกไป ไม่อย่างนั้นไม่แน่ว่า วินาทีต่อไปวินนี่อาจจะระเบิดแล้วก็เป็นได้
มือลากแขนของหมีโลลิอยู่ ฉินสือโอวก็พูดกับแม่ว่า “แม่ครับ ดูเด็กเป็นหน้าที่ของแม่ แม่เอาเถียนกวาให้วินนี่เถอะ ให้เขาจัดการเอง”
แม่ของฉินสือโอวบอกว่า “วินนี่ทำงานเหนื่อยขนาดนั้น…”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณแม่ หนูไม่เหนื่อยค่ะ” วินนี่พูดแทรกขึ้นมา
นี่คือครั้งแรกในความทรงจำของฉินสือโอว ที่วินนี่พูดแทรกคำพูดของแม่ เห็นได้ชัดว่าเธอสุดจะทนกับวิธีการเลี้ยงลูกของพ่อและแม่เขาแล้ว
พ่อของฉินสือโอวสังเกตได้ว่ามีเรื่องแล้ว เมื่อเห็นว่าแม่ของฉินสือโอวยังอยากพูดอะไรต่อ จึงดึงตัวไว้ทีหนึ่ง ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว เอาเด็กให้วินนี่เถอะครับ พวกเราก็ตามใจเธอเกินไปหน่อยจริงๆ นั่นแหละ”
แม่ของฉินสือโอวพูดอย่างน้อยใจว่า “เสี่ยวโอวกับพี่สาวของเขาก็เลี้ยงแบบนี้ไม่ใช่เหรอไง? แล้วยังมีเสี่ยวฮุยอีก ก็เป็นพวกเราเป็นคนเลี้ยงไม่ใช่เหรอ? ตามใจหลานสาวตรงไหนกัน?”
พ่อของฉินสือโอวกระแอมทีหนึ่ง ใช้สายตาบอกเป็นนัยให้คู่ตัวเองว่าไม่ต้องพูดต่อแล้ว
ฉินสือโอวเป็นถึงหัวหน้าครอบครัว ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องเอาบารมีของตัวเองออกมาแล้วล่ะ ความจริงตัวเขาและพี่สาวรวมไปถึงเสี่ยวฮุย พ่อแม่ก็รักมากจริงๆ นั่นแหละ แต่ว่าเมื่อก่อนฐานะไม่ดี พ่อกับแม่ของฉินสือโอวต้องเลี้ยงเด็กและยังต้องทำงานไปด้วย ถึงจะรักแค่ไหนก็ยังมีขีดจำกัดอยู่ แต่ตอนนี้แทบจะทั้งวันกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมงที่อยู่กับหลานสาว การตามใจนั้นได้กลายเป็นแบบไม่มีขีดจำกัดแล้ว
แต่อย่างไรเสียนี่ก็คือพ่อแม่ของตัวเอง เป็นคนที่เลี้ยงเขามาจนโต เขาก็ไม่อยากตำหนิอะไร จึงเข้าไปกอดแม่แล้วพูดด้วยเสียงทะเล้นว่า “แม่ครับ พ่อกับแม่ให้วินนี่มาดูแลเถียนกวาเถอะครับ พ่อกับแม่ไม่ควรมาริบความรับผิดชอบในการเป็นแม่ของเขานะครับ พอเป็นแบบนี้ พอวินนี่ไปทำงาน เถียนกวาก็ยังเป็นพ่อกับแม่ดูแลอยู่ดี…”
วินนี่ก็เริ่มกระแอมเบาๆ ด้วยเหมือนกัน ใช้สายตาบอกฉินสือโอวเป็นนัยว่าถึงตอนเธอทำงานก็ต้องสามารถดูแลลูกสาวด้วยเหมือนกัน
ท่านชายฉินทำทีว่ามองไม่เห็น แล้วพูดว่า “หลังจากเธอเลิกงานแล้วก็ยังมีวันหยุดสุดสัปดาห์อีก ที่ต้องให้เธอเป็นคนดูแลเด็ก แล้วก็ เถียนกวาโตแล้ว ต้องเริ่มเรียนรู้อะไรได้แล้ว ก็ให้วินนี่เป็นคนสอนนั่นแหละ โอเคไหมครับ?”
แม่ของฉินสือโอวก็สังเกตเห็นถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของวินนี่ด้วยเช่นกัน จึงถอนหายใจเบาๆ ไปเฮือกหนึ่ง อุ้มเถียนกวาให้วินนี่อย่างเสียดายแล้วพูดว่า “เสี่ยวโอวพูดถูก หนูเป็นแม่ อย่างไรเสียก็ต้องเป็นคนดูแลลูก”
เถียนกวามองดูฉากนี้ด้วยสายตางุนงง สมองเล็กๆ ของเธอยังไม่เข้าใจถึงเหตุการณ์ จนกระทั่งเห็นแม่ของฉินสือโอวออกจากห้องครัวไป จึงจะรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล แล้วเริ่มอ้าปากร้องไห้ต่อ
………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset