ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 1550 เริ่มสร้างสวนดอกไม้

เมื่อก่อน เสี่ยวเถียนกวารู้สึกว่าเสียงร้องไห้ของตัวเองก็คือสัญญาณบุก เมื่อดังขึ้นมาเท่านั้น พ่อกับแม่ของฉินสือโอวก็จะเหมือนกับเหล่าทหารบุกโจมตีข้าศึกที่พุ่งเข้ามาเพื่อมาตามใจตัวเอง
แต่ว่าครั้งนี้ไม่เป็นผลแล้ว เธอร้องไห้โวยวายอยู่ตรงนั้น ตะโกนร้องว่าจะให้คุณย่าอุ้ม จะเอาคุณปู่ แต่พ่อกับแม่ของฉินสือโอวก็ไม่ออกมา
แม่ของฉินสือโอวรู้สึกไม่สบายใจ อยากจะกลับมา แต่พ่อของฉินสือโอวดึงเธอไว้ ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “พวกเราใกล้จะกลับบ้านแล้ว ก็ไม่ได้ดูแลเถียนกวาอยู่ดีไม่ใช่เหรอ? ลูกของเขาก็ต้องให้พ่อแม่ของเขาเป็นคนเลี้ยงดูสั่งสอน ส่วนพวกเราน่ะ แค่ช่วยเลี้ยงชั่วคราวก็ได้แล้ว การจะเลี้ยงลูกอย่างไร พ่อแม่ของพวกเขาล้วนจบมหาวิทยาลัยกันทั้งคู่ จะไม่รู้ได้เหรอ?”
แม่ของฉินสือโอวมองตาขวางไปทีแล้วพูดว่า “เถียนกวาอะไรกัน? นี่มันชื่ออะไรกัน ต้องเรียกว่าเสี่ยวเวย!”
พูดจบ เธอก็ถอนหายใจอย่างเศร้าใจแล้วพูดว่า “แล้วจะทำใจได้อย่างไรล่ะเนี่ย? ตอนกลางคืนถ้าไม่มีฉันกอดไว้เสี่ยวเวยจะนอนไม่หลับ วินนี่กับเสี่ยวโอวเป็นคนหนุ่มคนสาว ยังชอบเล่นสนุกอยู่ พวกเขาจะดูแลเด็กเป็นเหรอ?”
ถึงจะพูดแบบนี้ก็เถอะ แต่เธอก็ยังทำตามคำพูดของพ่อของฉินสือโอว แม้ว่าฟังเสียงร้องไห้ของเถียนกวาแล้วทำให้ไม่สบายใจ แต่ก็ไม่ได้ออกไปยุ่งอีก
วินนี่อนุญาตให้ลูกสาวร้องไห้ได้ ยัยตัวเล็กเลยอ้าปากเล็กสีดอกท้อนั้นร้องไห้ต่อ เธอไม่สนใจเลย หนำซ้ำยังไปกวักมือเรียกหมีโลลิอย่างสบายใจอีก เธอเรียกมันมา อุ้มมันไว้ในอ้อมกอดแล้วก็หวีขนให้มัน
เมื่อเป็นแบบนี้ ยัยตัวเล็กไม่เพียงแต่กลัวเท่านั้น ยังรู้สึกน้อยใจอีกด้วย จึงรวบรวมแรง แล้วเริ่มร้องไห้ต่อ
วินนี่หยิบกิ๊บติดผมของเถียนกวามาแล้วติดให้หมีโลลิแทน หลังจากติดดีแล้วก็มองดู แล้วพยักหน้าอย่างพอใจ
เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว ยัยตัวเล็กจึงไม่ร้องไห้ต่อแล้ว ชี้ไปที่กิ๊บติดผมแล้วพูดว่า “ของเถียนกวา! ให้เถียนกวา!”
วินนี่มองไปที่เธอแล้วถามว่า “ลูกรัก ร้องไห้ต่อสิ ทำไมหนูไม่ร้องแล้วล่ะ? ใครบอกว่านี่เป็นของเถียนกวาคะ? นี่น่ะเป็นของที่หม่าม๊าซื้อ หม่าม๊าซื้อให้แต่เด็กดีเท่านั้น ตอนนี้หมีน้อยเป็นเด็กดี…”
ยัยตัวเล็กพูดตะโกนพร้อมสะอื้นว่า “เถียนกวา เด็กดี!”
วินนี่ถามว่า “เถียนกวาเป็นเด็กดีเหรอคะ? เป็นลูกที่ดีใช่ไหมคะ?”
ยัยตัวเล็กพยักหน้าสุดฤทธิ์ บนขนตายังเต็มไปด้วยหยดน้ำตาอยู่เลย ท่าทางที่เหมือนกับดอกสาลี่ที่มีหยดน้ำฝนค้างอยู่นั้นทำให้คนเอ็นดูยิ่งนัก
“เถียนกวากับหมีน้อยใครเป็นเด็กดีกว่ากันคะ?” วินนี่ถามต่อ
ยัยตัวเล็กพูดว่า “เถียนกวา”
“งั้นต่อไปจะแย่งของอร่อยของคนอื่นอีกไหมคะ?”
“ไม่” ยัยตัวเล็กพูดอย่างว่าง่าย
วินนี่ยิ้มออกมาอย่างพอใจ ฉินสือโอวนึกว่าเรื่องนี้จะจบแล้ว แต่สุดท้ายวินนี่กลับชี้ไปที่ขนมผักอีกครึ่งแผ่นในจานแล้วพูดว่า “มา กินเข้าไปให้หมด”
เถียนกวารู้สึกว่าตัวเองถูกแกล้ง จึงเริ่มอ้าปากร้องโวยวายต่อ แต่ครั้งนี้ไม่เรียกคุณปู่คุณย่าแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเห็นว่าคุณปู่คุณย่าได้ยินสัญญาณโจมตีแล้วไม่เข้ามาหรือเปล่า ครั้งนี้เธอเริ่มเรียกป่าป๊าแทน
ฉินสือโอวนั่งดูอยู่ข้างๆ เหมือนกับดูละครอยู่ พอเถียนกวาเรียกทีเขาก็ตอบรับไปที แต่จะให้เขาไปทำอะไรล่ะ? ไม่คิดจะห้ามคิดเลย
วินนี่ถึงขั้นสอนเจ้าพวกหู่เป้าฉงหลัว แมวป่า กวางอูฐ เฟอเรทให้เชื่องได้ราวกับสอนเด็กเลย เขาไม่เชื่อว่าจะทำให้ยัยตัวเล็กคนเดียวเชื่อฟังไม่ได้
เมื่อเห็นว่าเรียกใครมาก็ไม่มีประโยชน์ ยัยตัวเล็กจึงเริ่มสงบเสงี่ยมขึ้นมา เธอมองไปที่วินนี่อย่างไร้เดียงสาแล้วพูดเสียงอึกอักว่า “หม่าม๊า อิ่มแล้ว เถียนกวา อิ่มแล้ว”
วินนี่พูดพร้อมรอยยิ้มว่า “เด็กดีต้องพูดได้ทำได้นะคะ มา เถียนกวาเป็นเด็กดี กินขนมของหนูให้หมดเร็ว”
ฉินสือโอวรู้สึกว่าเท่านี้ก็น่าจะพอแล้ว จึงพูดว่า “ช่างเถอะน่า วินนี่ อย่าทำให้เธอท้องอืดเลย จะสอนเด็กก็ต้องมีขอบเขตนะ”
วินนี่พูดว่า “วางใจได้ค่ะ ลูกสาวของฉันเองฉันจะไม่รู้ได้อย่างไรคะ?”
เธอพูดไปอีกหลายครั้ง เถียนกวาก็ยังคงไม่กิน เธอขมวดหน้าแล้วลูบท้องไปมาบอกว่าอิ่มแล้ว
วินนี่จึงพูดว่า “งั้น รออีกสักพักค่อยกินดีไหมคะ? เมื่อกี้หนูพูดเองว่ากินหมดได้นะ อีกอย่างต้องห้ามกินทิ้งกินขว้างนะ เข้าใจไหมคะ?”
เถียนกวายิ้มออกมาอย่างดีใจ แล้วพูดว่า “ดี ดี”
“หม่าม๊าช่วยหนูมาตั้งนาน หนูมีอะไรจะพูดกับหม่าม๊าไหมคะ?” วินนี่ถามต่อ
เถียนกวากะพริบตาไปมา แล้วพูดอย่างว่าง่ายว่า “ขอบคุณหม่าม๊า”
ฉินสือโอวที่อยู่ข้างๆ หัวเราะออกมา เถียนกวานี่ยังเด็กและยังใสซื่อจริงๆ ส่วนวินนี่ก็เก่งเสียจริง สั่งสอนลูกสาวไปยกใหญ่แล้วยังสามารถทำให้ลูกสาวบอกขอบคุณตัวเองได้อีก
พอทอดขนมผักเสร็จหมดแล้ว ฉินสือโอวก็ตะโกนเรียกชาร์ค เบิร์ดแล้วก็คนสนิทอีกหลายคนเข้ามาลองชิม เกิงจุนเจี๋ยที่เป็นหัวหน้าคนใหม่ก็มาร่วมโต๊ะด้วย
ในการปะทะกันกับเหล่านักล่าแมวน้ำครั้งนี้ เกิงจุนเจี๋ยแสดงฝีมือได้ไม่เลว บนเรือกำปั่นทะเลใต้ก็คือเขาที่เป็นคนนำทีม เขาทำงานได้ดีมาก ฉินสือโอวรู้สึกว่าลูกน้องแบบนี้ควรค่าแก่การผลักดันอยู่
วินนี่นำขนมผักอีกครึ่งแผ่นที่เพิ่งออกกระทะมาเปลี่ยนให้เถียนกวา ตัวเองกินอันเก่าไป จากนั้นก็ยืนกรานมองดูเถียนกวากินขนมผักเข้าไป เสร็จแล้วจึงจะยอมแกะเอากิ๊บติดผมบนหัวของหมีน้อยลงมาติดให้เถียนกวา
ยัยตัวเล็กดีใจสุดขีด วิ่งกระทืบเท้าเล็กๆ แล้ววิ่งไปมา เดี๋ยวก็ไปไล่หมีโลลิ เดี๋ยวก็ไปแกล้งหู่เป้า ไม่มีขอให้ใครมาอุ้มอีกเลย
เมื่อเห็นฉากนี้แล้ว แม่ของฉินสือโอวก็ไม่พูดอะไรอีก สีหน้าก็เศร้าลงไปมาก
วินนี่รู้สึกไม่สบายใจ จึงกระซิบพูดกับฉินสือโอวว่า “กลางคืนคุณไปคุยกับพ่อแม่นะคะ ว่าพวกเขาจะดูแลเด็กก็ได้ไม่เป็นไร แต่การสั่งสอนเด็กจะต้องให้พวกเราสั่งสอนเท่านั้น ช่างเถอะ ให้ฉันสั่งสอนดีกว่า”
ฉินสือโอวไม่พอใจ พูดว่า “คุณหมายความว่าอะไร ไม่เชื่อใจผมเหรอ?”
วินนี่เบะปากแล้วพูดว่า “มีคุณจะมีประโยชน์อะไร”
ขนมผักไส้เนื้อวัวที่เพิ่งทำเสร็จร้อนๆ รสชาติดีมาก เหล่าชาวประมงกินกันคำใหญ่แล้วก็ชมกันไม่หยุดปาก เกิงจุนเจี๋ยหัวเราะแล้วพูดว่า “ขนมผักของคุณอากับคุณน้านี่สุดยอดไปเลยครับ เหมือนกับขนมแป้งห่อเนื้อทอดที่แม่เคยทำให้กินในควาทรงจำของผมในวัยเด็กเลยครับ”
พ่อกับแม่ของฉินสือโอวชอบความครึกครื้น พอได้ฟังคนทั้งกลุ่มชมขนาดนี้ ก็เอาเรื่องเครียดเกี่ยวกับเถียนกวาโยนทิ้งไปเลย แล้วทำการดูแลกับข้าวกับปลาให้คนทั้งกลุ่มแทน
พวกเด็กๆ วัยรุ่นกำลังอยู่ในช่วงกินจุกัน ช่วงนี้กอร์ดอนกำลังเห่ออเมริกันฟุตบอลอยู่ หลังจากไปวิ่งโร่อยู่ในโรงเรียนมาทั้งวันแล้วทำให้กลับมาหิวมาก จึงยึดขนมผักกับเนื้อไก่ทอดไว้ครึ่งชามใหญ่ๆ แล้วกินอิ่มอย่างรวดเร็วราวกับคลื่นลมที่พัดเอาเมฆหมอกไปด้วย
หลังจากเขากินอิ่มแล้ว ในชามยังมีขนมผักเหลืออยู่อีกไม่กี่ชิ้น แต่เขาไม่กินต่อแล้ว เสี่ยวเถียนกวาเห็นเข้า ดวงตาก็เบิกโพลง ชี้ไปที่ชามแล้วตะโกนว่า “กินให้หมด! เด็กไม่ดี!”
วินนี่ตบโต๊ะเบาๆ พูดกับกอร์ดอนเสียงนิ่งว่า “นั่งลง แล้วกินขนมในจานของนายให้หมด”
กอร์ดอนพูดว่า “พี่วินนี่ ขนมผักพวกนี้ผมไม่ได้แตะเลย พวกพี่กินได้เลยไม่มีปัญหาครับ”
วินนี่บอกว่า “ฉันรู้ แต่ว่าวันนี้อาหารที่อยู่ตรงหน้าตัวเอง จะต้องกินให้หมด”
กอร์ดอนพูดอย่างทำอะไรไม่ได้ว่า “ผมกินอิ่มแล้วจริงๆ ทำไมจะต้องกินให้หมดอีกล่ะครับ?”
วินนี่ยิ้มแล้วพูดว่า “กินอิ่มไม่ใช่ปัญหา งั้นนั่งอยู่ที่นี่รอให้ย่อยก่อน กินหมดตอนไหนค่อยออกไปเล่นตอนนั้น”
สีหน้ากอร์ดอนเปลี่ยนไปในทันที เชอร์ลี่ย์กับไวส์ก็ยิ้มสะใจอยู่ตรงนั้น เพราะจานตรงหน้าพวกเขามีขนมผักอยู่แค่แผ่นสองแผ่นเท่านั้น
เข้าเดือนเมษายน อากาศเริ่มอบอุ่นแล้ว เป็นเวลาที่ดีที่จะทำการตกแต่งสวนดอกไม้
ความจริงคิดๆ ดูแล้ว ฉินสือโอวก็รู้สึกเกรงใจนิดหน่อย เริ่มตั้งแต่รับปากกับวินนี่ว่าจะทำสวนดอกไม้ให้จนเริ่มทำจริงๆ ก็เป็นเวลากว่าสองปีครึ่งแล้ว ตอนนั้นวินนี่ยังไม่มีลูก ตอนนี้ลูกอายุหนึ่งขวบครึ่งแล้ว แทบจะใช้ให้ไปซื้อของได้แล้วด้วยซ้ำ!
ความจริงก่อนแต่งงานเขาก็สามารถสร้างสวนดอกไม้ได้ แต่ตอนนั้นกังวลว่าการก่อสร้างจะทำให้ฟาร์มปลาเละเทะ แล้วทำให้สถานที่จัดงานแต่งงานไม่สวยไปด้วย จึงไม่ได้เริ่มการก่อสร้างสักที จากนั้นพอแต่งงานเสร็จก็เป็นฤดูหนาว ทำให้ไม่สะดวกในการเริ่มงานก่อสร้างอีก ทำให้เลื่อนมาจนถึงตอนนี้
………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset