ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 1562 อ่างเก็บน้ำอันใหญ่

บทสนทนาได้เปลี่ยนไปเป็นเรื่องวัยเด็กของฉินสือโอวและฉินเผิงอย่างรวดเร็ว เพื่อนเก่ามาอยู่ด้วยกันก็สามารถทำได้แต่หวนคิดถึงเรื่องในอดีตของกันและกัน หากว่าคุยเรื่องเศรษฐกิจหรือว่าการเมืองแล้วล่ะก็ จะทำให้บทสนทนาน้อยเกินไป เพราะการจะเข้าใจมุมมองของแต่ละคนได้นั้นเป็นเรื่องยาก
ฟ้ามืดยามค่ำได้มาถึง อาหารร้อนๆ แต่ละจานได้เสิร์ฟขึ้นโต๊ะ อาหารค่ำมื้อนี้เริ่มขึ้นแล้ว
ฉินสือโอวมองดูอาหารที่มากมายละลานตาบนโต๊ะ เขาหัวเราะแล้วพูดว่า “คุณอานี่ลงแรงลงใจมากเลยนะครับเนี่ย กับข้าวดีๆ พวกนี้ต้องใช้เงินไม่น้อยเลยใช่ไหมครับ? ผมเองเริ่มจะเกรงใจแล้ว”
เนื่องด้วยเหตุผลทางยศศักดิ์ คำเรียกที่ฉินสือโอวใช้เรียกขานคนในครอบครัวของฉินเผิงจึงเรียกยากมา หากอิงตามศักดิ์อาวุโสในหมู่บ้านแล้ว ฉินสือโอวต้องเรียกพ่อของฉินเผิงว่าพี่ชาย ฉินเผิงจะต้องเรียกเขาว่าคุณอา เมื่อเป็นแบบนี้จึงทำให้คนหนุ่มที่รุ่นราวคราวเดียวกันกระดากที่จะเรียกมาก
สถานการณ์แบบนี้เห็นได้ง่ายมากในหมู่บ้านชนบท โดยปกติคนหนุ่มสาวจะอิงอายุในการเรียกขานกัน ปกติฉินสือโอวจึงเรียกพ่อของฉินเผิงว่าคุณอา ส่วนเขากับฉินเผิงก็เรียกกันในตามแบบเพื่อนเรียก แต่เหล่าผู้สูงอายุยังคงเรียกกันตามศักดิ์อยู่ พ่อของฉินเผิงเรียกพ่อของฉินสือโอวว่าคุณอา
ดังนั้น วินนี่ที่ฉลาดหลักแหลมจึงถูกการเรียกขานนี้จนทำให้มึนหัวหมุนไปเลย พ่อของฉินสือโอวพูดกับเหยียนลี่ลี่ว่าทำไมยังไม่รินน้ำให้คุณป้าอีก จากนั้นก็หันกลับมาบอกฉินเผิงให้เรียกเธอว่าพี่สะใภ้ จากนั้นแม่ของฉินเผิงก็แกล้งเสี่ยวหลันหลันให้เรียกเธอว่าคุณน้าอีก เมื่อเป็นแบบนี้ก็ทำให้วินนี่ยอมแพ้แล้ว บนโต๊ะอาหารเธอไม่พูดอะไรเลย มีเพียงแต่รอยยิ้มเท่านั้น เพราะกลัวว่าจะเรียกผิด
สุดท้ายพอกินอาหารเสร็จ พ่อขอฉินเผิงก็แอบกระซิบเบาๆ ว่า “เสี่ยวโอว เมียนายอะไรก็ดีนะ เสียแค่ขี้อายเกินไป เป็นเพราะไม่คุ้นเคยกับพวกเราหรือเปล่า? ทำไมเธอไม่พูดอะไรเลย?”
ฉินสือโอวหัวเราะร่าแล้วพูดว่า “ทำอย่างไรได้ครับ อา เมียของผมน่ะขี้อาย ไม่เปิดเผยเหมือนลี่ลี่หรอกครับ”
วินนี่ยิ้มรับอยู่ตรงนั้น แต่ในใจด่าฉินสือโอวอย่างแรง คืนนี้เจ้าสามีเงอะงะนี่แหละที่สนุกสนานกับเธอที่สุดแล้ว เธอถามปัญหาเรื่องการเรียกขานนี้หลายรอบแล้ว ฉินสือโอวก็ไม่ยอมอธิบาย ทำเอาเธอโกรธจนกัดฟันกรอดๆ เลย
กินอิ่มดื่มพอจึงกลับบ้าน พักผ่อนหนึ่งคืนแล้ว วันที่สองฉินสือโอวได้ขับรถกระบะของฉินเผิงไปสำรวจดูอ่างเก็บน้ำที่พี่สาวของฉินสือโอวหมายตาไว้ นี่คือเรื่องใหญ่ที่เขาต้องทำในการกลับมาในครั้งนี้ ก็คือการหางานที่เหมาะสมให้พ่อกับแม่เพื่อค่าเวลา และทำการเติมผลิตภัณฑ์อาหารทะเลให้กับโรงแรมด้วย
บ้านเกิดของฉินเผิงถือได้ว่าเป็นเขตกึ่งภูเขา ถ้าย้อนไปก่อนหน้านี้ร้อยปี มีหลายที่ที่ยังเป็นทะเลสาบอยู่ จากนั้นก็แห้งแล้งติดต่อกันมาหลายปีบวกกับหลังสร้างชาติแล้วทะเลสาบถูกถมเพื่อทำเป็นการคมนาคมทางพื้นดิน จึงกลายเป็นหมู่บ้านพวกนี้ขึ้นมา
หากว่าย้อนไปอีกหนึ่งพันปีก่อนหน้านี้ พื้นที่รอบๆ ของเมืองพวกนี้ ล้วนล้อมรอบไปด้วยน้ำ อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นถึงจุดเชื่อมคลองขนส่งจิงหังที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่ง สมัยก่อนตอนที่การคมนาคมทางน้ำมีบทบาทสำคัญมากนั้น หมู่บ้านที่อยู่ด้านหน้าของเมืองล้วนร่ำรวยกันทั้งนั้น
ปัจจุบันเมืองที่เป็นระดับเขตอำเภอลงไปก็มีอ่างเก็บน้ำไม่น้อยเหมือนกัน น้ำบาดาลก็มีเหลือเฟือ แค่ขุดไปในหลุมน้อยใหญ่ที่อยู่บนพื้นก็สามารถกลายเป็นอ่างเก็บน้ำได้หมด นอกเหนือจากนี้ ในไม่กี่ปีมานี้ทางรัฐบาลยังได้เริ่มการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกทางน้ำใหม่ เห็นบอกว่าเพื่อเป็นการพลิกเศรษฐกิจทางด้านการเกษตร โดยการปล่อยผืนดินไปลงทุนทางด้านการประมงแทน
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ฉินเผิงที่ขับรถอยู่ก็หัวเราะออกมา พูดว่า “รัฐบาลนี่น่าสนใจจริงๆ เลย ให้ชาวสวนทำการเตรียมที่ดินไว้เพื่อไปถูกกดขี่กับอ่างเก็บน้ำ ไปๆ มาๆ คนที่รับกรรมก็ยังเป็นประชาชนอยู่ไม่ใช่เหรอ? จะถูกกดขี่ตรงไหนก็ยังเป็นการกดขี่อยู่ดีไม่ใช่เหรอ?”
ฉินสือโอวบอกว่า “จะพูดแบบนี้ก็ไม่ได้นะ ถ้านายมีความรู้มีตลาดแล้วล่ะก็ การทำอ่างเก็บน้ำก็ไม่เลวจริงๆ”
ฉินเผิงเบะปาก พูดอย่างไม่เชื่อว่า “ถ้ามีความรู้มีตลาด จะมีอะไรที่ทำแล้วไม่ดีบ้างล่ะ? ร้านซ่อมรถของฉันตอนนี้ก็ถือว่าดีนี่”
ทั้งสองคนถกเถียงกันไปมา พี่สาวของฉินสือโอวขับรถออดี้ A6 นำทางอยู่ด้านหน้า ขับไปถึงด้านหน้าอ่างเก็บน้ำของเมืองข้างๆ แล้วจึงหยุดรถ จากนั้นก็พาฉินสือโอวไปที่เขื่อนอ่างเก็บน้ำ ให้เขาดู
ไม่ต้องให้พี่สาวแนะนำ ฉินสือโอวรู้จักอ่างเก็บน้ำแหล่งนี้ดี ก่อนที่เขาจะเข้ามัธยมปลาย มักจะมาตกปลาที่อ่างเก็บน้ำนี้เป็นประจำ ฤดูร้อนเด็กๆ ในหมู่บ้านหรือไม่ก็เพื่อนในชั้นยังมีการรวมตัวกันมาทำสงครามน้ำกันที่นี่ด้วย
อ่างเก็บน้ำนี้มีชื่อว่าอ่างเก็บน้ำเสียวหย่งจวง เมืองที่มันตั้งอยู่ก็คือเมืองเสียวหย่งจวง พื้นที่ของอ่างเก็บน้ำมีทั้งหมดห้าพันแปดร้อยหมู่ (1 หมู่เท่ากับประมาณ 666 ตารางเมตร) หรือประมาณเกือบสี่ตารางกิโลเมตร อ่างเก็บน้ำมีเขื่อนดินรับแรงเฉือนอยู่อันหนึ่ง ความยาวหนึ่งกิโลเมตรครึ่ง นอกเหนือจากนี้มีสามด้านที่เป็นแปลงปลูกพืช และห่างออกไปอีกก็คือหมู่บ้านที่มีบ้านตั้งอยู่กระจัดกระจายแต่เป็นเอกลักษณ์อยู่
ยืนอยู่บนเขื่อนมองไปทั้งสี่ด้าน พอดีกับที่ตอนนี้เป็นช่วงเช้า วันนี้ค่อนข้างครึ้ม มองไม่เห็นพระอาทิตย์ แต่มีเมฆไม่มาก ทำให้มีไอลอยอยู่บนอ่างเก็บน้ำนี้ นกลุยน้ำฝูงแล้วฝูงเล่าส่งเสียงร้องแล้วก็บินผ่านไป ทำให้อ่างเก็บน้ำดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง
ฉินสือโอวจำได้ว่าตอนเด็กที่เขามาที่อ่างเก็บน้ำ มักจะรู้สึกว่าอ่างเก็บน้ำนี้ยิ่งใหญ่มาก ชายฝั่งที่ยื่นออกไปด้านข้างสองฝั่งนั้น ก็ไกลราวกับจะมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด บนผิวน้ำก็มักจะมีคลื่นน้ำใหญ่เป็นประจำ ฤดูร้อนก็ไม่ได้นิ่งเงียบเลย เขากับพวกเพื่อนล้วนไม่กล้าลงไปเล่นน้ำ
แต่ว่าตอนนี้มามองดูแล้ว ที่แท้อ่างเก็บน้ำนี้เล็กแค่นี้เอง เล็กจนไม่ใหญ่เท่ามุมมุมหนึ่งของทะเลสาบเฉินเป่าด้วยซ้ำ คลื่นลมของที่นี่ก็แลดูอ่อนโยน ฟาร์มปลาต้าฉินที่แม้จะเป็นตอนที่คลื่นลมสงบที่สุด คลื่นน้ำก็ยังใหญ่กว่าที่นี่อีก
ฉินเผิงเดินตามมาทีหลัง ในมือสะบัดก้านต้นหลิวไปมาแล้วพูดว่า “เทียบกับที่ที่นายอยู่แล้ว ที่นี่ก็แค่อ่างเล็กๆ เท่านั้น ใช่ไหม?”
ฉินสือโอวส่ายหัว พูดด้วยความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมว่า “ไม่เหมือนกัน ในใจของฉัน อ่างเก็บน้ำนี้จะเป็นอ่างที่ใหญ่ที่สุดเสมอ ที่นี่จะมีคลื่นลมที่ฉันกลัวที่สุดในโลกไปตลอดกาล…”
“พูดภาษาคนสิพี่ชาย”
“นายพูดถูกแล้ว ให้ตายสิ ที่แท้อ่างเก็บน้ำนี้เล็กขนาดนี้เอง เสียแรงตอนมัธยมต้นที่ฉันอุตส่าห์กลัวการมาเล่นน้ำที่นี่ขนาดนั้น แล้วก็ใครนะที่บอกว่าอ่างเก็บน้ำนี้มีผีน้ำสิงอยู่น่ะ? ทำเอาฉันไม่กล้ามาอาบน้ำที่อ่างเก็บน้ำนี่ไปช่วงหนึ่งเลย” ฉินสือโอพูดถึงเรื่องนี้แล้วก็รู้สึกสะอื้นในใจ
เพราะว่ามีอ่างเก็บน้ำเยอะ ทำให้มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับผีน้ำเยอะด้วย ที่เยอะที่สุดก็คือผีจะกลายเป็นตาชั่งอันหนึ่งลอยอยู่ริมน้ำเพื่อดึงดูดคนที่กลับดึกมางมในน้ำ ขอแค่มีคนเข้าใกล้ ตาชั่งในน้ำก็จะจมลงไปในน้ำเรื่อยๆ เมื่อยิ่งจมยิ่งลึก ทำให้คนจมน้ำตายไป
เรื่องเล่าแบบนี้เคยโด่งดังในพื้นที่มาก ตอนนี้ฉินสือโอวมาคิดดูก็รู้สึกงงขึ้นมา ให้ตายเถอะตาชั่งตอนนั้นไม่ใช่ตาชั่งอิเล็กทรอนิกส์สักหน่อย และถึงแม้จะเป็นตาชั่งอิเล็กทรอนิกส์ก็ไม่สามารถลอยอยู่ในน้ำได้นะ
แต่นี่แหละคือความเชื่อของคนชนบท ตอนนั้นมีคนเชื่อจริงๆ ส่วนฉินสือโอวก็กลัวจริงๆ
ยืนอยู่บนเขื่อน ฉินสือโอวปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนลงไปในอ่างเก็บน้ำ จิตสำนึกแห่งโพไซดอนสองสายแบ่งกันไปลาดตระเวนตามแนวชายฝั่งซ้ายขวา อีกหกสายก็แผ่ออกไปเป็นรูปพัด ภาพใต้อ่างเก็บน้ำได้เข้ามาในการมองเห็นของเขาทันที
อ่างเก็บน้ำนี้ดูจากบนฝั่งแล้วยังถือว่าใช้ได้ มองไปไร้พรมแดน น้ำใสสะอาด แต่ว่าสภาพแวดล้อมใต้น้ำกลับไม่ค่อยดีนัก ใต้น้ำมีขยะมากมาย ทั้งขวดแก้วที่แตกแล้ว ก้อนอิฐก้อนหิน ถุงขยะที่จมอยู่ใต้น้ำ ประตูหน้าต่างที่พังแม้กระทั่งแพไม้ที่เสียแล้วก็มีด้วยเช่นกัน พูดได้ว่าอะไรก็มี ไม่มีก็เพียงแต่ฝูงปลากับพืชน้ำเท่านั้น
ในอ่างเก็บน้ำไม่ใช่ว่าไม่มีปลา แต่ว่าปริมาณน้อยมาก ส่วนมากจะเป็นปลาพวกปลาคาร์ฟ ปลาทอง ปลาเฉาฮื้อ ปลาลิ่นและปลาซ่ง ไม่มีปลาราคาสูง จิตสำนึกแห่งโพไซดอนได้ลอยอยู่พักใหญ่ๆ เขาคำนวณดูกุ้งปลาที่พบน่าจะมีไม่ถึงหนึ่งพันตัวเลย ยิ่งปลาข้ามสายพันธุ์ยิ่งไม่มีเลย การมีอยู่ของอ่างเก็บน้ำนี้ช่างเสียเปล่าเสียจริง
………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset