ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 1569 งานเลี้ยง

ฉินเผิงรินน้ำชาให้ทั้งสองคน และยังคงหัวเราะร่าอยู่ ฉินสือโอวถูกเขาหัวเราะจนรู้สึกรำคาญ จึงจ้องไปที่เขาทีหนึ่งแล้วข่มขู่ว่า “ถ้ายังหัวเราะอีกจะจัดการนาย”
ฉินเผิงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ตั้งแต่เด็กพอเราทะเลาะกัน มีตอนไหนที่นายเอาชนะฉันได้เหรอไง?”
เมื่อฟังคำนี้แล้ว ฉินสือโอวก็หัวเราะอย่างดีใจขึ้นมา มือขวาเหวี่ยงออกไปอย่างรวดเร็ว คว้าแขนของฉินเผิงไว้ จากนั้นก็เหวี่ยงไปข้างหลังทีหนึ่ง ทำเอาแขนของเขาบิดไปอยู่ข้างหลัง ฉินเผิงพยายามสะบัด เขาใช้มือซ้ายกดไหล่ของฉินเผิงไว้ เท่านี้แค่ขยับเขายังขยับไม่ได้เลย
พี่เสียวหม่ายืนมองดูอยู่ข้างๆ แล้วก็เบิกตาโตออกมา ความสามารถในการต่อสู้ของฉินเผิงเขาเองก็รู้อยู่แก่ใจ อย่างไรเสียก็ต้องทำงานกับพวกประแจ คีม หนีบ สว่านเจาะทุกวัน อย่างน้อยๆ แขนสองข้างก็ต้องมีแรงพอสมควรล่ะ
แต่สุดท้ายแค่ฉินสือโอวมือเดียวก็กดอยู่แล้ว แล้วไหนจะสีหน้าของเขาที่แดงก่ำนั่นอีก คือไม่สามารถหลุดจากการควบคุมนั้นได้เลย
เมื่อเป็นแบบนี้พี่เสียวหม่าก็คิดไปถึงเรื่องที่เขาไปหลอกและสรรพนามที่เรียกฉินสือโอวขึ้นมา ในใจรู้สึกเย็นยะเยือก เขากำลังคิดถึงโอกาสที่จะชนะหากว่าเดี๋ยวดื่มเหล้าแล้วน้องชายคนนี้เกิดถือโอกาสตอนเมามาหาเรื่องตัวเอง คิดไปคิดมาก็พบแต่จุดจบที่น่าเศร้าทั้งนั้น นอกเสียจากว่าตัวเองจะพาสุนัขที่เลี้ยงไว้ทั้งหมดมาด้วย ไม่อย่างนั้นจะต้องถูกยำเละแน่!
ฉินสือโอวก็แค่แกล้งฉินเผิงเล่นเท่านั้น ไม่ได้คิดจะลงมือจริงๆ เขากดฉินเผิงไว้แค่ไม่กี่วิเท่านั้นก็ปล่อยมือ แล้วก็พูดอย่างได้ใจว่า “เป็นอย่างไร รู้หรือยังว่าเมื่อก่อนฉันแค่ยอมให้นายเท่านั้นแหละ?”
ฉินเผิงถูข้อมือไปมาอย่างหัวเสีย พูดว่า “ให้ตายสิ เจ้านี่ทำไมแรงเยอะอย่างนี้เนี่ย? สงสัยฉันหิวแล้วล่ะ ทำให้เนื้อตัวไม่มีแรง!”
พูดจบ เขาก็ให้ฉินสือโอวกับเสียวหม่านั่งลงดื่มชา ส่วนเขาก็ถือกระต่ายกับนกยูงป่าไปจัดการทำเป็นกับแกล้มเหล้า
เสียวหม่าไม่กล้านั่งกับฉินสือโอวแค่สองคนหรอก เขารีบรับกระต่ายมาแล้วพูดว่า “พี่เบิร์ด อันนี้ฉันจัดการเอง พี่อยู่ดื่มชาเป็นเพื่อนพี่โซ่วเถอะ พวกพี่ดื่มไปก่อน ฉันมาทำเอง กระต่ายตัวนี้เอาไปย่างที่สวนหลังบ้านพี่ก็ได้แล้ว”
ความสัมพันธ์ของฉินเผิงกับเขาดูท่าจะแน่นแฟ้นมาก จึงไม่ได้แสดงความเกรงใจอะไรมาก ยื่นกระต่ายให้เขาแล้วก็หัวเราะพร้อมพูดว่า “ฉินโซ่ว นายนี่มีลาภปากจริงๆ กระต่ายย่างที่โก่วตั้นทำน่ะหอมมากเลยนะ เดี๋ยวนายจะได้รู้ ”
อู่ซ่อมรถมีสวนหลังบ้านที่ใหญ่มาก ในสวนได้ถูกเก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน ไม่มีคราบน้ำมันหรือพวกอะไหล่ มีเก้าอี้ โต๊ะกับชุดแก้ววางตั้งไว้ น่าจะเป็นที่ที่ฉินเผิงเอาไว้ต้อนรับลูกค้าหรือไม่ก็ที่สำหรับให้พนักงานได้พักผ่อน
พื้นสวนหลังบ้านเป็นพื้นดิน พี่เสียวหม่าไปหาแผ่นก้อนหินมา แล้วก็ทำการก่อเป็นเตาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หลังจากเอากระต่ายไปเลาะหนังแล้วก็หมักเสร็จแล้วนั้น ก็ใช้ไม้ไผ่สองแท่งมาเสียบไว้ แล้วไปวางไว้ที่เตาเพื่อย่าง
ฉินเผิงได้เตรียมหมูติดมันไว้ชิ้นหนึ่ง พี่เสียวหม่านำหมูติดมันนี้มาหั่นแล้วก็วางไปบนตัวของกระต่าย เท่านี้พอไฟค่อยๆ ร้อนแล้ว น้ำมันพวกนี้ก็จะซึมเข้าไปในเนื้อของกระต่าย รอจนเนื้อหมูพวกนี้ละลายจนไม่มีน้ำมันออกมาแล้ว เขาก็จะเอาเนื้อยัดเข้าไปในท้องของกระต่าย
ฉินสือโอวเห็นการย่างกระต่ายแบบนี้เป็นครั้งแรก จึงเข้าไปถามว่า “นี่มันวิธีย่างกระต่ายอะไรเหรอ?”
พี่เสียวหม่าหัวเราะเหอๆ แล้วพูดว่า “พ่อฉันสอนมาน่ะ เนื้อกระต่ายแห้งมาก โดยเฉพาะเนื้อกระต่ายในฤดูใบไม้ผลิ แห้งจนไม่สามารถกินได้ ตัวมันเองก็ไม่มีไขมัน ดังนั้นจึงต้องใช้เนื้อหมูมาอบ เพื่อให้น้ำมันหมูซึมเข้าไปในเนื้อ เท่านี้เนื้อกระต่ายก็จะไม่แห้งเกินไปแล้ว”
ภายใต้อุณหภูมิความร้อนที่สูงทำให้น้ำมันหมูส่งกลิ่นหอมอบอวลออกมา นั่นน่ะคือกลิ่นหอมของเนื้อที่แท้จริง สามารถเพิ่มความอยากอาหารให้คนได้ ไม่นานลูกสาวของฉินเผิงก็วิ่งเตาะแตะเข้ามา ในปากได้อมนิ้วมือที่อ้วนท้วมไว้แล้วมองลงมาที่กระต่ายย่าง
ฉินสือโอวคือสายกิน ดังนั้นจึงมีความรู้สึกดีกับสายกินด้วยกันเป็นพิเศษ ดั่งคำที่ว่าคนกลุ่มเดียวกันจะมาอยู่ด้วยกัน การได้เห็นวิธีการกินของพี่เสียวหม่าแบบนี้แล้ว เขาก็ให้อภัยเจ้าหมอนี่ที่หลอกเขาแล้วล่ะ แล้วก็ตัดสินใจที่จะจ้างเขาไปช่วยพ่อแม่เลี้ยงสุนัขด้วย
จุดที่สำคัญที่สุดก็คือพี่เสียวหม่าเป็นคนที่ดูไม่มีพิษไม่มีภัยด้วย เหมือนกับที่เขารู้สึกก่อนหน้านี้ เจ้าหมอนี่มีบุคลิกซื่อบื้อ สามารถกำจัดความเคลือบแคลงใจของคนไปได้
อาจจะเป็นไปได้ ว่าเขาเองก็ใช้บุคลิกแบบนี้นี่แหละในการใกล้ชิดกับพวกสุนัข บางทีพวกสุนัขอาจจะรู้สึกว่าเจ้าสองขาคนนี้ซื่อบื้อมาก สามารถไว้ใจได้ แต่ทว่าฉินสือโอวกลับไม่คิดว่าพี่เสียวหม่าซื่อบื้อนะ เจ้าหมอนี่น่ะฉลาดจะตาย!
กระต่ายหนึ่งตัวใช้ผงเครื่องเทศห้าอย่างกับผงยี่หร่ามาทำเป็นเครื่องปรุงรส ส่วนอีกตัวก็ใช้พริกป่นและผงยี่หร่ามาเป็นเครื่องปรุงรส กระต่ายสองตัวสองรสชาติ กลิ่นหอมของหม่าล่าได้ลอยล่องออกมาจากในสวน
ลูกสาวของฉินเผิงนั่งอยู่ข้างๆ มองดูอย่างใจจดใจจ่อ พี่เสียวหม่าแกล้งหยอกเธอเล่นสารพัด เขาหยิบกระต่ายย่างออกมาเหวี่ยงไปตรงหน้าเธอเป็นพักๆ เด็กหญิงตัวน้อยจ้องตาเป็นมัน ยื่นมือออกไปคว้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ทุกครั้งที่พอเกือบจะคว้าได้แล้วก็จะถูกพี่เสียวหม่าดึงกลับไป
ฉินเผิงจัดการล้างทำความสะอาดนกยูงป่า แล้วเอานกยูงป่าไปตุ๋นกับเห็ดหอมเพื่อทำเป็นซุป หั่นนกยูงป่าเป็นสองท่อนทำเป็นรสหม่าล่ากับผัดนกยูงป่า
นอกเหนือจากนี้ เขายังได้ทำกุยช่ายผัดไข่ ผักกวางตุ้งจีนคลุกน้ำมันพริกกับแตงกวาหนามผัดเนื้อหมูด้วย สุดท้ายยังเอาปลาคาร์ฟไปอบในหม้ออีก เท่านี้มื้อกลางวันอันโอชะก็เสร็จแล้ว
ทางนี้กระต่ายสองตัวได้ย่างเสร็จแล้ว เด็กหญิงตัวน้อยยื่นมือมาอยากกินด้วย ร้องว่า “ป่าป๊า ขอหนูหนึ่งชิ้น ขอหนูหนึ่งชิ้น หลันหลันกิน ให้หลันหลันกิน”
ฉินเผิงใส่ใจกับการเลี้ยงดูอย่างมาก โดยเฉพาะหลังจากได้เห็นความเป็นกุลสตรีของวินนี่แล้ว ก็คิดอยากจะเลี้ยงลูกสาวให้เป็นเทพธิดาอย่างนั้นบ้าง ดังนั้นพอเด็กหญิงร้องงอแง เขาจึงปั้นหน้าแล้วพูดว่า “ปกติหม่าม๊าสอนหลันหลันว่าอย่างไรคะ? พวกคุณอายังไม่ได้กินเลย หลันหลันจะกินได้อย่างไร?”
ฉินสือโอวรู้สึกชอบเด็กหญิงมาก เขาเข้าไปหยิบกระดูกมาชิ้นหนึ่งยัดเข้าไปในปาก จากนั้นก็เลือกขาหลังของกระต่ายให้เด็กหญิง พูดว่า “คุณอากินแล้ว หลันหลันก็กินด้วยสิ”
ฉินเผิงพูดอย่างไม่พอใจว่า “นายทำอย่างนี้ก็เท่ากับให้ท้ายเด็กสิ?”
ฉินสือโอวพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ให้ท้ายกะผีสิ ลูกสาวต้องเลี้ยงอย่างเศรษฐี ลูกชายต้องเลี้ยงอย่างยาจก หลักการนี้ไม่เข้าใจเหรอ? นายจะต้องให้ท้ายเธอมากๆ ไม่อย่างนั้นนายจะเลี้ยงกุลสตรีมาให้ไปเสียท่าให้ไอ้หนุ่มหน้าเหม็นคนไหนอย่างนั้นเหรอ?”
ฉินเผิงคิดสักพัก พูดว่า “คำพูดนี้ของนายมีเหตุผล ให้ตายสิ แค่คิดว่าอีกยี่สิบปี ลูกสาวฉันอาจจะไปเสียท่าให้ไอ้หนุ่มหน้าเหม็นสักคนฉันก็โกรธแล้ว”
พี่เสียวหม่าเข้ามาพูดว่า “พี่เบิร์ด ผมรออีกยี่สิบปีได้นะ ถึงตอนนั้นผมก็จะไม่ใช่ไอ้หนุ่มหน้าเหม็น…”
“ฉันจะตีนายให้ตาย!” ฉินเผิงพูดอย่างโกรธเคือง “ตีให้ตายแล้วเอาไปให้สุนัขกิน!”
นำเอากับข้าวมาวางบนโต๊ะ ฉินเผิงได้เอาของกินเล่นที่พ่อของเขาดองไว้มาอีกสองจาน จานหนึ่งเป็นหัวไชเท้าดองเปรี้ยวเผ็ด อีกจานเป็นตีนไก่ดองพริกสด เมื่อเห็นพริกสดในนั้นแล้ว น้ำลายของฉินสือโอวก็ไหลออกมา นี่น่ะคือปฏิกิริยาต่อเนื่องที่พ่อของฉินเผิงให้เขาไว้ ตอนเด็กๆ เขาชอบการมากินของกินเล่นที่บ้านของพวกเขาเป็นที่สุดเลย
ทั้งสามคนนั่งลง ฉินเผิงรินเหล้าเสร็จแล้วก็บอกเริ่มกินได้ ฉินสือโอวให้เหยียนลี่ลี่มาร่วมโต๊ะด้วย แต่ฉินเผิงปัดมือบอกว่าไม่ต้องหรอก ฉินสือโอวจึงไม่พอใจขึ้นมาทันที พูดว่า “นี่เป็นธรรมเนียมที่ผิดพลาดของชนบทล่ะ แม่น่ะยิ่งใหญ่มากนะ จะไม่ให้มาร่วมโต๊ะด้วยได้อย่างไร? รีบมาเร็ว ไม่อย่างนั้นฉันจะพลิกโต๊ะแล้วไปละนะ!”
อาจเป็นเพราะพอมีเงินแล้วจะเส้นใหญ่เป็นพิเศษ คำพูดก็ค่อนข้างมีน้ำหนัก สรุปคือฉินสือโอวในตอนนี้ไม่ว่าจะอยู่กับใคร ก็จะทำตัวเป็นคนออกคำสั่งทั้งนั้น วินนี่หัวเราะเขาหาว่าเขาเป็นกษัตริย์ป่าเถื่อน
ฉินเผิงจนปัญญา ให้เหยียนลี่ลี่พาลูกสาวมาร่วมโต๊ะด้วย พอเป็นแบบนี้ฉินสือโอวจึงพยักหน้าอย่างพอใจ หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วเริ่มกินอย่างเอร็ดอร่อย
……………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset