ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 241 พี่เลี้ยงนิมิตส์

บทที่ 241 พี่เลี้ยงนิมิตส์
โดย
Ink Stone_Fantasy

เพราะใช้เวลาช่วยบุชไปพอสมควร จึงทำให้ออกทะเลช้า ทว่าฉินสือโอวยังไม่วางใจอาการเจ้าตัวนี้ วันนั้นเขาเลยไม่ออกทะเล ให้ชาร์ค ซีมอนสเตอร์และอีวิลสันไปกันเองสามคน
ด้วยเหตุนี้เขาจึงคอยดูเลยบุชอยู่ที่เรือยอชต์ ในส่วนของฝูงปลาทูน่าครีบน้ำเงินที่ส่งไปยังฟาร์มปลาต้าฉิน
เขาคาดว่า พอพวกปลาทูน่าครีบน้ำเงินไปถึงฟาร์มปลาก็น่าจะยังรู้สึกแปลกที่อยู่ แต่เมื่อไรที่เริ่มท้องร้องพวกมันก็จะล่าปลาค็อดกับปลาแฮร์ริ่ง กุ้งแดงมากิน เท่านี้มันคงแทบตกหลุมรักที่นั่นทันที
กุ้งปลาที่ผ่านการวิวัฒนาการจากพลังโพไซดอน รสชาติจึงคนละเรื่องกับกุ้งปลาทั่วไปมาก ฟาร์มปลามีอาหารการกินสมบูรณ์ อยู่ที่นี่ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการเอาตัวรอด
ขนาดนี้แล้ว ฝูงปลาทูน่าครีบน้ำเงินจะไปจากฟาร์มปลาได้ยังไง?
ฉินสือโอวคอยส่งพลังโพไซดอนให้บุชเรื่อยๆ เมื่ออินทรีหัวขาวน้อยได้พักฟื้นวันหนึ่งแล้ว มันก็กลับมามีชีวิตชีวาขึ้น
แน่นอนว่าไม่ได้ถึงขั้นแข็งแรงกระฉับกระเฉง แต่มันก็พอจะกินเนื้อปลาฉีกเองไหวแล้ว ซึ่งเป็นสัญญาณว่าสามารถอยู่รอดได้
ช่วงบ่าย ฉินสือโอวเห็นว่าอาการบุชค่อยๆ ดีขึ้นก็เตรียมเข้าฝั่งไปเดินเล่น และเจอตาแก่เจมส์ที่กำลังซ่อมเรือเล็กพอดี
พอรู้ว่าฉินสือโอวอยากเดินเที่ยวในเมืองท่าเล็กๆ เจมส์ก็กระตือรือร้นอยากเป็นไกด์ให้เขามาก
ระหว่างทาง ตาแก่เจมส์ก็เริ่มแนะนำเมืองกลอสเตอร์ก่อน “เมืองเล็กๆ นี้อยู่มาจะสี่ร้อยปีแล้ว ทั้งพื้นที่ในเมืองและประชากรแทบไม่เคยเปลี่ยน การประมงเคยเป็น และยังคงเป็นอุตสาหกรรมหลักของที่นี่ นี่คือเมืองที่เวลาถูกหยุดไว้นั่นเอง”
ประโยคสุดท้ายของเจมส์คือคำขวัญของเมืองกลอสเตอร์ ฉินสือโอวเคยเห็นประโยคนี้บนป้ายหลายแห่งเขียนว่า ‘Where the Past is Present’ แปลว่า ‘เวลาหยุดลงที่นี่’
ท่าประมงไม่มีวิวอะไรให้ดู ตาเฒ่าเจมส์เน้นให้ดูรูปปั้นที่ฉินสือโอวเคยเห็นมาแล้วเมื่อวาน…รูปปั้นคนข้างพวงมาลัย รูปปั้นนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1923 เพื่อฉลองวันครบรอบ 300 ปีที่ก่อตั้งเมืองกลอสเตอร์ เป็นรูปปั้นที่มีชื่อเสียงที่สุดและยังถือเป็นจุดเด่นอีกแห่ง
ข้างรูปปั้นติดกับราวกั้นมหาสมุทรแอตแลนติก มีแผ่นหินมากมายตั้งอยู่ มันแกะสลักไว้เหมือนกับอนุสาวรีย์สงครามเวียดนามที่วอชิงตัน เบื้องหลังชื่อทั้งหมดนั้นคือชีวิตของชาวประมงเมืองกลอสเตอร์ที่ถูกฝังในทะเล
เมื่อมองแผ่นหินเหล่านี้ เจมส์ก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ฉิน คนรวยอย่างพวกนายอาจคิดว่าทะเลเป็นที่สำหรับพักผ่อนและแหล่งผลิตอาหารทะเลอร่อยๆ แต่สำหรับพวกเรา ทะเลนั้นเป็นเหมือนพ่อที่น่ายำเกรงมากกว่าแม่ผู้เมตตา”
ฉินสือโอวมองดูแผ่นหิน แผ่นที่ตั้งเตะตาที่สุดสร้างขึ้นเมื่อปี 1879 ในปีนั้นเกิดพายุขึ้น มีชาวประมง 249 คนและเรือ 29 ลำหายสาบสูญไป
ผละจากแผ่นหินพวกนั้นมาเดินเลียบชายฝั่ง ก็จะเห็นรูปปั้นที่เป็นจุดเด่นอีกแห่งของเมือง ‘อนุสรณ์สถานของภรรยาชาวประมง’ ซึ่งรูปปั้นนี้กับ ‘คนข้างพวงมาลัย’ สะท้อนความหมายอันล้ำลึกต่อกัน
ขณะกำลังเดินทาง เหมาเหว่ยหลงก็โทรหาฉินสือโอว บอกว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวที่มาสังเกตการณ์เมืองแฟร์เวลกลับมาแล้ว แล้วประเมินให้เกาะแฟร์เวลสูงมาก ถึงขั้นระดับ 5A ของจุดท่องเที่ยวนานาชาติเลย เชื่อว่าอีกไม่กี่วันนักท่องเที่ยวกลุ่มแรกคงออกเดินทางแล้ว ให้ดีเขาควรมาทำความรู้จักพวกเขาไว้ดีกว่า มีสาวงามหลายคนด้วย
ฉินสือโอวบอกฉันยังกลับไปพบพี่น้องร่วมชาติไม่ได้ ตอนนี้ฉันอยู่ตกปลาที่อเมริกา อย่างน้อยสิบวันไม่ก็ครึ่งเดือนถึงจะกลับได้
หลังคุยเสร็จ ตาแก่เจมส์ก็พาฉินสือโอวไปดูจุดท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองนี้คือหาดฮาร์ฟมูนนั่นเอง
เนื้อที่ชายหาดนี้ไม่ได้ใหญ่มาก ความยาวชายฝั่งดูไม่ถึงกิโลเมตรด้วยซ้ำ แต่บรรยากาศสวยงามทีเดียว
ต้นไม้สีเขียวฟ้าสีคราม ทะเลสีฟ้าหาดสีทอง ทรายสะอาดเกลี้ยงเกลาเหมือนจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่ล้อมรอบด้วยอ่าวเล็กๆ น้ำทะเลซัดสาดขึ้นลงไปมา สวยงามยิ่งกว่าหาดบาหลี ฮาวายเสียอีก
แค่เห็นหาดนี้แวบแรก ฉินสือโอวก็ตกหลุมรักทันที เขาไม่ได้คอยตามตาเฒ่าเจมส์มีเดินทอดน่องเองบ้าง เขาเดินเท้าเปล่าบนหาดไปจนเจอโขดหินโสโครก แล้วนั่งอย่างสงบอยู่ตรงนั้นตลอดบ่าย
ตกเย็น ฉินสือโอวซื้อพวกอาหารเนื้อทอด ปลาย่างจากร้านอาหารจานด่วนบนชายฝั่ง เมื่อกลับมาถึงเรือนางนวล ก็เห็นนกฟรีเกตยักษ์นิมิตส์บินเข้าไปในห้องโดยสารพอดี
เขาค่อนข้างกังวลจึงรีบตามเข้าไป เพราะนิมิตส์เคยถูกอินทรีทองทำร้ายมาก่อน มันน่าจะไม่ถูกกับนกจำพวกอินทรีเท่าไร
ตอนกลางวันฉินสือโอวก็รับรู้ได้ถึงสายตาคมกริบที่จ้องบุชไม่หยุด แต่เพราะฉินสือโอวยังอยู่ด้วย นิมิตส์เลยไม่กล้าลงมือ
พอวิ่งมาถึงหน้าประตู ฉินสือโอวเห็นนิมิตส์ดูอยากปะทะกับเจ้าบุชมาก ขนบนตัวมันพองออก ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเตรียมตัวจู่โจม
หู่จือกับเป้าจือนอนขี้เกียจอยู่บนโซฟา กระดิกหางมองอย่างตื่นเต้น พวกมันก็ไม่พอใจบุชเหมือนกัน ฉินสือโอวไม่ยอมเล่นกับพวกมันทั้งวัน มันเลยโทษว่าเป็นเพราะบุช
ด้านบุชยังนั่งแกร่วอยู่ในเศษไม้ มันเบิกตาเอียงคอมองนิมิตส์ สองตาหรี่ลงมองอีกฝ่าย ตาดำเล็กๆ นั้นคล้ายกำลังสับสน
ว่าไป ตอนนี้ขนสีน้ำตาลเข้มของบุชยังไม่เหมือนอินทรีหัวขาวเสียทีเดียว แต่กลับดูเหมือนลูกนกฟรีเกตแบบนิมิตส์มากกว่า…ฟรีเกตตัวเมียเสียด้วย ซึ่งขนของนิมิตส์ไม่ได้เป็นสีดำล้วน แค่ออกสนิมน้ำตาล
นิมิตส์ร้อง ‘แกว๊กแกว๊ก’ กางปีกเตรียมโจมตี บุชได้ยินเสียงก็ร้อง ‘แกว๊กแกว๊ก’ ตาม แล้วลุกขึ้นวิ่งไปหานิมิตส์
ฉินสือโอวเกือบจะห้าม ปรากฏนิมิตส์ไม่ได้โจมตี มันมองบุชที่ตรงเข้ามาหามัน แล้วรีบกระโดดถอยห่าง
แต่ด้วยกรงเล็บที่ไม่ค่อยแข็งแรงของนกฟรีเกต ทำให้สภาพตอนมันกระโดดถึงพื้นแล้วซวนเซเกือบล้มดูน่าอนาถทีเดียว เสียหน้าเข้าให้แล้ว
นิมิตส์พยายามกระพือปีกทรงตัว บุชพุ่งเข้าไปพร้อมส่งเสียง ‘แกว๊กแกว๊ก’ หัวเล็กๆ มุดเข้าหาอ้อมกอดนิมิตส์
นิมิตส์งงไปหมด เดิมมันตั้งใจจะฆ่าอินทรีน้อย แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงติดหนึบกับตัวเองขนาดนี้?
นิมิตส์กางปีกโก่งคอและร้อง ‘แกว๊กแกว๊ก’ แสดงความน่าเกรงขาม บุชร้อง ‘แกว๊กแกว๊ก’ ตอบ ยังคงถูไถกับนิมิตส์ที่ยังงุนงง
ฉินสือโอวหลุดหัวเราะ บุชยังเด็กเกินไป เลยค่อนข้างซื่อบื้อ คงเห็นนิมิตส์กลายเป็นแม่ตัวเองไปแล้ว เพราะท่าทางแบบนี้คือปฏิกิริยาลูกนกเจอแม่นกชัดๆ
นิมิตส์หมุนตัวหนีบุชที่ตามคลอเคลีย ตอนนี้ถึงมันอยากหนีก็หนีไม่พ้น ห้องโดยสายเล็กเกินกว่าจะกางปีกบิน ถ้าจะวิ่ง ด้วยขาที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพกับขนาดตัวที่ใหญ่ของนกฟรีเกตก็คงหนีจากลูกนกอินทรีหัวขาวไม่พ้นอยู่ดี…
กรงเล็บของนกอินทรีหัวขาวนั้นมีพละกำลังมาก ฝ่าเท้าที่หยาบเหมือนกระดาษทรายของพวกมัน สามารถจับปลาหนักหลายกิโลกรัมในน้ำได้ และยังสามารถวิ่งกระโดดไล่ตามกระรอกในป่าได้อีกด้วย
ดังนั้นถึงบุชจะยังเป็นแค่ลูกนกอินทรี แต่มันไล่ตามนิมิตส์ได้แน่นอน
นิมิส์หนีไปได้ไม่เท่าไรก็ต้องยอมหยุดอย่างไม่ยินดีนัก บุชเข้าซุกใต้ปีกมันพลางร้อง ‘กรู๊กรู๊’ พอมุดเข้าไปแล้วก็ไม่ออกมาอีก รังเศษไม้ที่ฉินสือโอวทำให้ช่างเสียเปล่าจริงๆ
หู่จือกับเป้าจือพอเห็นว่าไม่ได้สู้กันก็เริ่มเบื่อ หันไปใช้ลิ้นเลียขนบนหัวให้กันและกัน อย่าคิดว่าพวกมันรักสะอาดเชียว นี่คือการที่แลบราดอร์ใช้น้ำลายเลียให้ขนชุ่มชื้นเพื่อลดความร้อนเท่านั้น
ฉินสือโอวยิ้มเข้าไปลูบๆ เจ้าพวกนี้ทีละตัว รวมถึงดึงปีกนิมิตส์ออกเพื่อลูบบุชด้วย ปรากฏบุชกลับไม่ยอม มุดเข้าใต้ปีกยิ่งกว่าเดิม
นิมิตส์ก็ดูจะยอมรับชะตากรรมแล้ว มันหน้ามุ่ยคอตกกับพื้น ไม่ได้ปฏิเสธบุชที่เข้ามาใกล้ชิด
ตอนค่ำ พวกชาลส์มาหาฉินสือโอว ถามเขาว่าทำไมวันนี้เขาไม่ไปจับปลา ฉินสือโอวตอบผมอยากจะพักเสียหน่อย มีแค่พวกชาร์คไปก็พอแล้ว
พวกชาลส์อิจฉามาก พวกเขาออกทะเลจับปลาเพื่อมีชีวิตรอด แต่เป็นแค่ความสนุกสำหรับฉินสือโอว ช่องว่างทางสังคมนี้ช่างกว้างนัก
ก่อนแยกย้ายพวกชาลส์บอกฉินสือโอวว่าพรุ่งนี้เขาต้องไปทะเลนะ ฉินสือโอวไม่มีอะไรต้องปิดบัง จึงตอบว่าเขาไปที่ชายหาดน้ำตื้นจอร์จได้อยู่
ได้รับคำตอบเช่นนั้น ชาลส์และชาวประมงคนอื่นๆ ก็คาดหวังอยากขอยืมใช้ถังน้ำแข็งเรือสโนว์บอลเสียหน่อย เพราะเรือประมงพวกเขาไม่สามารถเก็บน้ำแข็งได้เกินสองวันสองคืน ทำให้ต้องคอยกลับมาที่ท่าเรือ ซึ่งเปลืองค่าน้ำมันมาก ค่าน้ำมันดีเซลไปกลับทั้งหมดก็สี่ร้อยดอลลาร์แล้ว
แต่เรือสโนว์บอลไม่เหมือนกัน ถังน้ำแข็งทำจากโพลี่ยูริเทนโฟมแบบแข็ง ทำให้สามารถเก็บน้ำแข็งได้ประมาณห้าวัน
ด้วยเหตุนี้ ถ้าเติมน้ำแข็งจากเรือสโนว์บอลได้ พวกชาลส์ก็ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปมาทุกวัน
สักพัก พวกชาร์คก็กลับมา
……………………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset