ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 292 ฟาร์มปลาอีกหนึ่งแห่ง

ฉินสือโอวกดปอหลัวให้นั่งลงกับพื้น แล้วให้หู่จือและเป้าจือนั่งลงไปตรงข้ามกับมัน เขานั่งยองๆ ลงข้างๆ แล้วสอนพวกมันว่า “พวกแกเป็นเพื่อนกันนะเข้าใจไหม? ต่อไปไม่อนุญาตให้ทะเลาะกันอีก ให้เล่นด้วยกันเท่านั้น ถ้าหากฉันเห็นว่าใครทะเลาะกันอีก เจ้าพวกนั้นจะไม่ได้กินข้าว เข้าใจใช่ไหม?”
เด็กๆ ทั้งสามตัวกะพริบตาปริบๆ สีหน้าของพวกมันแต่ละตัวดูใสซื่อบริสุทธิ์ ทว่าพอฉินสือโอวเดินออกไป พวกมันก็พากันสองตัวไล่ตามอีกตัววิ่งหนีอีกครั้ง
มีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ ฉินสือโอวไม่มีเวลามาสนใจแล้ว เห็นกอร์ดอนกับมิเชลที่กำลังเล่นเกมอยู่ เขาจึงตะโกนลงไปบอกให้ทั้งสองคนไปดูหู่จือ เป้าจือกับปอหลัว ไม่ให้ทะเลาะกันขึ้นมาจริงๆ ไม่อย่างนั้นต้องวุ่นวายแน่ๆ
เรื่องสำคัญที่ฉินสือโอวต้องทำ ก็คือการวางแผนซื้อฟาร์มปลาบ้านเกิดของปลาค็อด
เออร์บักช่วยเขาหาข่าวคราวภูมิหลังของเจ้าของฟาร์มปลาบ้านเกิดของปลาค็อด ไคดิ กู๊ดแล็ค เจ้าของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง
ตระกูลกู๊ดแล็คย้ายจากอเมริกา มาที่นครเซนต์จอห์นตั้งแต่ประมาณหนึ่งร้อยยี่สิบปีที่แล้ว จากนั้นก็สร้างคลินิกทันตกรรมขึ้นมาหนึ่งแห่ง ต่อมาคลินิกทันตกรรมก็ขยายใหญ่จนกลายเป็นโรงพยาบาล ชื่อว่าโรงพยาบาลทันตกรรมกู๊ดแล็ค
ในการซื้อฟาร์มปลาแห่งนี้ ไคดิ กู๊ดแล็คอยากจะลงทุนเพื่อทำเงินสักก้อน เขาซื้อมันมาในตอนที่ฟาร์มปลาในนิวฟันด์แลนด์กำลังล่มสลาย ตอนนั้นราคาของฟาร์มปลาลดลงอย่างมาก เขาคิดว่าพอผ่านไปไม่กี่ปีทรัพยากรจะฟื้นคืนขึ้น แล้วราคาก็จะเพิ่มขึ้นเอง
น่าเสียดาย ที่เขาไม่ใช่นักลงทุนที่สามารถทำกำไรจากความเสี่ยงได้ ซื้อฟาร์มปลามายี่สิบปีแล้ว แต่ปรากฏว่าทรัพยากรการประมงไม่เพียงแต่ไม่ฟื้นฟูขึ้นมาหากแต่ยังลดน้อยลงอีกด้วย ดังนั้นเขาจึงมีความคิดที่จะขายฟาร์มปลา โดยได้ติดป้ายราคาไว้ที่ สิบเอ็ดล้านดอลลาร์
ราคาที่ฉินสือโอวตั้งไว้สำหรับฟาร์มปลาบ้านเกิดของปลาค็อดอยู่ที่ เก้าล้านถึงเก้าล้านห้าแสนดอลลาร์ เส้นฝั่งทะเลของฟาร์มปลาแห่งนี้มีความยาวเพียงแปดกิโลเมตรเท่านั้น สั้นกว่าฟาร์มปลาของมิสเตอร์รอทอยู่ 1.2 กิโลเมตร อีกทั้งยังอยู่ใกล้กับโรงงานอุตสาหกรรมเคมี ทำให้ยิ่งได้รับมลภาวะปนเปื้อนที่ยิ่งรุนแรง ดังนั้นราคาต้องถูกลงอย่างน้อยสิบเปอร์เซ็นต์
แฮมเล็ตช่วยเขานัดไคดิ กู๊ดแล็ค ชายอายุราวๆ หกสิบปี สวมใส่แว่นตาที่มีสายคล้องสีทอง ท่าทางคงแก่เรียน เขารักษาท่าทางสงบเงียบไว้ทุกตลอดเวลา ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับการที่เขาเป็นหมอมาเป็นเวลานานด้วยหรือเปล่า
ฉินสือโอวเตรียมตัวจะไปเยี่ยมเขาที่บ้านสักหน่อย แต่ปรากฏว่าวันที่ 4 เดือนกันยายน ไคดิ กู๊ดแล็คก็มาเยี่ยมเขาด้วยตัวเองถึงที่ ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง เขาก็ถามขึ้นมาว่า “หลานชายของฉิน[1] นายสนใจฟาร์มปลาของฉันใช่ไหม?”
ถ้าหากไม่เข้าใจเจตนา การเรียกชื่อแบบนี้ ตามธรรมเนียมของจีนก็คือการด่าคนนั่นเอง แต่ฉินสือโอวเข้าใจดี กู๊ดแล็คหมายถึงหลานชายของฉินหงเต๋อนั่นเอง ดังนั้นเขาจึงรีบแนะนำตัวเอง เชิญให้เขานั่งลงพร้อมทั้งรินชาให้เขา
กู๊ดแล็คมองไปรอบๆ วิลล่า เขาพูดพร้อมกับทอดถอนใจว่า “เทียบกับเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ที่นี่เปลี่ยนไปไม่มาก นายไม่เคยคิดจะตกแต่งมันหน่อยเหรอ?”
วิลล่าของฟาร์มปลาใช้วัสดุไม้แบบดั้งเดิม พื้นบ้านเป็นไม้ที่มีการขัดเงาด้วยแรงงานคน เฟอร์นิเจอร์ทุกชุดทำมาจากไม้วอลนัทดำขึ้นรูป พวกผนังและคานบ้านก็ทำด้วยวัสดุจำพวกไม้เช่นกัน อย่างเช่น ไม้เบิร์ช ไม้สน ไม้บีช เป็นต้น ทนทานยิ่งนัก ทั้งยังมีความเรียบง่ายแบบดั้งเดิมอีกด้วย
หลังจากฉินสือโอวเข้ามาอยู่ที่นี่ ก็เคยคิดที่จะตกแต่งปรับปรุงสักนิดสักหน่อยเหมือนกัน เมื่อก่อนเขาเคยเห็นการปรับปรุงวิลล่าที่มีความสวยงามและทันสมัยจากในทีวี เขาเองก็เคยรู้สึกอิจฉาอยู่ลึกๆ
แต่ว่าหลังจากเข้ามาอยู่ได้สักพัก เขาก็ล้มเลิกความคิดที่จะตกแต่งบ้านใหม่ วิลล่าหลังนี้ไม่มีเส้นเหล็ก ไม่มีคอนกรีต ไม่มีอิฐและกระเบื้อง มีเพียงกลิ่นอายของดินเหนียวกับท่อนไม้ อาศัยอยู่ที่นี่ ให้ความรู้สึกปลอดภัยทั้งกายและใจเหมือนกับได้กลับไปอยู่ในธรรมชาติ
ไม่ว่าข้างนอกจะยุ่งวุ่นวายแค่ไหน ชีวิตจะมีความกดดันเท่าไร เพียงแค่อาศัยอยู่ในบ้านแบบนี้ ก็คล้ายกับว่าเพียงครู่เดียวความกดดันพวกนั้นก็จะหายไป ร่างกายและจิตใจที่อ่อนล้าก็จะได้รับการเติมพลังอย่างรวดเร็ว
“ผมชอบสภาพแวดล้อมแบบนี้ที่สุดเลยครับ”ฉินสือโอวพูดไปด้วยยิ้มไปด้วย “ลูกๆ ของผมก็ชอบเหมือนกัน”
กู๊ดแล็คยิ้มออกมา เขาพูดกับฉินสือโอวว่า “ดูนายก็อายุไม่มาก แต่ว่าก็มีลูกแล้วเหรอ?”
ฉินสือโอวผิวปากด้วยเสียงดังกังวานอย่างเหนือระดับหนึ่งครั้ง หู่จือ เป้าจือ ปอหลัว ที่กำลังคุมเชิงกันอยู่ก็พากันวิ่งสุดฝีเท้าเข้ามาในวิลล่า ฉงต้าที่กำลังลากต้าป๋ายก็วิ่งแจ้นออกมาจากในครัว บุชที่กำลังพักผ่อนอยู่ในพงหญ้าก็วิ่งโคลงๆ เคลงๆ เข้ามา กระรอกน้อยกับครอบครัวกระรอกดินก็มาถึงเป็นกลุ่มสุดท้าย
กู๊ดแล็คตกตะลึงจนตาค้าง ฉินสือโอวหัวเราะเสียงดัง แล้วพูดเสริมว่า “พวกนี้เป็นลูกๆ ของผมเองครับ แล้วก็ยังมีนกโจรสลัดที่น่าเกรงขามอีกหนึ่งตัว มันออกไปจับปลาในทะเล ยังไม่กลับมา”
เห็นฉินสือโอวรักใคร่สัตว์เลี้ยงพวกนี้ กู๊ดแล็คก็พูดกับเขาว่า “ที่แท้นายก็หมายถึงพวกมันนี่เอง ฉันนึกว่าเด็กๆ ที่อยู่ในลานบ้าน ฉันคิดๆ ดู เด็กๆ พวกนั้นไม่เหมือนกับว่ามีเชื้อสายของคนผิวเหลืองอยู่เลย”
เออร์บักเล่าเรื่องราวของเด็กๆ ทั้งสีคนให้เขาฟังอย่างสั้นกระชับ สายตาของกู๊ดแล็คที่มองไปยังฉินสือโอวเต็มไปด้วยความชื่นชม เขากล่าวว่า “นายเหมือนกับปู่ของนายเลยนะ เด็กน้อย พวกนายต่างก็เป็นคนดีที่มีคุณธรรมสูงกันทั้งคู่”
ฉินสือโอวยิ้มออกมาอย่างเก้อเขิน การรับเลี้ยงเด็กๆ ทั้งสี่คนเป็นความตั้งใจของเออร์บักต่างหาก ความจริงแล้วเขามีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ไม่มากเท่าไร
หลังจากสร้างความสนิทสนมกันอย่างเรียบง่ายแล้ว กู๊ดแล็คก็เข้าสู่ประเด็นหลักทันที “ฉันยินดีที่จะขายฟาร์มปลาของฉัน พ่อหนุ่ม นายลองดูแล้วกันว่าจะให้ราคาฉันเท่าไร?”
ฉินสือโอวกระแอมไอหนึ่งครั้ง แล้วพูดขึ้นมาว่า “มิสเตอร์ไคดิ คุณก็รู้ ว่าผมมีแผนการครั้งใหญ่ ความกดดันในการลงทุนค่อนข้างสูง ตอนนี้เงินที่นำออกมาใช้สำหรับซื้อฟาร์มปลา ก็มีแค่เก้าล้านเท่านั้น”
กู๊ดแล็คส่ายหัว “จริงๆ แล้วราคาที่ฉันต้องการก็ค่อนข้างสูง แต่ว่าราคาเก้าล้านคงจะเป็นไปไม่ได้หรอก เอาอย่างนี้นะ พ่อหนุ่ม เก้าล้านห้าแสน ของทุกอย่างในฟาร์มปลาก็ยกให้นายหมดเลย เป็นยังไง?”
นี่เป็นราคาที่ฉินสือโอวตั้งไว้ในใจเหมือนกัน อีกทั้งชายชราก็มีความสุขสุดๆ ลดราคาลงอีกหนึ่งล้านห้าแสน ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับการที่เขามีโรงพยาบาลแห่งหนึ่งด้วยหรือเปล่า ที่แคนาดาเหมือนกันกับที่จีนอยู่นิดหน่อย ของในโรงพยาบาลไม่สามารถต่อราคาได้ ราคาไหนราคานั้น
“ตกลงครับ” ฉินสือโอวยื่นมือออกไปด้วยความเคารพนอบน้อม
กู๊ดแล็คกับฉินสือโอวจับมือกัน การซื้อขายเสร็จสิ้นแล้ว ฉินสือโอวจึงเชิญให้เขาอยู่ทานข้าวด้วยกันที่นี่
กู๊ดแล็คตอบตกลงด้วยความยินดี เขานั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่แล้วกล่าวขึ้นมาว่า “ฉันยังจำได้ ยี่สิบปีที่แล้ว ตอนที่ฉันมาที่นี่เป็นครั้งสุดท้าย ฉันก็นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนี้นี่ล่ะ ปู่ของนายก็เชิญให้ฉันอยู่ทานข้าวต่อเหมือนกัน ในตอนนั้นเขาให้คำแนะนำกับฉันอยู่หลายอย่าง หนึ่งในนั้นมีคำแนะนำไม่ให้ฉันซื้อฟาร์มปลาอยู่ด้วย”
พอพูดจบเขาก็ส่ายหัว และพูดขึ้นอีกว่า “น่าเสียดาย ในตอนนั้นฉันไม่เชื่อคำเขา ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ต้องขาดทุนขนาดนี้”
เออร์บักยิ้ม เขาพูดขึ้นมาว่า “แค่แป๊บเดียว เวลาก็ผ่านไปยี่สิบปีแล้ว เพื่อนยาก เวลาผ่านไปเร็วเกินไปแล้ว เร็วเกินไปจริงๆ!”
กู๊ดแล็คถอนใจ เขาตอบกลับไปว่า “ใช่แล้ว เร็วจนคนแก่แบบฉันรับมือไม่ทัน! ตอนที่เพิ่งซื้อฟาร์มปลา ฉันยังขึ้นเรือไปจับปลาได้อยู่ ตอนนี้น่ะเหรอ ฮ่าๆ ทำได้แค่นั่งกินปลาที่อยู่บนกินข้าวเท่านั้นล่ะ”
มื้อเที่ยง ฉินสือโอวให้ชาร์คไปตกปลาในฟาร์มมาสองตัว ส่วนเขาเองก็ไปเก็บผักที่สดๆ มาจากสวน ใช้อาหารจีนแท้ๆ เพื่อให้การต้อนรับกู๊ดแล็ค
กู๊ดแล็คใช้ช้อนส้อมทานสลัดผลไม้และกับข้าวทุกจานที่ได้รับการปรับปรุงจากพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอน เขาทานมันด้วยความเอร็ดอร่อยเป็นอย่างยิ่ง จนเอ่ยชมออกมาไม่ขาดปาก
บนโต๊ะอาหาร เขาได้บอกสาเหตุของความสุขจากการขายฟาร์มปลาให้ฉินสือโอวฟังไว้ว่า หนึ่งที่ฟาร์มปลาตกปลาได้น้อยลง จนไม่เหลือมูลค่าใดๆ แล้ว อย่างที่สองคือเขาวางแผนจะเกษียณอายุปีหน้า อยากจะใช้ชีวิตวัยเกษียณที่ฮาวาย “ฉันชอบฤดูร้อน เกลียดความหนาวเย็น ดังนั้นฉันเลยคิดว่าฮาวายก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลย”
…………………………………………

[1] หลานชายของฉิน คำว่าหลานชาย (孙子) ในภาษาจีนมีความหมายอื่นในเชิงสาปแช่ง,ด่า,ประณาม,ตำหนิ หรือวิจารณ์

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset