ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 298 ขับคาดิลแลคไปขายเกี๊ยว

เฮลิคอปเตอร์ค่อยๆ ลดระดับลงสู่สนามหญ้าของฟาร์มปลา ยังไงพื้นที่ก็โล่งและกว้างขวางอยู่แล้ว ไม่ต้องกังวลว่าจะพัดไปโดนอะไร
เด็กๆ ทั้งสี่คนกำลังคุยกันระหว่างที่กลับมาถึงฟาร์มปลา ในมือของเชอร์ลี่ย์กอดเอากล่องใส่เงินที่เออร์บักทำให้พวกเธอเอาไว้ นี่คือสมบัติของพวกเขาทั้งสี่คน ทุกครั้งที่ขายเกี๊ยวได้ก็จะเก็บเงินเอาไว้ในนี้
พอเห็นเฮลิคอปเตอร์ เด็กๆ ทั้งสี่คนกลับไม่ได้ตื่นเต้นสักเท่าไรนัก เข้ามาวนดูอยู่รอบหนึ่งแล้วก็ย้ายความสนใจไปที่อื่น กอร์ดอนกับมิเชลไปแกล้งแหย่ปอหลัวให้หงุดหงิด ส่วนเชอร์ลี่ย์ก็วิ่งกระโดดโลดเต้นไปหาฉินสือโอวพร้อมทั้งยกกล่องเงินขึ้นมาอวดแล้วโม้ให้เขาฟังว่า “ลุงฉิน ลองทายดูสิคะว่าวันนี้พวกเราได้เงินมาเท่าไร?”
ฉินสือโอวยื่นมือออกไปบีบแก้มบนใบหน้าน่ารักน่าชังของเด็กสาวตัวโต เขาพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “อืม ฉันขอเดาว่าสี่สิบดอลลาร์”
เงินที่เชอร์ลี่ย์พูดถึง ไม่ใช่กำไรสุทธิ แต่หมายความว่าพวกเขาขายได้เงินเท่าไรต่างหาก โดยปกติแล้วพวกเขาจะเตรียมเกี๊ยวไว้ประมาณสี่สิบกล่อง หนึ่งกล่องหนึ่งดอลลาร์ ของทั้งถูกและดีก็เลยขายจนหมด
เชอร์ลี่ย์หัวเราะคิกคักไปพร้อมกับขยับหนีมือของเขา เธอพูดกับเขาว่า “คุณทายผิดแล้ว ห้าร้อยห้าสิบดอลลาร์ต่างหาก!”
“อะไรนะ? แน่ใจนะว่าไม่ใช่ห้าสิบห้าดอลลาร์?” ฉินสือโอวถามด้วยความตกตะลึง นี่มันเกินความคาดหมายจริงๆ
เชอร์ลี่ย์ชะงัก เธอรีบส่ายศีรษะแล้วพูดอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “ไม่ใช่ๆ หนูจะบอกว่า อืม ห้าสิบห้าดอลลาร์ ใช่แล้ว ห้าสิบห้าดอลลาร์ค่ะ”
ฉินสือโอวถอนหายใจออกมา พาวลิสหันหน้ากลับมาแล้วตะโกนว่า “ไม่ใช่นะ เชอร์ลี่ย์ ห้าร้อยห้าสิบดอลลาร์!”
ดวงตากลมโตของเชอร์ลี่ย์กะพริบปริบ เธอลองเปิดกล่องดู แล้วผงกหัวด้วยท่าทางเหมือนลูกไก่ที่กำลังจิกเหยื่อ “ใช่ๆ ๆ ห้าร้อยห้าสิบดอลลาร์นั่นแหละ ฉันนับไม่ค่อยครบน่ะ”
ฉินสือโอวไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เด็กหญิงตัวโตไม่ค่อยถนัดเรื่องนี้ เธอคิดเลขไม่เก่งเลย โดยเฉพาะเรื่องเงินก็ยิ่งไม่เก่งเข้าไปใหญ่ ดูจากสมุดแบบฝึกหัดช่วงซัมเมอร์แล้ว เรื่องที่เกี่ยวกับการคำนวณก็เรียกได้ว่าน่าเวทนาเกินทน
วินนี่ถามอย่างอยากรู้อยากเห็นว่า “ทำไมพวกเธอถึงหาเงินได้เยอะขนาดนี้เลยล่ะ?”
เชอร์ลี่ย์หัวเราะคิกคักพร้อมอธิบายว่า “วันนี้พวกเราเจอพวกคุณลุงคุณป้าใจป้ำ พวกเราถ่ายรูปกับพวกเขา พวกเขาก็เลยให้ทิปพวกเรามาเยอะเลยค่ะ นอกจากนี้คุณปู่ฮิคสันก็ยังช่วยพวกเราเปิดรายการของชิ้นใหม่ด้วยค่ะ นั่นก็คือการขายน้ำผลไม้แช่เย็น แก้วละห้าดอลลาร์ คนมาซื้อเยอะมากเลย”
ฉินสือโอวมองดูกล่องเงิน แท้จริงแล้ว ข้างในมีแบงก์บอร์เดนสีทองอยู่สี่ใบ
แบงก์บอร์เดนก็คือชื่อเล่นของธนบัตรมูลค่าร้อยดอลลาร์ เพราะว่ารูปของบุคคลที่พิมพ์อยู่ด้านบนคืออดีตประธานาธิบดีของแคนาดา โรเบิร์ต แลร์ด บอร์เดน
เมื่อแน่ใจแล้วว่าจำนวนเงินไม่ได้มีปัญหา ฉินสือโอวก็ตบแปะลงบนหัวของเชอร์ลี่ย์ พร้อมทั้งเอ่ยปากชมว่า “ทำได้ไม่เลวเลย เด็กๆ พรุ่งนี้พวกเราจะไปขายด้วยกันนะ จะได้หาเงินได้เยอะกว่าเดิม ดีไหม?”
เชอร์ลี่ย์กระโดดหนีเพื่อไม่ให้ฉินสือโอวลูบหัวเธอ ทั้งยังพูดพึมๆ พำๆ ว่า “หนูไม่ใช่เด็กแล้ว คุณอย่ามาลูบหัวหนูอย่างนี้สิคะ”
ฉินสือโอวหัวเราะฮ่าๆ “โอเค เด็กโต ฉันขอถามอะไรเธอหน่อย วันนี้พวกเธอขายได้ห้าร้อยห้าสิบดอลลาร์ ถ้าพวกเธอจะหารให้เท่าๆ กันทั้งสี่คน จะได้เงินคนละเท่าไร?”
ดวงตากลมโตของเชอร์ลี่ย์เบิกกว้างขึ้นมาทันที เธอมองเงินในกล่องอย่างงงๆ พร้อมทั้งบ่นพึมพำ “ห้าร้อยห้าสิบดอลลาร์ เยอะจังเลย คนหนึ่งจะได้เท่าไรนะ? คนละหนึ่งร้อย? ไม่ใช่สิ คนละสองร้อยเหรอ? นี่ก็ไม่ถูกเหมือนกัน คนละเท่าไรนะ?”
วินนี่เม้มปากยิ้ม เธอพูดขึ้นมาว่า “คุณให้งานยากแล้วล่ะค่ะ ฉิน”
กอร์ดอนเดินเข้ามาอย่างไม่ยี่หระ เขาเดินเข้ามาหยิบเงินไปสองร้อยห้าสิบดอลลาร์ แล้วพูดว่า “ง่ายจะตาย ของฉันสองร้อยห้าสิบ ของพวกเธอก็คนละร้อย… โอ๊ย ปล่อยหูฉันนะ เชอร์ลี่ย์ ถ้าเธอดึงหูฉันอีก ฉันจะโกรธแล้วนะ….”
เชอร์ลี่ย์ผลักกอร์ดอนออกไป แล้วแย่งเอาเงินกลับคืนมา เธอหัวเราะคิกๆ คักๆ แล้วพูดว่า “หนูมีสองร้อยห้าสิบดอลลาร์ พวกเขาสามคนได้คนละหนึ่งร้อยดอลลาร์ ถูกไหมคะ? โอเค ถูกแล้ว เย้”
ฉินสือโอวส่ายหัวอย่างจนปัญญา เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เด็กติ๊งต๊องพวกนี้ ต่อไปอย่าหวังว่าจะสอบผ่านวิชาเลขเลย”
เขาพูดจริงทำจริง ตอนค่ำ ฉินสือโอวรับหน้าที่สับไส้เกี๊ยว ส่วนเชอร์ลี่ย์และเด็กๆ คนอื่นๆ ก็รับหน้าที่ห่อเกี๊ยวไป พรุ่งนี้พวกเขาจะไปขายเกี๊ยวด้วยกัน
ตอนนี้เด็กๆ ทั้งสี่คนเปลี่ยนวิธีห่อเกี๊ยวแล้ว พวกเขาไม่ต้องทำแป้งเกี๊ยวเองแล้ว ในเมืองมีร้านขายอาหารประเภทแป้ง เจ้าของร้านเตรียมแป้งห่อเกี๊ยวไว้ให้พวกเขาโดยเฉพาะ แค่พวกเขาไปซื้อทุกวันก็พอแล้ว
เมื่อก่อนเกี๊ยวหนึ่งห่อสิบชิ้นถึงจะขายราคาหนึ่งดอลลาร์ เนื่องจากฉินสือโอวไม่ได้ทำเพราะอยากได้เงิน แค่อยากฝึกฝนเด็กๆ เท่านั้นอีกทั้งคนในเมืองก็ไม่ชินกับการกินเกี๊ยว ถ้าขายแพงเกินไปก็จะไม่มีคนกิน
ตอนนี้มีนักท่องเที่ยวแล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องปริมาณการขายแล้ว ฉินสือโอวก็เลยปรับราคาขึ้นครั้งใหญ่ เกี๊ยวหนึ่งกล่องห้าดอลลาร์ แต่ก็เพิ่มปริมาณของให้มากขึ้นด้วย หนึ่งกล่องจะมีเกี๊ยวยี่สิบชิ้น
ราคานี้ไม่แพงเลยจริงๆ ถึงอย่างไรไส้เกี๊ยวก็ทำมาจากเนื้อปลาคาร์ฟตามธรรมชาติ ถ้าทานเกี๊ยวชนิดนี้ที่จีน หนึ่งกล่องยี่สิบชิ้นจะมีราคาถึงสามสิบสี่สิบหยวน อีกทั้งที่นี่ฉินสือโอวขายแค่ห้าดอลลาร์ก็เท่ายี่สิบห้าหยวนเท่านั้น
พอตั้งแผงขายของเรียบร้อยแล้ว ฉินสือโอวเปลี่ยนราคาแล้ว คุณลุงฮิคสันก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เฮ้อ พ่อค้าหน้าเลือด”
ฉินสือโอวตอบเขาไปว่า “ไม่ใช่ครับ แบบนี้ถึงจะเป็นกฎเกณฑ์ของตลาดจริงๆ เมื่อก่อนแค่ขายเรียกลูกค้าก่อนก็เท่านั้น”
ครั้งนี้เขาขับรถคาดิลแลควันมา เขาเชื่อมต่อลำโพงเข้ากับคอมพิวเตอร์ของรถยนต์โดยตรง เมื่อเปิดลำโพงเพลงโชคดีมีมงคลวันเปิดกิจการของเฟิ่งหวงฉวนฉีก็ดังขึ้น
ในตอนเช้าเหล่านักท่องเที่ยวจะต้องจัดการเรื่องอาหารเช้ากันเอง มีบางคนที่ไม่ชินกับการทานพิซซ่า แฮมเบอร์เกอร์ ก็เลยตัดสินใจมาหาเกี๊ยวไปทาน
แค่ครู่เดียว คู่รักคู่หนึ่งก็เดินเข้ามา พวกเขาเดินไปด้วยเถียงกันไปด้วย
“จะกินเกี๊ยวทำไม? พวกเราบินตั้งยี่สิบชั่วโมงมาแคนาดา เพื่อที่จะมากินเกี๊ยวเนี่ยนะ?”
“ก็ผมไม่ชอบทานอาหารตะวันตกนี่ สเต๊กปลา ปลาทอด ปลาย่าง ปลาเผาอะไรพวกนั้น ผมไม่ชอบกินจริงๆ กินเกี๊ยวดีกว่าอีก”
“เธอไม่ได้อยากเดินมาดูเด็กผู้หญิงคนนั้นหรอกเหรอ? ชอบกินเกี๊ยวอะไรกัน นี่ก็ไม่ใช่เกี๊ยวปลาหรือยังไง?”
“หมายความว่ายังไง ผมใช่คนแบบนั้นหรือยังไงล่ะ? เวร ทำไมเกี๊ยวถึงขึ้นราคาแล้วล่ะ?”
ฉินสือโอวยิ้มตาหยีพร้อมทั้งตอบเป็นภาษาจีนว่า “เมื่อก่อนเป็นราคาโปรโมชั่นครับ ตอนนี้ราคากลับมาเป็นปกติแล้ว แต่พวกคุณคิดว่าเกี๊ยวของพวกเราแพงเหรอครับ? ข้างในเป็นเนื้อปลา แถมยังเป็นปลาจากธรรมชาติทั้งหมดด้วยนะครับ”
เมื่อมองเห็นฉินสือโอวและยิ่งได้ยินเขาพูดภาษาจีน คู่รักวัยรุ่นก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก วัยรุ่นผู้ชายรีบยื่นบุหรี่ให้เขา ฉินสือโอวปฏิเสธไป แล้วเชิญพวกเขาให้เข้ามารออาหารในร้าน
ต่อมาก็มีคนมาทานอาหารเช้าเพิ่มอีก หลี่เต๋อหลงกับภรรยาที่เขาเคยเจอก่อนเมื่อหน้าก็พาลูกสาวมาทานเกี๊ยวเช่นกัน ดูท่าว่าเกี๊ยวของเด็กๆ จะเป็นที่นิยมไม่น้อยเลย
หลี่เต๋อหลงเองก็เป็นคนมีฐานะเหมือนกัน แถมยังตาดีอีกต่างหาก เขามองเห็นรถคาดิลแลคที่เชื่อมลำโพงจอดอยู่ไม่ไกล ก็ยิ้มถามว่า “นั่นรถของคุณเหรอ? คุณขับรถคาดิลแลควันมาขายเกี๊ยว?”
ฉินสือโอวชี้ไปที่เด็กๆ ทั้งสี่คนแล้วตอบว่า “พวกนี้เป็นหลานชายกับหลานสาวของผู้ใหญ่ที่ผมเคารพท่านหนึ่งน่ะครับ ผมมาเป็นเพื่อนพวกเขา พวกเขาอยากฝึกพึ่งพาตัวเองบ้าง”
หลี่เต๋อหลงพูดกับลูกสาวของเขาว่า “เห็นไหม เด็กๆ พวกนี้อายุเท่าๆ กันกับลูกเลย แต่พวกเขาหาเงินได้แล้ว”
เด็กหญิงตัวน้อยก็ร้ายไม่เบา เธอชี้ไปที่รถคาดิลแลคแล้วพูดด้วยเสียงเล็กๆ ของเธอว่า “พ่อคะ ถ้าพ่อยอมขับรถแบบนั้นพาหนูไปขายของ งั้นหนูก็จะยอมทำเหมือนกัน”
ฉินสือโอวหัวเราะเสียงดัง เขาอุ้มเด็กน้อยขึ้นไปบนรถแล้วถ่ายรูปเธอจากทุกๆ มุม
เมื่อเหล่านักท่องเที่ยวมาถึง ยอดขายของเกี๊ยวก็เพิ่มขึ้นทวีคูณ พอมีฉินสือโอวคอยโฆษณา เกี๊ยวสี่สิบชุดก็ถูกพวกนักท่องเที่ยวซื้อไปแล้วครึ่งหนึ่ง
เมื่อจัดการอาหารเช้าเสร็จแล้ว ฉินสือโอวก็เรียกเด็กๆ ทั้งสี่คนมาข้างๆ เชอร์ลี่ย์กำลังนับตังค์ เขาจึงสอนขึ้นมาว่า “เห็นหรือยัง แบบนี้ถึงจะเรียกว่าทำธุรกิจ ต้องตั้งใจโฆษณา ต่อไปพวกเธอก็สามารถจัดโปรโมชั่นได้เหมือนกัน…”
“ใครมาซื้อเกี๊ยว พวกเราจะให้เชอร์ลี่ย์จูบเขาหนึ่งทีดีไหม? โปรโมชั่นแบบนี้ผมว่าก็โอเคนะ” กอร์ดอนพูดด้วยความภาคภูมิใจ
ฉินสือโอวเห็นว่ารอบข้างไม่มีคน ก็หยิบเงินออกมาสิบดอลลาร์ แล้วพูดกับพวกเขาว่า “ดี งั้นเอาเกี๊ยวมาให้ฉันก่อนเลยสองชุด”
……………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset