ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 303 กลมๆ เกลียวๆ

ภายใต้การชี้แนะของฉินสือโอว หลี่เต๋อหลงกอดปืน AR-15 เอาไว้แล้วปลดเซฟตี้ของปืนออก ปืนกระบอกนี้ถูกปรับแต่งให้กลายเป็นปืนอัตโนมัติ ดังนั้นฉินสือโอวจึงปรับให้มันกลายเป็นแบบยิงทีละนัด ให้พวกเขาได้ยิงปืนเล่นตรงที่โล่งกว้างสักนัดสองนัด
เสียงยิงปืนดังขึ้น บรรดานักท่องเที่ยวผู้ชายก็พากันเข้ามามุงดูด้วยความสนอกสนใจ ฉินสือโอวให้พวกเขาผลัดกันยิงปืนเล่นคนละหลายนัด จนหมดกระสุนไปแล้วสองกล่อง ถึงจะสามารถเติมเต็มความอยากรู้อยากลองของพวกเขาได้
เทศบาลเมืองได้เลือกตำแหน่งของจุดตั้งแคมป์บนภูเขาไว้เรียบร้อยแล้ว จึงไม่สามารถตั้งแคมป์ตามอำเภอใจได้เหมือนกับครั้งที่แล้วที่ฉินสือโอวทำ พวกเขาเลือกพื้นที่ตรงพื้นราบกว้างบริเวณกึ่งกลางภูเขา ที่นั่นเคยเป็นที่พักของเจ้าหน้าที่อนุรักษ์ป่ามาก่อน มีห้องพักที่ทำจากท่อนไม้อยู่สองห้อง กางเต็นท์เพิ่มอีกหน่อย ก็สามารถจุคนได้ถึงยี่สิบคนแล้ว
ระยะทางไม่ไกล คนกลุ่มนี้ก็เดินเอื่อยๆ เฉื่อยๆ กว่าจะมาถึงบริเวณตั้งแคมป์ก็เป็นช่วงพลบค่ำแล้ว ฉินสือโอวให้หลี่เต๋อหลงยืมปืน พร้อมทั้งบอกกับเขาว่า “คุณตะโกนถามหน่อย ผมกับเพื่อนของผมจะไปล่าหมูป่ากัน ถ้านักท่องเที่ยวคนไหนสนใจ ก็ให้พวกเขาตามไปด้วย”
“จะเป็นอันตรายไหมคะ?” วินนี่ถามด้วยความเป็นห่วง เธอเป็นไกด์นำเที่ยว ความรับผิดชอบทุกอย่างจึงตกมาอยู่ที่เธอ
ฉินสือโอวจูบเธอ แล้วบอกกับเธอว่า “ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าเจอหมูป่ารีบลงมือก่อนจะได้เปรียบ ไม่อันตรายเลยสักนิด”
หลี่เต๋อหลงลองชวนพวกเขาดูแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่สนใจอยากจะไปด้วย แต่ว่าพวกเขาก็มีความกังวลเหมือนกันกับวินนี่ หลายคนมีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องเล่าของหมูป่าที่จีนที่ว่ากันว่าดุยิ่งกว่าหมีกับเสือเสียอีก สุดท้ายก็เลยมีคนตามพวกเขามาแค่สี่คนเท่านั้น
บนความเป็นจริงหมูป่าในทวีปอเมริกาเหนือไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น ชาร์คเล่าให้ฉินสือโอวฟังว่า สำหรับที่นี่สุนัขแลบราดอร์สองตัวที่ถูกฝึกมาอย่างดีพร้อมกับนายพรานก็สามารถล้มหมูป่าได้อย่างง่ายดาย
พานักท่องเที่ยวไปด้วยห้าคน ฉินสือโอวกับนีลเซ็นออกไปด้วยกัน ส่วนเบิร์ดกับอีวิลสันยังอยู่ที่นี่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นในแคมป์
นีลเซ็นมีฝีมือในการค้นหาหมูป่าเป็นอย่างมาก เขาตามหาลำธารก่อน เมื่อมาถึงริมลำธารก็หามูลของหมูป่าแล้วให้หู่จือกับเป้าจือดมดู หลังจากนั้นหู่จือกับเป้าจือก็จะสามารถนำทางเพื่อค้นหาหมูป่าตัวนั้นได้
หู่จือและเป้าจือวิ่งนำคนกลุ่มนี้อยู่หลายนาที ทันใดนั้นพวกมันก็วิ่งเข้าไปในป่า ผ่านไปสักพักก็วิ่งกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับสายตาเปล่งประกายพวกมันใช้อุ้งเท้าดึงขากางเกงของฉินสือโอว
ฉินสือโอวชักลูกธนูออกมาหนึ่งเล่ม แล้วพูดด้วยเสียงเบาว่า “มีหมูป่าอยู่รอบๆ ทุกคนใจเย็นๆ เข้าไว้ อย่าตกใจกลัว พี่หลงพี่ยิงไปก่อนหนึ่งนัด พยายามเล็งให้โดนหัวของมัน ที่เหลือเดี๋ยวผมจัดการเอง”
ภายใต้การนำทางของหู่จือและเป้าจือ คนกลุ่มนี้เดินอยู่ในป่าอย่างเงียบเชียบสักพัก จากนั้นก็มองเห็นหมูป่าที่มีความยาวลำตัวขนาดหนึ่งเมตรครึ่งตัวหนึ่งที่กำลังนอนหลับสัปหงกส่งเสียงฮึมฮัมอยู่ใต้ต้นไม้
หลี่เต๋อหลงกลืนน้ำลายลงไปหนึ่งอึก เขายกปืนขึ้นมาด้วยความตึงเครียด แล้วพูดเสียงเบาว่า “จะให้ยิงตอนไหน?”
“รีบยิงเลย” ฉินสือโอวไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ ยังจะถามอีกว่าจะให้ยิงตอนไหน ยิงตอนนี้เลยสิวะ พวกเขามาล่าสัตว์นะ ไม่ได้มาดูพวกมันเฉยๆ
พอหลี่เต๋อหลงได้รับคำสั่งมา เขายกปืนขึ้นเล็งแล้วเล็งอีก แต่ก็ยังไม่ยิงสักที ทางด้านนี้มีคนกำลังใจร้อน จึงกระซิบว่า “เชื่อเขาเลยพี่หลี่ ไหวหรือเปล่าเนี่ย ถ้าไม่ไหวก็ส่งมาทางนี้ ฉันยิงปืนแม่นนะ”
“ไสหัวไปไกลๆ เลยไอ้ขี้โม้” หลี่เต๋อหลงด่า ยืดอกด้วยความรู้สึกอัดอั้น เมื่อเล็งดีแล้วก็กดลั่นไกยิงออกไปหนึ่งนัด
เสียงดังแหวกขึ้นมา ฝูงนกในป่าก็ตกใจจนบินหนี
เมื่อครู่นี้หมูป่าไม่ได้ขยับตัว เมื่อเป็นเช่นนี้ลูกกระสุนจึงยิงเข้าที่หน้าผากอย่างจัง ทว่าพลังชีวิตของมันแข็งแกร่งมาก หนังเหนียวเนื้อหนา กระสุนนัดนี้ทำให้มันบาดเจ็บสาหัส แต่ไม่ถึงกับคร่าชีวิตของมัน
หมูป่าตัวนั้นลุกขึ้นมา แล้วร้องครวญครางอย่างน่าเวทนา มันมองหาทิศทางเพื่อเตรียมจะวิ่งหนี
ฉินสือโอวคว้าโอกาสนี้เอาไว้ เขายิงลูกธนูออกไป มันแทงเข้าไปในหูของหมูป่าอย่างพอดิบพอดี ลูกธนูทะลวงเข้าไปจนเกือบจะทะลุถึงหัวสมองของมัน
แค่ครู่เดียว หมูป่าก็ทนต่อไปไม่ไหว มันเดินโซซัดโซเซไปได้ไม่กี่ก้าว สมองน้อยถูกทำลายจนเสียหาย จึงไม่สามารถรักษาสมดุลไว้ได้ พื้นดินหมุนวนอยู่ไม่กี่รอบจากนั้นมันก็ล้มลงในท้ายที่สุด ถึงปากของมันจะยังพอส่งเสียงครวญครางได้ แต่ในความเป็นจริงมันก็ใกล้ตายแล้ว
“จบแล้วเหรอ?” มีคนถามด้วยความสงสัย
ฉินสือโอวยกยิ้มตอบ “จบแล้ว ก็แค่ล่าหมูป่าตัวเดียวเอง จะยังมีอะไรอีกเหรอ?”
ชายคนนี้จึงจุ๊ปากอย่างชื่นชม “แม่เอ๊ย ฉันเคยได้ยินเพื่อนของฉันคนหนึ่งบอกว่า ล่าหมูป่ามันยุ่งยากสุดๆ ต้องใช้ทั้งสติปัญญากับความกล้าเข้าสู้กับหมูป่าอะไรเทือกนั้น พวกเราไม่เห็นต้องใช้อะไรแบบนั้นเลย แค่หาปืนเก่าๆ มาสักกระบอกก็จัดการได้แล้ว”
นีลเซ็นพกเชือกมา เขาใช้มันมัดขาของหมูป่าทั้งสี่ข้าง แล้วตัดกิ่งไม้ออกมาท่อนหนึ่ง พอสอดกิ่งไม้เข้าไปข้างในห่วงเชือกแล้วก็ค่อยหามมันขึ้นมา
หลังจากหามหมูป่ากลับมาแล้วก็มีไกด์ผู้ชายที่พาคนมานำมันไปล้างทำความสะอาดที่ริมลำธาร ยังมีการล่ากวางอีกหนึ่งรายการ ที่ไกด์ผู้ชายอีกคนเป็นคนดูแลรับผิดชอบ
รายการนี้มีคนเข้าร่วมมากขึ้นแล้ว ระหว่างทางนักท่องเที่ยวได้พบกับกวางหลายฝูง กวางพวกนี้ล้วนแต่ไม่มีความดุร้าย ดังนั้นจึงไม่เป็นอันตราย คนที่เข้าไปเล่นกับพวกมันก็ยิ่งมีมากขึ้นกว่าเดิม
แต่ปรากฏว่า คนกลุ่มนั้นออกไปเที่ยวอย่างมีความสุขได้ไม่เท่าไร ก็พากันเดินหน้าม่อยคอตกกลับมา ฉินสือโอวถามว่าเกิดอะไรขึ้น หลี่เต๋อหลงก็พูดอย่างเซ็งๆ ว่า “หาฝูงกวางไม่ค่อยเจอ แถมคนยังเยอะมากเกินไปด้วย กว่าจะได้เจอกวางสักฝูง ก็ดันมีคนไม่ระวังจนเผลอส่งเสียงดัง ทำให้กวางพวกนั้นตกใจจนวิ่งหนีไป
ฉินสือโอวหัวเราะออกมา โชคดีที่พาคนไปล่าหมูป่าด้วยแค่ห้าคน ถ้าก่อนหน้านี้เขาพาคนไปสักสิบกว่าคนล่ะก็ คิดว่าตอนนี้แม้กระทั่งก้นหมูป่าก็คงไม่ได้จับ
หลี่เต๋อหลงอยากให้ฉินสือโอวพาพวกเขาไปล่ากวาง แต่ฉินสือโอวขี้เกียจจนไม่อยากขยับตัว ไปล่าหมูป่ามาตัวหนึ่งก็ถือเขาเห็นแก่วินนี่แล้ว
โชคดีที่หมูป่าตัวนี้ตัวไม่เล็ก หลังจากจัดการเอาเครื่องในออกแล้วก็ยังมีน้ำหนักตั้งร้อยห้าสิบกว่ากิโล คนจำนวนยี่สิบคนทานยังไงก็คงไม่หมด อีกทั้งพวกเขายังพกพวกพิซซ่ากับแฮมเบอร์เกอร์มาตั้งด้านล่างของภูเขาอีกด้วย
ล้อมวงรอบกองไฟทานเนื้อย่าง กับซุปซี่โครงหมู กิจกรรมของวันนี้ก็สิ้นสุดลงแล้ว มีนักท่องเที่ยวที่ยังจับกลุ่มคุยกันอยู่อย่างบางตา ฉินสือโอวจึงพาวินนี่ไปที่ริมลำธาร
เวลากลางคืนของฤดูร้อน ลมภูเขาเย็นสบาย พัดพาใบไม้จนเกิดเสียงหวิวหวู่ รวมกับเสียงร้องของนกและแมลงในพงหญ้าที่ดังขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย เหมาะกับการออกเดตมากๆ
ฉินสือโอวนั่งตระกองกอดวินนี่อยู่ในที่เงียบๆ ริมลำธาร หู่จือกับเป้าจือกำลังเล่นกันอยู่ไม่ไกล ส่วนฉงต้าเริ่มรู้สึกร้อนเลยกระโดดลงไปในลำธาร น้ำในลำธารเยือกเย็น ฉงต้าหนังหนาเนื้อหยาบ จึงรู้สึกว่าอุณหภูมิกำลังพอดี มันรู้สึกเย็นสบายจนถึงกับร้องฮึมฮัมออกมา
พระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า แสงจันทร์สว่างสดใส สาดสะท้อนลงมาบนผืนน้ำใสสะอาด จนดูเหมือนว่ามีดวงจันทร์หลายๆ วงลอยอยู่ด้านบน
“ยุ่งมาทั้งวัน ตอนนี้ได้มีช่วงเวลาแบบนี้ ผมก็รู้สึกคุ้มค่าแล้วล่ะ” ฉินสือโอวโอบกอดเอวเล็กของวินนี่ไว้แล้วพูดกับเธอด้วยความอิ่มเอมใจ
วินนี่ที่แอบอิงอยู่ในอ้อมกอดของเขา ก็พูดขึ้นมาว่า “อืม ตอนนี้ฉันรู้สึกดีมากจริงๆ ค่ะ”
“เป็นไกด์นำเที่ยวคงจะลำบากกว่าเป็นแอร์โฮสเตสใช่ไหม? คุณชินกับมันหรือยังครับ กับชีวิตและงานในตอนนี้?”ฉินสือโอวถาม
วินนี่แย้มรอยยิ้มหวาน เธอยื่นมือไปลูบใบหน้าของเขา “งานนี้ง่ายกว่าเป็นแอร์โฮสเตสเยอะเลยค่ะ ความกดดันก็น้อย ฉันรู้สึกยินดีกับการตัดสินใจของตัวเองในตอนนั้นจริงๆ ตอนกลางวันพานักท่องเที่ยวไปเที่ยว พอตกเย็นก็ได้มานั่งตากลมเล่นกับคุณ ได้เล่นกับลูกหมาพวกนี้ ฉันคิดว่าชีวิตแบบนี้สมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว”
หู่จือและเป้าจือเล่นกันอยู่สักพักก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว พวกมันเลยวิ่งยักย้ายส่ายก้นเข้ามาอ้อนฉินสือโอว
ฉินสือโอวไม่กระโตกกระตาก เขากอดวินนี่ไว้ในอ้อมอก จากนั้นก็ใช้เท้าทั้งสองข้างถีบสุนัขทั้งสองตัวลงไปในลำธาร โตขนาดนี้แล้วยังไม่รู้ภาษาอีก ไม่เห็นเหรอว่าตอนนี้พ่อกำลังสวีทกับแม่ของพวกแกอยู่?
……………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset