ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 331 เป็นแมวป่าที่น่าขายหน้า

ตกเย็นเบิร์ดพาหู่จือและเป้าจือไปล่าสัตว์ ในที่สุดเจ้าสองตัวนี้ที่เหมือนได้หลุดออกจากพันธนาการและคิดว่าตัวเองเป็นเสือที่ดุร้าย มันทำตัวเหมือนตัวเองใหญ่ในระหว่างทางขึ้นไปและรู้สึกลำพองใจไม่มีใครเทียบ
พวกมันออกตามล่ากระต่ายสโนว์ชูก่อนเป็นอย่างแรกเลย จากนั้นก็ไปเจอเข้ากับไก่งวงป่าตัวหนึ่งที่ดูเซ่อๆ ซ่าๆ ในที่สุดพวกมันก็ได้เวลาที่จะแสดงฝีมือชุดใหญ่กันแล้ว
ส่วนฉินสือโอวก็พาวินนี่ไปเดินเล่นเลียบลำธาร ซึ่งบางทีก็จะมีฝูงนกบินกลับป่าและร้องผ่านหัวไปอยู่บ่อยๆ และบรรยากาศบนภูเขาก็เงียบสงัด
ที่อีกฝั่งของลำธารมีแพะน้อยสองตัวที่ความยาวของลำตัวประมาณหนึ่งเมตรกำลังก้มกินน้ำอยู่ แพะน้อยสองตัวนี้มือเท้าทั้งสี่ของมันดูสั้นป้อม ตรงปากล่างก็มีหนวดยาวคล้ายกับแพะภูเขา และลำทั้งตัวของมันก็ถูกคลุมไปด้วยขนยาวสีขาวดกเป็นชั้นๆ ทำให้ดูอ้วนตุ้ยนุ้ย แต่ด้วยไหวพริบของมัน พอกินน้ำเสร็จก็กระโดดโหยงโหยงจากไป
รอให้แพะน้อยสีขาวสองตัวจากไป วินนี่ถึงค่อยถอนหายใจออกมาอย่างเสียดายและพูดขึ้น “ผู้คนเมืองแฟร์เวลนี่ช่างมีเมตตาจริงๆ บนเขานี้ยังคงหลงเหลือแพะภูเขาโอเรียมนอสอยู่ เหลือเชื่อจริงเลยๆ”
แพะภูเขาโอเรียมนอสเป็นสัตว์ป่าชนิดหนึ่งที่หายากในแถบอเมริกาเหนือ ซึ่งส่วนใหญ่จะดำรงชีวิตอยู่ที่เทือกเขาร็อกกี และถึงแม้รูปลักษณ์ภายนอกจะเหมือนกับแพะภูเขา แต่ที่สุดแล้วก็ยังหาคำตอบของแหล่งกำเนิดออกมาอย่างเป็นรูปธรรมไม่ได้
ต่อมาจากเทือกเขาร็อกกี คนพื้นเมืองอเมริกาเหนือก็ค่อยๆ แผ่กระจายนำมันเข้าสู่รัฐมอนตานาของสหรัฐอเมริกาและรัฐบริติชโคลัมเบียของแคนาดา
และถึงแม้ขอบเขตพื้นที่การดำรงชีวิตจะขยายเพิ่มขึ้น แต่จำนวนของสัตว์ป่าชนิดนี้กลับลดลงอย่างต่อเนื่อง เหตุผลคือเนื้อของมันเป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบมากจนทำให้พวกมนุษย์ก็น้ำลายไหลกันเป็นแถว
และเหตุผลที่ว่าทำไมเนื้อของแพะภูเขาโอเรียมนอสถึงสมบูรณ์แบบได้อย่างนั้น หลักๆ เลยก็คือการเคลื่อนไหวของพวกมันก็มีส่วนเกี่ยว พวกมันเก่งในด้านการกระโดดและปีนระหว่างหน้าผาที่สูงชัน ขอเพียงแค่มีที่ให้เหยียบไม่ว่าผาจะสูงภูเขาจะชันแค่ไหนก็สามารถไปได้อย่างง่ายๆ อย่างนี้เลยเป็นการฝึกกล้ามเนื้อของพวกมันให้แข็งแรงเป็นพิเศษได้โดยธรรมชาติ
พอเข้าสู่ยุค 80 เป็นเพราะแพะภูเขาโอเรียมนอสถูกล่าจนเกือบสูญพันธุ์ ในตอนนั้นภายใต้การเป็นเจ้าภาพของ ริชาร์ด นิกสัน ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา อเมริกาและแคนาดาจึงได้ร่วมมือกันจัดตั้งโครงการช่วยเหลือแพะภูเขาโอเรียมนอสขึ้น ซึ่งนั่นถึงทำให้พวกแพะภูเขาโอเรียมนอสไม่ได้เข้าไปอยู่ในกระบวนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่มีพวกนายทุนคอยชักใยอยู่เบื้องหลัง
ตั้งแต่นั้นจนถึงตอนนี้ แพะภูเขาโอเรียมนอสก็ยังคงอยู่ในเขตคุ้มครองสัตว์และห้ามทำการค้าของอเมริกาเหนือ แม้แต่ภูเขาร็อกกีก็ได้มีองค์กรเอกชนเพื่อแพะภูเขาระดับสากล เข้ามาระดมเงินทุนเพื่อวิจัยและดูแลจัดการแพะภูเขาโอเรียมนอสโดยเฉพาะ
แต่มีได้ก็ต้องมีเสีย เพราะเกิดการลักลอบล่าสัตว์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เห็นได้ชัดว่าภายใต้สถานการณ์แบบนี้นั้นเกิดจากประชาชนของเมืองแฟร์เวลไม่สามารถขึ้นเขาไปล่าสัตว์เพื่อเอาค้าขายได้ เพราะพลังในการควบคุมตัวเองของคนเรานั้นเป็นอะไรที่ทำได้ยากมาก
ฉินสือโอวที่ได้เห็นแพะภูเขาโอเรียมนอสเป็นครั้งแรกก็รู้สึกว่ามันไม่ได้สวยงามเท่าในรูปภาพที่ถูกบันทึกไว้ขนาดนั้น ขนของพวกมันค่อนข้างเหลือง แต่มันก็เป็นเรื่องปกติ เพราะพวกมันก็ไม่สามารถที่จะเอาสบู่มาถูอาบน้ำได้ ขนที่เปื้อนฝุ่นเปื้อนน้ำจากต้นไม้พวกนั้นก็เป็นธรรมดาที่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองขึ้น
แต่พอได้เห็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ในตอนที่เงียบสงัดแบบนี้ ช่างเป็นอะไรที่ทำให้คนรู้สึกสุขไปทั้งกายและใจจริงๆ
จากนั้นฉินสือโอวก็เปิดวิทยุสื่อสารกำลังแรงสูง และปรับไปที่ช่องของเบิร์ดแล้วพูดว่า “เป็นไปได้ว่าบริเวณรอบๆ มีแพะภูเขาโอเรียมนอสอยู่ คอยดูหู่จือและเป้าจือไว้ให้ดีนะ อย่าให้พวกมันไปทำร้ายเจ้าพวกที่ไม่รู้เรื่องพวกนั้นได้”
“รับทราบครับ พวกมันว่านอนสอนง่ายดีอยู่” เบิร์ดตอบกลับ
พอนั่งลงริมแม่น้ำ วินนี่ก็ถอดบูตกับถุงเท้าออก เผยให้เห็นเท้าเล็กๆ แกว่งอยู่ในน้ำอย่างแวววาวราวกับหยก พอยื่นลงไปเท่านั้นก็รีบดึงเท้าขึ้น พร้อมกับหัวเราะคิกคัก “น้ำเย็นมากเลย”
ฉินสือโอวเห็นดังนั้นก็อยากถอดและลองไปจุ่มดู แต่วินนี่ห้ามเขาไว้และพูดขึ้น “คุณน่ะอย่าเลยค่ะ เดี๋ยวพวกเราก็ต้องใช้น้ำในแม่น้ำทำกับข้าวกินอีก ตอนนี้พวกเรามาต้มน้ำก่อนเถอะ”
เมื่อฉินสือโอวได้ยินดังนั้นก็อึ้ง และพูดขึ้นว่า “คุณก็รู้อยู่แล้วว่าพวกเราจะต้องใช้น้ำในแม่น้ำมาทำอาหาร แล้วทำไมยังมาล้างเท้าได้ล่ะ?”
วินนี่เอียงหัวและพูดขึ้น “คุณรังเกียจเหรอคะ?”
ฉินสือโอวส่ายหัว วินนี่เลยพยักหน้า “ดีมาก คุณไม่รังเกียจ ส่วนพวกเขาก็ไม่รู้ งั้นก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงใช่ไหม?”
“โอ้โห คุณนี่บ้าอำนาจจริงๆ ทำไมตอนผมจีบถึงไม่รู้เรื่องนี้นะ?”
“ตอนนี้คุณเสียดายเหรอคะ?”
“ก็นิดหน่อย คืนสินค้าได้ไหมเนี่ย? รู้สึกเหมือนโดนหลอกเลย”
“ไม่ได้ สายไปแล้วล่ะ คุณใช้สินค้านี้ไปแล้วยังคิดอยากจะส่งคืนอีกเหรอ?”
“งั้นผมก็จะประเมินให้ร้านแบบแย่มาก”
“และฉันก็หวังว่าผู้ขายอารมณ์ร้อนจะไม่ตีคุณตายซะก่อนนะ”
สองคนนี้ทั้งตีฝีปากใส่กันทั้งชื่นชมวิวทิวทัศน์รอบๆ ซึ่งนอกจากสายน้ำในลำธารที่ไหลรินแล้ว ก็มีแค่เสียงของสองคนนี้คุยกัน อย่างนี้ถึงเป็นบรรยากาศแบบ ‘ภูเขาว่างเปล่าไม่มีผู้คน ได้ยินแต่เสียงนกร้อง’ จริงๆ
อาทิตย์ที่ใกล้จะลับภูเขาไป ทั้งสองคนก็พากันกลับแคมป์ เวลานี้นีลเซ็นได้กางเต็นท์ทั้งสองหลังเสร็จแล้ว เต็นท์สองหลังอันกว้างขวางแบบที่ทหารใช้กัน ซึ่งไม่ใช่หลังเล็กๆ แบบที่ให้นักท่องเที่ยวเช่า
ส่วนเบิร์ดก็จัดการสัตว์ป่าที่ล่ามาได้อยู่ริมแม่น้ำ ไก่งวงป่าได้กลายมาเป็นอาหารหลัก พูดถึงไก่งวงพวกนี้ก็ตัวใหญ่มากจริงๆ ลำตัวที่ยาวเกือบๆ จะถึงหนึ่งเมตร และถึงจะถอนขนออก ตัวมันก็ยังใหญ่มากอยู่ดี
หู่จือและเป้าจือยิ่งโตขึ้น ฝีมือการล่าสัตว์ของพวกมันก็ยิ่งเหนือชั้น ครั้งนี้พวกมันไม่เพียงแต่ล่าไก่งวงป่าได้ แต่ยังล้อมเอาไข่ขนาดใหญ่ยักษ์ของไก่งวงป่ามาได้อีกตั้งเจ็ดฟอง
ฉินสือโอววางแผนว่าจะเอาไข่มาผัดกับข้าว ส่วนเบิร์ดที่มองมันผ่านแสงไฟเลยพูดขึ้นว่า “ถ้ากินตอนนี้ก็คงน่าเสียดายน่าดู มันน่าจะพัฒนาเป็นตัวอ่อนได้นะ ถ้ามันกลับไปแล้วได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ก็จะสามารถฟักออกมาเป็นไก่งวงน้อยๆ ก็ได้”
พอได้ยินอย่างนั้น วินนี่ก็ดีใจขึ้นมาทันที เธอดึงแขนฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “เก็บไว้เถอะนะ เลี้ยงมันไว้เถอะ อย่ากินมันเลย”
ถ้าเบิร์ดไม่พูด ‘พัฒนาไปเป็นตัวอ่อนได้’ ล่ะก็ ฉินสือโอวก็คงจะอยากกินไข่ แต่พอพูดคำนี้ขึ้นก็ทำให้ไม่อยากกินเลย บางครั้งเขาก็รู้สึกจนปัญญา ศัพท์อังกฤษคำนี้ความหมายมันตรงตัวเกินไป ไข่ตัวก็ไข่ตัวสิ จะมาพูดอะไรตัวองตัวอ่อน
ฉินสือโอวที่ไม่อยากกินแล้ว โบกมือและพูดขึ้น “ได้ งั้นก็เอากลับไปเลี้ยง ให้พวกแม่ไก่พวกนั้นคอยฟักพวกมันเอาแล้วกัน”
วินนี่รับไข่สองสามฟองนั้นมาอย่างเบิกบานใจ เธอเอามันส่องกับไฟดู หลังจากที่เห็นโครงสร้างของตัวอ่อนที่มีเส้นเลือดเป็นชั้นๆ เหมือนกับใยแมงมุมปกคลุมอยู่ก็มีความสุข จนอยากจะดึงให้ฉินสือโอวมาดูด้วยกัน แต่มันทำให้ฉินสือโอวอยากจะอ้วก
ฉินสือโอวที่จนปัญญาเลยทำได้เพียงแค่เอาไก่เสียบไม้และเริ่มย่าง ไก่งวงที่เกิดในป่าไขมันจะน้อย เพราะพวกมันมีกิจกรรมต้องทำเยอะ ดังนั้นเวลาย่างเลยต้องคอยทาน้ำมันอยู่ตลอด แต่รสชาติก็เทียบกับไก่งวงเลี้ยงอยู่ดี
ขณะที่กำลังย่างไก่งวง ฉินสือโอวก็ถามขึ้น “พวกนายดูสิ สัตว์ป่าบนเขาเคอร์บัลนี้มีตั้งเยอะ ไก่งวงป่าก็มีไม่น้อย แล้วทำไมตอนวันขอบคุณพระเจ้า คนในเมืองถึงยังต้องไปซื้อไก่งวงที่ซูเปอร์มาร์เก็ตอีกล่ะ? ขึ้นมาล่าบนเขาด้วยตัวเองก็ได้แล้วนี่”
นีลเซ็นได้ยินคำถามของเขาแล้วยิ้มแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร จนฉินสือโอวต้องถามย้ำอีกรอบ คราวนี้วินนี่เลยพูดขึ้น “ที่นีลเซ็นไม่ตอบก็เพราะคำถามของคุณมันไร้สาระน่ะสิ งั้นฉันขอถามกลับหนึ่งประโยคนะ ทำไมชาวบ้านถึงไม่ไปกินเนื้อแทนกันล่ะ ตำนานนี้นายเคยได้ยินมาก่อนไหม?”
แน่นอนว่าฉินสือโอวต้องรู้ตำนานเรื่องนี้ ก็คือในสมัยที่จักรพรรดิจิ้นฮุ่ยตี้ขึ้นปกครองประเทศ มีอยู่ปีหนึ่งเกิดการแห้งแล้งขึ้น ชาวบ้านไม่มีธัญพืชกินประทังชีวิตก็เหมือนกับตายทั้งเป็น สานส์นี้จึงถูกนำไปรายงานที่พระราชวังในทันที และพอจิ้นฮุ่ยตี้ฟังขุนนางฉินรายงานเสร็จ ก็ถามขึ้นอย่างสงสัยมากว่า “ชาวบ้านหิวเพราะไม่มีข้าวกิน แล้วทำไมถึงไม่ไปกินเนื้อแทนล่ะ?”
จากนั้นฉินสือโอวก็แสดงสีหน้าเหมือนฉุกคิดขึ้นได้ แต่จริงๆ ก็คือยังหาคำตอบจากตำนานเรื่องนี้ไม่ได้ เขาเลยไปแอบๆ ถามเบิร์ด เบิร์ดเลยอธิบายให้ฟัง “บนเขามีไก่งวงป่าก็จริงอยู่ แต่ดูอย่างพวกเราหากันทั้งบ่ายหาได้แค่ไม่กี่ตัวเอง และถ้าคนในเมืองอยากจะกินไก่งวง แค่ไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตแล้วจ่ายสักสิบดอลลาร์ ก็สามารถซื้อครึ่งตัวได้แล้ว และถ้าทำงานทั้งบ่ายก็สามารถเอาเงินที่ทำงานไปแลกไก่งวงได้ตั้งห้าตัว”
ฉินสือโอวรู้สึกเก้อเขิน และก็จริงที่ว่า ‘ชาวบ้านทำไมไม่กินเนื้อแทน’ เพราะเขาเวลาว่างก็ว่างจนไข่เปียก ส่วนคนเมืองที่พอได้มีเวลาว่างก็อยากจะขึ้นเขามาล่าสัตว์กันเชียวเหรอ?
และนี่ยังเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ยังมีสัตว์ป่ามากมายในนิวฟันด์แลนด์ เพราะนอกจากการพักผ่อนแล้ว ปกติผู้คนก็ไม่มีเหตุให้ต้องมาล่าสัตว์ป่าพวกนี้ สำหรับการกิน ถ้าอยากกินก็แค่ไปซื้อที่ซูเปอร์มาร์เก็ตก็ได้แล้ว ทำไมจะต้องไปเปลืองแรงล่าสัตว์ที่จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อปรสิตและไวรัสที่ไม่รู้จักด้วย?
ก่อนหน้านั้นที่เดินเลียบไปตามริมลำธารฉินสือโอวก็ไปเจอพวกผักป่าที่เห็นได้บ่อยๆ เข้าเช่น ผักกูด คื่นฉ่ายป่า ผักกาดป่า และใบกระเทียมป่า
พอเข้าฤดูใบไม้ร่วง ผักป่าพวกนี้ก็เริ่มแห้งเหี่ยว ไม่สดและนุ่มเหมือนในช่วงฤดูร้อนหรือฤดูใบไม้ผลิ แต่เมื่อเอามาต้มเป็นน้ำซุปกิน รสชาติก็ไม่ถือว่าแย่เท่าไร
มีไส้กรอกย่าง ไก่งวงย่าง กระต่ายป่าย่าง เป็ดย่างและนกป่าที่ไม่รู้ว่ามันคือนกอะไรอีกสองสามตัว และในหม้อความดันสูงที่กำลังตุ๋นซุปไก่ฟ้าสีทองอย่างสดอร่อย บวกกับข้าวผัด แฮมเบอร์เกอร์ หมี่แห้งอิตาลีที่พกมาจากบ้านด้วย ทำให้ทั้งสี่คนและเจ้าพวกตัวเล็กนี้กินมื้อค่ำกันอย่างมีความสุข
พอกินเสร็จ ทันใดนั้นฉงต้าก็มองเข้าไปในป่า พร้อมกับหู่จือและเป้าจืออดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นจากในตอนที่กินข้าวอยู่
ฉินสือโอวรู้เลยว่ากำลังมีสัตว์ใกล้เข้ามา เขาจึงหยิบธนูยิงปลาที่อยู่ข้างๆ ตัวแล้วหันกลับไปเล็งใส่ สุดท้ายพอเล็งไปสักพักก็ไม่มีสัตว์อะไรโผล่ออกมา เขาเลยหันไปพยักหน้าให้หู่จือ
ส่วนหู่จือก็วิ่งไปข้างหน้าสองสามก้าวอย่างชาญฉลาด มันไปชนเข้ากับต้นสนต้นหนึ่งและเห่ากิ่งของต้นสนนั้นอยู่สองครั้ง
ฉินสือโอวที่ต้องเพ่งมอง ถึงค่อยได้เห็นสัตว์ป่าตัวหนึ่งกำลังเกาะอยู่บนกิ่งไม้ ซึ่งรูปลักษณ์ภายนอกที่เหมือนกับแมวยักษ์ และบนตัวของมันมีลายสีทองที่ไม่ค่อยชัดเจน ตาที่หรี่เอาไว้เลยทำให้มองไม่เห็นแววตาของมัน แต่ไม่ต้องดูเป็นครั้งที่สองก็รู้ได้ว่ามันคือแมวป่า
แมวป่าเป็นสัตว์ประเภทที่เห็นได้ทั่วไปในแถบป่าสนบนภูเขาสูงของแคนาดา มันมีนิสัยขี้ระแวง และค่อนข้างจะขลาดกลัวอีกด้วย พวกมันไม่เชื่อใจมนุษย์ เพราะพวกมันเคยเป็นหนึ่งในเป้าหมายของพวกมนุษย์นักล่า และตัวการที่ก่อให้เกิดความหายนะของพวกมันก็คือหนังที่สวยงามของพวกมันนั่นเอง
พอแน่ใจแล้วว่ามันคือแมวป่า ทั้งสี่คนก็กลับไปกินไปนั่งคุยกันต่อ เพราะแมวป่าจะไม่มาคุกคามคน และก็ยังไม่เคยเจอเรื่องที่ว่าแมวป่าทำร้ายคนมาก่อน บวกกับที่ตอนนี้พวกเขาก็ไม่ได้ไปยั่วแหย่อะไรมัน
ตอนแรกนั้นฉินสือโอวก็นึกว่ามันได้กลิ่นหอมของย่างเนื้อ เขาเลยฉีกส่วนเนื้อติดมันของไก่งวงที่กินไม่หมดแล้วโยนไปให้มันที่ใต้ต้นไม้ สุดท้ายแมวป่าตัวนั้นไม่แม้แต่จะมอง มันยังคงนอนอย่างสงบอยู่บนต้นไม้ จนดูเหมือนกับแมวยักษ์ที่สง่างาม
ส่วนกระรอกน้อยเสี่ยวหมิงที่อยู่ด้านหลังพอกินข้าวอิ่มแล้วมันก็วิ่งไป จากนั้นแมวป่ายักษ์ที่ดูสง่างามก็ลุกขึ้นยืนบนกิ่งต้นสน และมองเสี่ยวหมิงด้วยสายตาเป็นประกาย
ฉินสือโอวเห็นก็ได้เข้าใจ ที่แท้เจ้าตัวนี้ก็โดนเรียกมาโดยกระรอก กระรอกถือเป็นหนึ่งในอาหารของแมวป่า แต่มันกินกระต่ายป่าเพื่อประทังชีวิตเป็นหลัก ส่วนกระรอกเป็นเพียงแค่อาหารเรียกน้ำย่อย
เสี่ยวหมิงขึ้นชื่อว่ากล้าแบบโง่ๆ อย่างในตอนแรกที่หู่จือและเป้าจือยังตัวเล็กๆ อยู่ มันยังกล้าที่จะไปแกล้งเจ้าสองตัวนั้น และด้วยความที่มันยังคงติดอยู่ในช่องว่างของการเติบโตที่ยังคิดว่าตอนนั้นหู่จือและเป้าจือที่ยังเล็ก เลยคิดว่าแมวป่าตัวนี้ก็คงจะไม่ใหญ่ไปกว่านั้นสักเท่าไร
และไม่ได้สนใจถึงสายตาที่อยากจะจับมันกินจนน้ำลายไหลของแมวป่า เสี่ยวหมิงลากหางใหญ่ๆ ของมันแล้ววิ่งไปที่โคนต้นไม้ราวกับควัน
ทำให้แมวป่าดีใจขึ้นในทันที โดยไม่นึกถึงภัยจากฉินสือโอวและคนอื่นๆ มันรีบวิ่งลงมาหาเสี่ยวหมิงจากบนต้นไม้อย่างปราดเปรียว แล้วทำท่ายึกยักยึกยัก เสี่ยวหมิงชะงักเหมือนกับโดนฟ้าผ่า จากนั้นก็รีบวิ่งลงจากต้นไม้ด้วยความเร็วสูง ส่วนแมวป่าก็วิ่งตามแล้วตามอีก สุดท้ายก็ตามเสี่ยวหมิงไม่ทัน
และเหตุการณ์นี้ก็ทำให้เจ้าแมวป่าตัวนี้รู้สึกท้อถอยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และมันก็ขี้เกียจจะตามแล้ว มันแค่ลงมาจากต้นไม้และคาบเอาชิ้นไก่ที่ฉินสือโอวโยนไว้ จากนั้นก็ปืนขึ้นไปกินบนต้นไม้จนหมด
ฉินสือโอวนั่งมองอยู่ข้างไฟแคมป์อย่างเหม่อลอย พลางก็คิดไปว่าควรจะพูดว่าเสี่ยวหมิงเก่งหรือเจ้าแมวป่าตัวนี้มันไม่เอาไหน?
จนสุดท้ายตอนที่แมวป่าลดความหยิ่งของมันแล้วกลับมากินไก่ชิ้นที่ตอนแรกไม่สนใจเลยด้วยซ้ำ พวกฉินสือโอวและคนอื่นๆ ก็ได้ผลสรุปว่า ช่างเป็นแมวป่าที่น่าขายหน้าจริงๆ โคตรไม่เอาไหนเลยว่ะ!
จากนั้นพวกเขาก็ไม่ไปใส่ใจกับแมวป่า และก็ไม่เป็นกังวลกับเสี่ยวหมิง ทั้งสี่คนนั่งล้อมข้างกองไฟพลางอาบแสงจันทร์ไปด้วย วินนี่ก็เลยพูดเสนอขึ้น “เอาอย่างนี้ดีไหม พวกเรามาเล่นผลัดกันร้องเพลงกันเถอะ?”
…………………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset